บทที่ 3 โฉมงามควบอาชา
รุ่งสางของวันใหม่ ดวงอาทิตย์กลมโตในยามแรกแย้มโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า สาดส่งลำแสงสีทองทอดผ่านเมฆหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่บนผืนฟ้า ตกกระทบอยู่เหนือยอดหญ้ากว้างใหญ่ภายในขุนเขาของเผ่ามู่ซาน อากาศในยามเช้าตรู่นั้นเยือกเย็น ต้นหญ้าและใบไม้ต่างเปียกชื้นไปด้วยน้ำค้างที่เพิ่งกลั่นตัว
สกุณาตัวน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เมื่อบินออกจากรังนอนด้วยความขยัน ก่อนที่เสียงเหล่านั้นจะถูกกลบด้วยเสียงฝีเท้าอาชาที่ฟังดูหนักแน่นของขบวนเล็ก ๆ องครักษ์ประจำพระองค์ของรัชทายาทฝาแฝดเตรียมอาชาสำหรับเดินทางให้กับผู้เป็นนายอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ก่อนจะพากันยืนรออยู่ริมลานโล่งกว้างข้างเรือนร้างบริเวณเชิงเขา
ทู่เหยียนเฉิงและทู่เหยียนซา เดินออกมาจากเรือนร้างพร้อมกับธิดาเทพผู้มีความงามประจักษ์แก่ทุกสายตาที่จ้องมองมา ก่อนที่ทั้งสองจะยืนประจันหน้ากันอยู่ภายใต้เงาไม้สูงใหญ่ ดวงตาคมคายสองคู่ดูคล้ายคลึงฉายเงาสะท้อนของกัน ยามนี้กลับทอประกายไปด้วยความขัดเคืองอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นการถกเถียงระหว่างพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้น
“นางจะไปกับข้า...”
ทู่เหยียนเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ ในขณะที่ร่างสูงสง่ากระโจนขึ้นบนหลังอาชาด้วยความสง่างาม ฝ่ามือหนากระตุกบังเหียนให้อาชาหนุ่มสีดำสนิทเข้ามาใกล้กับอาเซ่อหลิง ทว่าแฝดผู้น้องกลับมาขวางเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เหตุใดนางต้องไปกับเจ้า...อาเฉิง เจ้าดูแลสตรีได้ไม่ดีเท่าข้าหรอก”
ทู่เหยียนซาแค่นหัวเราะ ดวงตาคมกริบกวาดมองผู้เป็นพี่ชายอย่างเย้ยหยัน เมื่อรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบใกล้ชิดกับสตรี อีกทั้งยังไม่รู้จักวิธีการเอาอกเอาใจได้เท่ากับเขาผู้มีสตรีผ่านมือมามากมาย
"แน่ใจหรือว่าเจ้าต้องการที่จะดูแลนางเพียงเท่านั้น มิใช่..." แฝดผู้พี่กัดกราม ครางเสียงต่ำด้วยความดุดัน
"เจ้า! อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย"
แฝดผู้น้องปรายนิ้วมือชี้ดวงหน้าของผู้เป็นพี่ชายด้วยความกราดเกรี้ยว หลังจากที่โดนจับได้ถึงเจตนาที่แท้จริง
"เป็นเพราะข้ารู้ดีอย่างไรเล่า ถึงได้รู้ว่าเจ้าคิดอันใดอยู่ ฮ่า" เสียงเข้มหัวเราะลั่น อย่างไม่ให้หน้าผู้เป็นน้องชาย
บรรยากาศตึงเครียดไปชั่วขณะ แฝดผู้พี่คือบุรุษที่เต็มไปด้วยความสุขุมและเด็ดขาด ส่วนแฝดผู้น้องกลับกลายเป็นหมาป่าวิปลาสผู้ซ่อนเล่ห์ร้ายแฝงเอาไว้ในแววตา เมื่อยามใดที่ได้ชิดใกล้กลับสาวงาม ย่อมแฝงไปด้วยความอันตรายที่ไม่ต่างไปจากเพลิงไฟเผาหญ้าแห้งให้ลุกลาม
ในระหว่างที่พวกเขาถกเถียงกันอย่างได้อรรถรส อาเซ่อหลิงเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่ยืนอยู่ตรงกลาง ใบหน้างดงามเหยเกด้วยความแปลกใจกับท่าทีของบุรุษผู้สูงศักดิ์แห่งอวี้หลาน เหตุใดชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขาถึงได้แตกต่างไปจากความเป็นจริงหลายเท่านัก เดิมทีเรื่องที่รัชทายาทปลอมตัวเป็นโจรชิงตัวเจ้าสาวก็นับว่าแปลกแล้ว ทว่ายามนี้พวกเขากลับถกเถียงกันเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ราวกับดรุณน้อยแย่งของเล่น
อาเซ่อหลิงไม่เอ่ยถ้อยคำใดออกมาเพื่อห้ามปรามเลยแม้แต่น้อย หากแต่ถอนหายใจเบา ๆ พลางเบือนสายตากลมโตไปยังองครักษ์ผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ร่างระหงสาวเท้าออกไปด้วยความเงียบเชียบและไม่ได้คิดที่จะสนใจบุรุษทั้งสองแต่อย่างใด
“ข้าขอยืมม้าของเจ้าสักตัว”
น้ำเสียงนางไพเราะดุจดั่งระฆังแก้วที่ก้องกังวาน ฟังดูเด็ดเดี่ยวเสียจนไป๋จิ้ง องครักษ์คู่ใจรัชทายาทผู้พี่ถึงกับผงะไปเล็กน้อย ทว่าอีกฝ่ายยังไม่ทันตอบตกลง สตรีเบื้องหน้าก็สาวเท้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับบังเหียนแล้วดันกายไปขึ้นนั่งบนหลังม้าด้วยความคล่องแคล่ว และดูชำนาญราวกับว่าเคยควบอาชาบนเส้นทางนี้มานับไม่ถ้วน
“อะ...เอ่อ”
องครักษ์หนุ่มได้แต่ส่งสายตาไปยังผู้เป็นนาย เพื่อหาจังหวะบอกกล่าว ว่าสตรีที่พวกเขาแย่งชิงตัวมา กำลังจะควบอาชาออกไปด้วยตัวเองแล้ว
“เป็นองครักษ์ของพวกเขา เจ้าคงปวดหัวมากใช่หรือไม่”
ใบหน้ารูปไข่โน้มลงมาเอ่ยเสียงกระซิบ ด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี ก่อนจะเหยียดกายขึ้นนั่งหลังตรงอย่างสง่างาม
อาเซ่อหลิง ออกแรงกระตุกบังเหียนให้อาชาหนุ่มสีน้ำตาลแดงพุ่งทะยานออกจากลานกว้างอย่างไม่รั้งรอ ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มเพียงเล็กน้อย เมื่อฝุ่นทรายที่อยู่บนพื้นลอยฟุ้งขึ้นตามแรงของฝีเท้า
เสียงของเกือกม้าทำให้สองพี่น้องทู่เหยียนที่ยังเข่นเขี้ยวยิงฟันกันอยู่เมื่อครู่ต้องหยุดการกระทำ ทั้งสองต่างจ้องมองสตรีที่ควบอาชาออกไปด้วยความตะลึงงัน ริมฝีปากของพวกเขาอ้ากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ว่าสตรีจากเผ่ามู่ซาน ผู้ได้ชื่อว่าเป็นธิดาเทพที่มีภาพลักษณ์อ่อนหวานและอ่อนโยนจับใจ จะดูดุดันและน่ายำเกรงเมื่อยามเป็นฝ่ายควบคุมอาชาใต้อาณัติ บัดนี้กลับยืนตะลึงงัน
“นางเป็นสตรีที่มาจากเผ่ามู่ซานจริงหรือ ช่างดูแก่นแก้วนัก” แฝดผู้พี่เอ่ยขึ้นโดยที่ยังไม่ได้ละสายตาไปจากสตรีโฉมงาม
“ข้าก็คิดไม่ถึงว่านาง...จะขี่ม้าได้คล่องแคล่วยิ่งนัก” ทู่เหยียนซาพึมพำเสียงแผ่ว
ดวงตาคู่คมของบุรุษทั้งสองต่างจับจ้องไปยังสตรีร่างระหงที่นั่งหลังตรงอยู่บนหลังอาชาตัวเขื่อง ชายอาภรณ์ของนางสะบัดไปตามแรงลมดูพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต ใบหน้าหวานละมุนมีนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและทรงเสน่ห์ แสงแห่งอรุณสาดส่งแสงสีทองอาบร่างบอบบางที่กำลังขะมักเขม้นในการตั้งหน้าตั้งตาควบคุมอาชาให้พุ่งทะยานออกไปนั้น ทำให้หญิงสาวบนหลังอาชา งดงามราวกับเทพธิดาผู้มาเยือนพื้นพิภพ
“ข้าเพิ่งรู้ว่าการขี่ม้า ทำให้สตรีดูงดงามถึงเพียงนี้”
ทู่เหยียนเฉิงเปรยขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เดิมทีเขาไม่เคยรู้สึกสนใจสตรีใด ทว่าอาเซ่อหลิงกลับเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่ทำให้เขาเปิดใจเอ่ยชื่นชม
“หูของข้าได้ยินไม่ผิดไปใช่หรือไม่ ฮ่า อาเฉิงนี่นับเป็นครั้งแรกกระมังที่ข้าเห็นเจ้าเอ่ยชื่นชมสตรี”
น้ำเสียงของทู่เหยียนซา ฝาแฝดผู้น้องลดต่ำลง ดวงตายาวรีหรี่มองผู้เป็นพี่ชายด้วยความแปลกใจ
“อาซา ข้าว่าเจ้าเอาเวลาที่จับผิดข้า ควบอาชาติดตามนางไปดีหรือไม่ นางควบอาชาไปโน่นแล้ว...”
แฝดผู้พี่แค่นเสียงในลำคอเป็นการตัดบทสนทนาราวกับกำลังหวาดเกรงว่าวาจาของทู่เหยียนซาจะปลุกหัวใจของตัวเองให้รู้สึกหวั่นไหวมากไปกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะพยักพเยิดใบหน้าให้น้องชายดูว่าหากยังมัวโต้เถียง เห็นทีคงไม่อาจตามทัน
“นางรู้เส้นทางไปยังเผ่าหยวนอู๋หรือ...” แฝดผู้น้องได้แต่เกาศีรษะแกรกด้วยความแปลกใจ
“เจ้าหาคำตอบเอาเถอะ ส่วนข้าจะติดตามนางไปเอง”
ร่างสูงสง่ากระตุกยิ้มกว้าง ก่อนจะกระโดดขึ้นบนหลังอาชาด้วยความทะมัดทะแมง ก่อนจะเตะท้องม้าควบอาชาออกไปด้วยจังหวะที่รวดเร็ว
“อ่าว เฮ้ย...รอข้าด้วยสิ เจ้าคนฉวยโอกาส”
แฝดผู้น้องรีบขึ้นบนหลังอาชาในทันที ก่อนจะเร่งจังหวะเพื่อติดตามผู้เป็นพี่ให้ทันท่วงที เมื่อเขาเริ่มจะจับทางความรู้สึกของทู่เหยียนเฉิงได้ว่า พี่ชายมีความพึงใจในตัวของอาเซ่อหลิงอยู่ไม่น้อย
ฝีเท้าอาชาของอาเซ่อหลิงมุ่งหน้าไปยังเส้นทางในทิศเหนือ
มุ่งตรงสู่ดินแดนอันเป็นที่พำนักของหยวนอู๋ด้วยความชำนาญ นางรู้เส้นทางเป็นอย่างดีด้วยเพราะเคยแอบหนีออกจากเผ่าของตัวเองเพื่อมาชื่นชมความงดงามของแผ่นดินใหญ่ให้เต็มตา โดยที่ด้านหลังของนางมีสองฝาแฝดควบอาชาติดตามมาด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับเสียงเข้มที่ตะโกนไล่หลังมา
“อาเซ่อหลิง นั่นเจ้าไม่ได้คิดหนีใช่หรือไม่!” ทู่เหยียนเฉิงตะโกนลั่นออกไป พร้อมกับเตะท้องม้าเพื่อเร่งจังหวะฝีเท้า
“อาเฉิง รอข้าด้วย!” ถัดไปจากนั้น เป็นฝาแฝดผู้น้องที่เร่งจังหวะความเร็วเพื่อตามผู้เป็นพี่ให้ทัน
“อยู่ที่ว่าฝีมือการควบคุมอาชาของพวกท่านเป็นเช่นไร หากตามข้าไม่ทัน ข้าก็มีสิทธิ์ที่จะหนีมิใช่หรือ...”
อาเซ่อหลิงตอบโต้กลับไปด้วยสีหน้าที่ท้าทาย ก่อนจะผินกลับมาเพื่อมองดูเส้นทางที่ทอดยาวออกไป สายลมเย็นที่พัดโต้ใบหน้า ทำให้ใจของนางรู้สึกปลอดโปร่งอย่างประหลาด ราวกับนกตัวน้อยที่หลุดพ้นจากกรงทอง ก่อนที่ความคิดหนึ่งก็ฉายวาบขึ้นมา ทว่ากลับถูกเก็บซ่อนลึกเอาไว้ในใจเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม...