บทที่ 5 ความรู้สึก
สุรเสียงของผู้เป็นประมุขดังสนั่นไปทั่วทั้งตำหนักราวกับสายอัสนีที่ฟาดฟันลงมาจากฟากฟ้าด้วยความกราดเกรี้ยว ใบหน้าของผู้เฒ่าแต่ละคนนั้นซีดเผือด บ้างส่ายหน้าไปมาไม่เห็นด้วยที่รัชทายาททั้งสองชักนำสงครามมาสู่ชนเผ่า ในขณะเดียวกันหลายคนก็กระซิบกระซาบด้วยความฮึกเหิม ที่จะได้ปราบปรามความผยองของแคว้นหนานหลิง
“มิใช่ความต้องการของเผ่าหรืออย่างไร...หลายปีที่ผ่านมาหนานหลิงรุกรานอาณาจักรอวี้หลานเช่นไร พวกท่านล้วนแต่รู้ดีอยู่แก่ใจ”
ทู่เหยียนเฉิงแค่นเสียงต่ำ ดวงตาของเขาเปล่งประกายเย็นชา นับตั้งแต่เฉินจิ่นหานถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแห่งแคว้นหนานหลิง เขาก็เริ่มโจมตีชาวบ้านตาดำ ๆ อีกทั้งยังหยามเกียรติชนเผ่าราวกับพวกเขาเป็นเพียงเศษหญ้าแห้งใต้รองเท้าของราชวงศ์ที่สูงศักดิ์ ซ้ำยังกระหายอำนาจจนอยากจะยึดครองแผ่นดินอวี้หลานเป็นของตน
“เสด็จพ่อ...อาณาจักรอวี้หลานที่พระองค์สร้างขึ้นมาไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขา ต่อให้ข้าไม่ลักพาตัวของนางมา ระหว่างสองแผ่นดินก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสงครามอยู่ดี หากจะจุดชนวนให้เกิดสงครามเร็วขึ้นเสียหน่อยก็คงจะไม่เป็นอันใด” ทู่เหยียนซาเอ่ยเสริมผู้เป็นพี่ชาย ใบหน้าที่ฉายแววความซุกซนกลับจริงจังขึ้นในพริบตาอย่างน่าประหลาดใจ
ผู้นำเผ่าและผู้เฒ่าอาวุโสต่างพากันส่ายหน้า และถอนหายใจกันอย่างหนักหน่วง พวกเขารู้ดีว่าการกระทำของรัชทายาททั้งสองในครั้งนี้ เท่ากับเป็นจุดชนวนสงครามให้ลุกลามไปทั่วผืนแผ่นดิน โดยใช้สตรีโฉมงามที่อีกฝ่ายหมายใจจะครอบครองเป็นชนวนศึก
“วันนี้พอก่อนเถอะ...อาเฉิง อาซา พานางไปพักก่อนแล้วค่อยมาหารือกันทีหลัง ว่าควรทำอย่างไรต่อ...” ประมุขทู่เหยียนโบกมืออย่างอ่อนแรง โดยมีพระชายาซูดูแลไม่ห่างพระวรกาย
สายตาที่เปี่ยมด้วยความหนักแน่นของผู้นำเผ่าทอดมองไปยังสตรีร่างบางที่เดินออกไปพร้อมกับโอรสฝาแฝด ก่อนที่ดวงตาแข็งกร้าวคู่นั้นจะอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว ด้วยเพราะความงดงามของอาเซ่อหลิงนั้นช่างเปล่งประกายและเหมาะสมกับรัชทายาทฝาแฝดของเขาเสียยิ่งนัก เป็นสิ่งที่เขายอมรับด้วยความจำนนว่าการทำนายของผู้เฒ่าอาวุโสนั้นแม่นยำและไม่อาจปฏิเสธว่าพวกเขาคือคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์ได้ลิขิตเอาไว้
ทว่า...ความงดงามของสตรีแห่งชนเผ่ามู่ซานกำลังชักนำไฟสงครามให้ค่อย ๆ คุกรุ่นอยู่ใต้เถ้าถ่าน รอวันที่จะปะทุขึ้นมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ทู่เหยียนเฉิงและทู่เหยียนซา พาอาเซ่อหลิงมายังตำหนักใหญ่โตที่ทำจากหินสีดำสนิท อันเป็นที่พำนักของสองรัชทายาท เรือนใหญ่ทางปีกซ้ายของตำหนักตกเป็นของนาง ก่อนที่พวกเขาจะขอตัวออกไปเข้าเฝ้าบิดาและมารดาตามลำพัง
หลังจากที่พวกเขาออกจากตำหนักไป บรรดาข้ารับใช้ก็กรูกันเข้ามาเพื่อปรนนิบัติรับใช้นางเป็นอย่างดี ทว่าความเหน็ดเหนื่อยกลับทำให้นางเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ดวงตากลมโตปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า กลับได้พบว่าภายในตำหนักเรืองรองไปด้วยแสงสีทองแห่งยามเย็น นางจึงรีบผุดลุกขึ้นในทันที
ก่อนจะเดินทอดน่องไปตามเส้นทางที่ปูลาดด้วยหินแกร่งเพื่อตามหาสองฝาแฝด
อาเซ่อหลิงไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่านางเดินมาไกลเพียงใด จนกระทั่งรอบกายถูกโอบล้อมด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่กว้างไกลและยาวสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งยังมีภูเขาสูงตระหง่านที่โอบล้อมเอาไว้ราวกับอ้อมแขนของมารดา นางไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าชนเผ่าหยวนอู๋นั้น แม้จะเต็มไปด้วยความดิบเถื่อน ทว่าแผ่นดินของพวกเขากลับงดงามจับใจ
เสียงหวีดร้องที่แหลมสูงของเหยี่ยวไห่ตงชิงดังลอยมากับสายลม นางชะงักเท้านิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะผินใบหน้ามองไปยังทิศทางของเสียงที่เกิดขึ้นบนเนินหญ้าเขียวชะอุ่ม เพียงแวบเดียวที่ปรายตามอง ดวงตาคู่งามก็เบิกกว้างในทันที เมื่อได้พบเจอกับบุรุษที่นางเดินตามหาอยู่เสียนาน
สองบุรุษในวัยหนุ่ม ผู้มีรูปร่างที่สูงสง่ามากกว่าแปดฉื่อ (มากกว่า 184 เซนติเมตร) ในอาภรณ์ชนเผ่าสีฟ้าคราม กำลังยืนอยู่ภายใต้ต้นหลิวขนาดใหญ่ เหยี่ยวไห่ตงชิงสีดำสนิทตัวหนึ่งโฉบลงมาจากฟากฟ้าก่อนจะเกาะลงบนท่อนแขนของทู่เหยียนเฉิง ในขณะที่อีกตัวหนึ่งมีสีขาวราวกับหยก บินโฉบลงสู่แขนของทู่เหยียนซาด้วยความแม่นยำ ราวกับว่าพวกมันได้ถูกฝึกปรือมาเป็นอย่างดี
ฝาแฝดเช่นพวกเขาเปรียบเสมือนกับภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นในกระจก หากแต่มองให้ลึกลงไปถึงอารมณ์ที่สื่อสารผ่านดวงตา ก็จะพบว่าพวกเขานั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน
พวกเขาล้วนแล้วแต่มีรูปลักษณ์ที่เหมือนกันจนยากจะแยกออก ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาโดดเด่น คางเหลี่ยมคมสัน คิ้วเข้มพาดเฉียงเรียงเส้นหนารับกับดวงตาสีนิลลึกล้ำน่าค้นหา แพขนตาหนางอนงามดำสนิทส่งให้ดวงตาคู่นั้นคมคายไม่ต่างจากเหยี่ยวไห่ตงชิงที่พวกเขาฝึกปรือ จมูกที่โด่งเป็นสันทำให้ริมฝีปากหยักสวยดูน่าหลงใหล ผิวกายนั้นขาวผุดผ่องและเรียบเนียนไร้ที่ติ เรือนผมสีดำสนิทครึ่งศีรษะถูกรวบเป็นมวยอย่างลวก ๆ ปลายเส้นผมถูกถักทอเป็นเปียราวสามถึงสี่เส้นก่อนจะประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าตามยศศักดิ์ของรัชทายาท
ทู่เหยียนเฉิงนั้นมีนิสัยที่เงียบขรึม แต่กลับเปี่ยมด้วยอำนาจบารมี รูปร่างสูงใหญ่สง่างามและบึกบึน ทว่าใบหน้ากลับเย็นชาและเรียบนิ่ง
ดั่งหินผา ทว่ากลับแฝงไปด้วยความดุดัน จริงจัง ริมฝีปากหยักจะขยับยิ้มเพียงน้อยนิด ราวกับไม่ต้องการให้ผู้ใดอ่านใจของเขาได้
ตรงกันข้ามกับทู่เหยียนซา ฝาแฝดผู้น้องนั้นมีแววตาที่ซุกซน และมักจะอ่อนโยนกว่าผู้เป็นพี่ชาย นัยน์ตาเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล ทว่ามุมปากของเขามักประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อยามที่ได้ชิดใกล้สตรีที่ถูกตาต้องใจ
ในทันทีที่เหยี่ยวไห่ตงชิงสีขาวเผือกโฉบลงมาเกาะบริเวณท่อนแขน ทู่เหยียนซาก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ พลางลูบขนของมันด้วยความเอ็นดู
“เหยี่ยวของเจ้าก็ยังเชื่องน้อยกว่าของข้าอยู่ดี” ทู่เหยียนซายักไหล่ ก่อนจะลูบฝ่ามือลงบนลำคอเหยี่ยวขาวอย่างภาคภูมิ
“หึ สิ่งใดที่ควบคุมง่ายเกินไป...ก็มักไร้ค่า” อาเฉิงแค่นเสียงในลำคอ ไม่แม้แต่จะปรายตามองผู้เป็นน้องชาย อีกฝ่ายมักจะฝึกเหยี่ยวด้วยความตามใจ ผิดกับเขาที่ฝึกเหยี่ยวของตนด้วยความเด็ดขาด
“เจ้าเย็นชาเกินไปแล้วกระมังอาเฉิง...”
อาซาได้แต่ส่ายหน้าให้กับผู้เป็นพี่ด้วยความระอา ก่อนที่ดวงตาคมกริบจะเหลือบมองไปตามสายตาของอาเฉิง จนกระทั่งเห็นสตรีร่างบางในอาภรณ์สีชมพูหวานยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“ดูนั่นสิ...นางมาแล้ว”
ทู่เหยียนเฉิงหันไปบอกกับน้องชาย ดวงตาคมเข้มเปล่งประกายที่ผิดแปลกไปจากทุกที ไม่ใช่เพราะความตกใจ หากแต่เป็นเพราะอาเซ่อหลิงนั้นงาม ยิ่งเมื่อยามที่นางยืนอยู่เหนือทุ่งหญ้าเขียวขจีนั้นดูโดดเด่นจนเกินกว่าจะละสายตาไปได้
สายลมแรงพัดต้องกับชายกระโปรงสีอ่อนให้ปลิวไสว เปียผมยาวสยายพลิ้วไปตามแรงลมที่พัดมา แสงสุริยายามเย็นที่สาดกระทบกับร่างอรชรนั้นเปล่งประกายอย่างงดงามราวกับเทพธิดาเดินดิน ดวงหน้ารูปไข่นั้นอ่อนหวาน ริมฝีปากบางมีสีระเรื่อดั่งกลีบลูกพีช จนแม้แต่เหยี่ยวทั้งสองยังเผลอส่งเสียงร้องราวกับยอมศิโรราบให้กับความงามของนาง
กี๊ด! กี๊ด!
“อาเฉิง...อาเฉิง!” แฝดผู้น้องเอ่ยเรียกอยู่นาน แต่ดูเหมือนว่าสติของรัชทายาทผู้พี่ได้ถูกโฉมงามยึดครองไปเสียแล้ว
“เจ้าจะแหกปากไปไย...”
ทู่เหยียนเฉิงยังคงไม่ละสายตาไปจากนาง ความรู้สึกประหลาดกำลังกัดกินหัวใจของเขาอย่างไม่อาจห้ามปราม
“เจ้าเฮยของเจ้าบินไปหานางแล้ว!”
ทู่เหยียนซาเอ่ยเตือน เหยี่ยวไห่ตงชิงสีดำสนิทของผู้เป็นพี่ชายดุดันเพียงใด ผู้เป็นเจ้าของย่อมรู้ดี แต่ยามนี้มันกำลังบินไปหาสตรีราวกับว่าเป็นเป้าหมายในการโจมตี
“ข้าสั่งมันเอง...สั่งให้มันไปเอาใจนาง ฮ่า”
ริมฝีปากหยักสีสดกระตุกยิ้มร้าย ก่อนจะปรายดวงตามองน้องชายราวกับเป็นผู้ชนะ ร่างสูงใหญ่ขยับปลายเท้าเข้าไปยังที่ที่นางยืนอยู่เมื่อเจ้าเฮยของเขาใกล้จะถึงตัวของนาง
“หืม วิญญาณร้ายปรากฏกายแล้วหรือ...”
เมื่อเห็นความร้ายกาจของแฝดผู้พี่ เขาก็ไม่รอช้าที่จะสับปลายเท้าเพื่อเข้าไปหาอาเซ่อหลิง ดูเหมือนว่าเขาจะล้าหลังทู่เหยียนเฉิงไปแล้วหนึ่งก้าวด้วยความประมาทเลินเล่อ
ดวงหน้างามแหงนมองเหยี่ยวสีดำสนิทที่หวีดร้องอยู่กลางท้องฟ้า ก่อนที่มันจะโฉบต่ำลงมาราวกับว่าเห็นนางเป็นเป้าหมาย
อาเซ่อหลิงปรายมองไปยังผู้เป็นเจ้าของก่อนจะยิ้มบาง ๆ อย่างสง่างาม นัยน์ตาดำขลับแฝงด้วยแววท้าทาย ด้วยเพราะรู้ดีว่าความต้องการที่แท้จริงของทู่เหยียนเฉิงหาใช่การเอาใจ แต่เป็นการทดสอบ นางไม่ได้หวาดกลัวเหยี่ยวไห่ตงชิงที่มีท่าทีดุร้ายเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยื่นแขนออกไปให้มันเกาะลงบนนั้นด้วยความงดงาม
กี๊ด!
“ไง...ผิดคาดใช่หรือไม่ ที่ข้าไม่กลัวเจ้า เจ้าเหยี่ยวตัวดำ ฮ่า”