บทที่ 2 คืนเปลี่ยนชะตา
หุบเขามู่ซานในยามค่ำคืนถูกกลืนไปด้วยม่านหมอกหนา เสียงของแตร พิณ และขลุ่ยโบราณดังขึ้นอย่างอึกทึกครึกโครมตามประเพณีของชนเผ่าเมื่อมีงานมงคล เสียงฝีเท้าของอาชาดังสะเทือนกึกก้องเลียบลาดไหล่เขาที่สูงชัน ขบวนส่งตัวเจ้าสาวเคลื่อนผ่านเส้นทางที่ทอดยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วยความรีบร้อน กระถางกำยานสีทองส่องแสงริบหรี่ สะท้อนเงาของหญิงสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงประดุจดั่งโลหิต ที่นั่งสงบนิ่งอยู่ภายในรถม้าอย่างสง่างาม
อาเซ่อหลิง ธิดาเทพแห่งชนเผ่ามู่ซาน สตรีผู้มีความงามล่มเมือง ที่แม้แต่ดวงดาวบนฟากฟ้ายังมิกล้าทัดทาน นางคือ 'สตรีผู้ชี้ชะตาของราชวงศ์' ตามคำพยากรณ์เก่าแก่ของผู้เฒ่าในชนเผ่า ทว่าชะตากลับเล่นตลก แทนที่จะได้รับการยกย่อง เคารพบูชา กลับถูกผลักไสให้เป็นเพียงสตรีบรรณาการแก่ เฉินจิ่นหาน รัชทายาทแห่งแคว้นหนานหลิง บุรุษที่นางไม่ได้มีใจให้เลยแม้แต่น้อย
ดวงหน้าที่งามล้ำภายใต้ผ้าคลุมสีแดงเต็มไปด้วยความเงียบขรึม นัยน์ตาหวานหยดราวกับน้ำผึ้งป่าหาได้สั่นไหวหรือมีอาการตื่นกลัว
แต่กลับแฝงไปด้วยความคิดลึกล้ำอย่างไม่อาจคาดเดาซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าอันแสนใสซื่อ
เสียงของเครื่องดนตรียังคงบรรเลงดังสนั่นไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และหน้าผาที่สูงชัน รอบข้างของรถม้าเต็มไปด้วยเสียงของฝีเท้าอาชากลุ่มใหญ่ และเสียงของลมหายใจที่สม่ำเสมอขององครักษ์อารักขา ที่ถูกรัชทายาทส่งตัวมาคุ้มกันอย่างแน่นหนาราวกับกลัวว่านางจะหลบหนี
ในระหว่างที่อาเซ่อหลิงพ่นลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ฉับพลันเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นคล้ายกับลมพายุที่โหมกระหน่ำ
นักสังคีตหยุดบรรเลงเครื่องดนตรีในทันที อาชาศึกนำขบวนล้มลง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่ดังระงม ทหารอารักขาเงื้ออาวุธป้องกันตัวด้วยความคล่องแคล่ว เสียงกระทบของเหล็กกล้าดังก้องราวกับเป็นบทโหมโรงของหายนะ
ภายในรถม้ามือเรียวบางของอาเซ่อหลิงแหวกผ้าม่านออกกว้างพลางทอดสายตามองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นโดยไร้ท่าทีตื่นตระหนก
บริเวณมุมปากหยักสีแดงสดยกยิ้มอย่างเยือกเย็น ดวงตาหยุดนิ่งอยู่กับบุรุษสูงสง่าสองคน ที่กำลังฟาดฟันกับทหารอารักขาด้วยความโหดเหี้ยม ด้วยเพราะรู้ดีว่าบุรุษมากมายต่างหมายปองที่จะครอบครองนาง แต่พวกเขาเป็นผู้ใดกันเล่าที่อาจหาญแย่งชิงเจ้าสาวบรรณาการของรัชทายาทอย่างไม่เกรงกลัวในอำนาจเช่นนี้
ดวงตากลมยังคงจ้องมองบุรุษร่างสูงสง่าทั้งสองด้วยความสนใจ จนกระทั่งหมอกควันสีขาวได้แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วบริเวณ
แค่เพียงชั่วพริบตารถม้าของเจ้าสาวบรรณาการก็ถูกแยกออกไปจากขบวนท่ามกลางความมืดมิด พร้อมกับสติของอาเซ่อหลิงที่ดับสิ้นลงไปด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ความปกติ พวกเขาก็ไม่อาจล้าช้าอีกต่อไป ด้วยเพราะไม่ต้องการให้รัชทายาทแห่งแผ่นดินต้องกราดเกรี้ยว
จึงเร่งเดินทางต่อไปด้วยความรีบร้อนราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น รถม้ายังคงปกติดี แต่ผู้ใดกันจะล่วงรู้ว่าสตรีที่อยู่ภายในรถม้ายามนี้ หาใช่อาเซ่อหลิง นั่นเป็นเพราะเจ้าสาวตัวจริงได้ถูกสองจอมโจรแย่งชิงตัวไปแล้ว
..............................
สายลมแรงพัดผ่านรอยแยกของผนังไม้เข้ามายังด้านในเรือนเก่า ส่งให้ลูกไฟภายในเตาฟืนแตกเป๊าะแป๊ะคล้ายกับเสียงกระซิบอันดังลั่น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าผสมกับกลิ่นควันไฟลอยคลุ้งอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ท่ามกลางความเงียบสงบที่รายล้อมรอบกาย เสียงของลมหายใจของใครบางคนเป่ารดใบหู อาเซ่อหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่เปลือกตาอันแสนหนักอึ้งจะค่อย ๆ เปิดขึ้นด้วยความอ้อยอิ่ง
สิ่งแรกที่สายตาของนางมองเห็นก็คือใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่ง ที่งดงามหล่อเหลาจนแทบจะลืมหายใจ ทว่าดวงตาเรียวยาวกลับปกปิดความเจ้าเล่ห์เอาไว้ไม่มิด
"ตื่นแล้วหรือ" น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังดูอ่อนโยนเอ่ยขึ้นทักทายด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความน่าหลงใหล
เฮือก
อาเซ่อหลิงสะดุ้งตัวโยนอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะรีบหยัดกายลุกขึ้นในทันที เมื่อบุรุษร่างสูงยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ พลางสำรวจความเรียบร้อยของอาภรณ์ ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นแนบอกเมื่อทุกอย่างยังคงปกติดี อาเซ่อหลิงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วเหลือบตามองสำรวจทุกสิ่งรอบกายอีกครั้ง จนกระทั่งดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองตรงมาที่นาง ราวกับกำลังอ่านใจ เขาเอนกายนั่งพิงไปกับเสาไม้ พลางลูบปลายคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด
"อาซา ถอยออกมา..."
บุรุษที่นั่งพิงเสาเอ่ยขึ้น พร้อมกับหยัดยืนเต็มความสูงแล้วก้าวเท้าเข้ามาใกล้เตียงเก่าที่นางนั่งอยู่ ใบหน้าของพวกเขาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน สองบุรุษเบื้องหน้าไม่ใช่ภาพซ้อน และไม่ใช่เงาสะท้อนที่เกิดขึ้นในผืนในน้ำ แต่พวกเขาคือฝาแฝดที่นางเห็นเค้าลางในยามค่ำคืนที่ผ่านมา
"พวกท่านจับตัวข้ามาด้วยเหตุใด"
นางเอ่ยพึมพำ พลางทุบฝ่ามือลงบนลำคอระหงที่มีความรวดร้าวกัดกินอย่างไร้ท่าทีหวาดกลัว
"ไยเจ้าถึงไม่ตกใจที่เห็นพวกข้า" บุรุษที่ถูกขนานนามว่าอาซาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
"แล้วเหตุใดข้าจะต้องตกใจด้วยเล่า หรือว่าพวกท่านเป็นภูตผี มิใช่มนุษย์มีเนื้อหนัง"
อาเซ่อหลิงเอียงคอเอ่ยถามด้วยแววตาที่ใสซื่อ เพียงแค่ดวงตามองเห็นว่าพวกเขามีใบหน้าที่เหมือนกัน นางก็รับรู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาคือผู้ใด แต่นางก็เลือกที่จะทำทีเป็นแชเชือนเพื่อหยั่งเชิงพวกเขา
"ฟื้นขึ้นมาก็เอ่ยปากเสียยืดยาว" บุรุษผู้หนึ่งเลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหน็บแนม
"หากข้ามิพูดจา พวกท่านจะไม่กล่าวหาว่าข้าเป็นใบ้หรอกหรือ" นางคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางสะบัดเรือนผมให้หลุดจากปิ่นทองอันแสนหนักอึ้ง
"นางดูมีความกล้ามากกว่าที่ข้าคิด..." บุรุษที่เกาะขอบเตียงหันไปเอ่ยกับผู้เป็นพี่ชาย
"แล้วพวกท่านคือผู้ใด อ่อ ไม่สิ...ใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง"
อาเซ่อหลิงพลางหรี่ดวงตามองพวกเขาสลับกันไปมา แม้จะรู้ดีว่าบุรุษฝาแฝดคู่นี้เป็นผู้ใด แต่ก็ไร้ความสามารถที่จะแยกแยะได้ว่าคนไหนคือคนพี่ และคนไหนคือคนน้อง
"ข้า ทู่เหยียนเฉิง เป็นพี่"
"ข้า ทู่เหยียนซา เป็นน้อง"
"อ๋า...จอมโจรฝาแฝดแห่งหยวนอู๋" นางเลิกคิ้วขึ้นสูง ลากน้ำเสียงยาน หลังจากที่พวกเขาเอ่ยแนะนำตัว
"เรียกให้ดีหน่อยสิ พวกข้าคือรัชทายาทของหยวนอู๋" ทู่เหยียนซา แฝดผู้น้องได้แต่แค่นยิ้ม หลังจากที่ถูกเรียกว่าจอมโจร
"อ้อ…ข้าไม่ยักรู้ว่าจอมโจรสามารถเป็นรัชทายาทได้ด้วยหรือ" นางเอียงคอยิ้มร้าย รัชทายาทที่ใดกัน ถึงได้กล้าฉกชิงเจ้าสาวของผู้อื่น หากพวกเขาไม่ใช่โจรหัวขโมย
“เจ้ารู้จักพวกข้า...”
ทู่เหยียนเฉิงแฝดผู้พี่กระชับฝ่าเท้าก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยสายตาที่ดุดัน ก่อนจะเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พวกท่านลืมไปแล้วหรือ ว่าชนเผ่ามู่ซานของข้าก็อยู่ในอาณาจักรอวี้หลาน แล้วข้าจะไม่รู้จักจอมโจร...เอ่อ รัชทายาทเช่นพวกท่านทั้งสองได้อย่างไรกัน” นางตอบโต้ออกไป และยังคงไม่ละสายตาไปจากพวกเขา
“แต่เจ้าดูไม่ตกใจเลยสักนิดที่ถูกพวกข้าจับตัวมา” แฝดผู้น้องยังคงเอ่ยถามสตรีเบื้องหน้าด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
“ถึงอย่างไรพวกท่านก็ได้ชื่อว่าประมุขแห่งอวี้หลาน ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกท่านเห็นทีคงจะดีกว่าต้องตกเป็นทาสกามของ
รัชทายาทแห่งหนานหลิงผู้นั้น”
อาเซ่อหลิงเอ่ยออกไป ดวงตาคู่งามทอประกายความคิดลึกล้ำออกมาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นปกติด้วยความรวดเร็ว
“เจ้าอาจจะไม่ใช่ทาสกามของพวกข้า แต่เจ้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมกระดาน เมื่อรู้เช่นนี้เจ้าจะร้องขอให้ข้าส่งเจ้าคืนแก่เฉินจิ่นหานหรือไม่” แฝดผู้พี่เอ่ยถามด้วยสายตาที่กดดัน กลีบปากหยักเพียงแค่แสยะยิ้มหยั่งเชิง
“แต่นางงดงามถึงเพียงนี้ ข้าอยากให้นางเป็นทาสกามของข้ายิ่งนัก” ทู่เหยียนซาแฝดผู้น้องได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม
“อาซา หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้” แฝดผู้พี่เอ่ยปรามจนผู้เป็นน้องยกฝ่ามือหยาบขึ้นมาปิดปากด้วยความรวดเร็ว
“ข้าไม่ได้สนใจว่าพวกท่านจะเห็นข้าเป็นหมากหรือไม่ สิ่งที่ข้าต้องการคืออิสระเท่านั้น” อาเซ่อหลิงยักไหล่น้อย ๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงเก่าด้วยความงดงาม ชั่วชีวิตนี้ของนางถูกบังคับมามากเกินพอ สิ่งที่นางต้องการคือการได้ใช้ชีวิตของตัวเอง
“สงครามระหว่างอวี้หลานกับหนานหลิงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และเจ้าคือชนวน...” ทู่เหยียนเฉิงส่งยิ้มร้ายให้แก่นาง ราวกับเป็นการย้ำเตือนว่า ยามนี้นางไม่มีหนทางอื่นใดให้เลือกแล้ว
“แล้วข้าเลือกอะไรได้หรือ...”
อาเซ่อหลิงพ่นลมหายใจออกมา ไม่ว่าจะหนทางใดย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ถึงอย่างไรนางก็ไม่อยากถูกขังอยู่ในกรงทองของพระราชวังอันเลื่องลือ สตรีงามมีคุณค่าเมื่อยามที่อยู่บนเตียงเพียงเท่านั้น นางจึงได้แต่ยอมเป็นหมากให้กับรัชทายาทฝาแฝดด้วยความจำนน
“ฮ่า เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ในชนเผ่าของข้าให้สบายใจเถอะ” แฝดผู้พี่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ
“อยู่กับพวกข้า รับรองเจ้าจะมีแต่ความสุข” แฝดผู้น้องยิ้มกว้าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ประหนึ่งหมาป่าหิวกระหาย
จู่ ๆ อาเซ่อหลิงก็รู้สึกชาวาบที่สันหลัง ขนลุกตั้งชันไปทั่วทั้งตัว และเริ่มไม่แน่ใจว่านี่นับเป็นเรื่องดีหรือไม่ที่ถูกพวกเขาแย่งชิงตัวมา
ก่อนจะแสร้งส่งยิ้มกว้างให้กับสองฝาแฝด ราวกับว่าได้พบเจอมิตรแท้
ในสงครามที่กำลังจะปะทุขึ้น อาเซ่อหลิง...คือหมากล้ำค่า ที่บุรุษต่างหมายปอง แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่า นางอาจไม่ใช่เพียงแค่หมากตัวหนึ่ง แต่อาจเป็นผู้ที่คว่ำกระดานด้วยน้ำมือตัวเอง...