บทที่ 1 คำทำนายที่มิอาจหลีกเลี่ยง
ยี่สิบปีต่อมา ...
ทุ่งหญ้าเขียวขจีภายในชนเผ่าหยวนอู๋นั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ต้นไม้น้อยใหญ่กับทิวเขาสูงตระหง่านโอบล้อมพระราชวังที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงด้วยความร่มรื่น ดอกไม้ป่าในยามนี้ต่างเบ่งบานอาบแสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ
สายลมเย็นพัดโชยยอดหญ้าให้กวัดแกว่งอยู่เป็นระลอก ฝูงอาชาย่ำเหยาะอยู่ไม่ไกล กลิ่นหอมหวานของดอกหญ้าโชยมาแตะจมูกอย่างบางเบา ที่แห่งนี้คือดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยเสรีภาพ ชนเผ่าผู้ไม่เคยยอมศิโรราบต่อผู้ใด
อานาจักรอวี้หลาน เกิดจากการรวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ ที่ยอมศิโรราบ และพร้อมที่จะอยู่ใต้อาณัติของชนเผ่าหยวนอู๋เพื่อความผาสุข
ทู่เหยียนเป็นประมุขที่มากด้วยความสามารถ เก่งกาจการรบ และการเจรจาค้าขาย อานาจักรของเขาจึงมีแต่ความรุ่งเรือง ซ้ำยังไม่มีผู้ใดกล้า
ที่จะรุกราน แม้กระทั่งราชวงศ์
ภายในตำหนักหินขาว ประดับอัญมณีอันเป็นสถานที่ว่าราชการของอาณาจักรอวี้หลาน ยามนี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด กลางห้องโถงใหญ่มีร่างใหญ่โตของทู่เหยียนประทับอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักลาย แม้จะมีอายุอานามที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคน แต่ยังคงมีเค้าลางของความหล่อเหลา และโหดเหี้ยมอยู่บนใบหน้าที่คมคาย
ดวงเนตรที่เริ่มปรากฏริ้วรอยแห่งวัยยังคงเยียบเย็นอยู่ไม่น้อย มีเพียงเรียวคิ้วหนาเท่านั้นที่ขมวดแน่น นัยน์ตาทอประกายความไม่พอใจขึ้นมา อย่างเห็นได้ชัด
เบื้องหน้าของทู่เหยียน คือท่านผู้เฒ่าเหลียนเจียง นักพยากรณ์อาวุโสที่ได้รับการเคารพแห่งชนเผ่าหยวนอู๋ เขาเองก็มีสีหน้าคร่ำเครียดไม่ต่างจากผู้เป็นประมุขสักเท่าใดนัก
“ท่านประมุข รัชทายาททั้งสองก็ถึงวัยที่จะมีคู่ครองแล้วพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งพวกเขายังเป็นฝาแฝดที่ถือกำเนิดมาจากดวงดาวพิฆาต จำต้องมีชายาจากเผ่าธิดาเทพมาหนุนดวง”
“ข้าไม่เห็นด้วยกับคำทำนายของท่าน...รัชทายาททั้งสองย่อมได้ปกครองอวี้หลานต่อจากข้า เหตุใดถึงต้องพึ่งดวงของสตรีด้วยเล่า อีกทั้งยังต้องเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวจากเผ่ามู่ซาน หรือว่าท่านผู้เฒ่าเห็นว่าโอรสของข้านั้นไร้ความสามารถ และที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดจะต้องให้พวกเขามีชายาร่วมกัน”
ทู่เหยียนเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาเปล่งประกายเย็นชา และรู้สึกขัดใจต่อคำทำนายของท่านผู้เฒ่าอยู่ไม่น้อย
ผู้เฒ่าเหลียนเจียงไม่ได้แสดงความหวั่นไหวออกมา หลังจากที่เห็นท่าทีไม่พอพระทัยของผู้เป็นประมุข เขายังคงนั่งนิ่ง และเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ทว่าทรงพลัง
“มิใช่ว่ากระหม่อมกังขาในความสามารถของรัชทายาททั้งสองพระองค์ แต่เพราะสตรีผู้นั้นมิใช่สตรีธรรมดา นางคือธิดาเทพแห่งมู่ซาน ผู้มีคำทำนายตั้งแต่กำเนิดว่า สตรีที่ชี้ชะตาของราชวงศ์ หากบุรุษใดได้ครอบครองนาง ก็จะมีอายุที่ยืนยาว โชคดี จะเป็นผู้ที่ได้ปกครองอาณาจักรและแคว้นใกล้เคียงอย่างกว้างขวาง”
“สิ่งอื่นข้ายังพอจะเข้าใจ แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ พวกเขาเป็นพี่น้องกัน นางจะเป็นชายาของผู้ใดก็ให้เป็นไปสักคนก็เพียงพอแล้วกระมัง จะให้สตรีผู้หนึ่งมีสามีถึงสองคนได้เยี่ยงไรกัน!” ทู่เหยียนแย้งขึ้น พร้อมกับส่ายพระพักตร์ด้วยความสงสัย
“แต่สวรรค์ได้ลิขิตเอาไว้เช่นนั้น...ธิดาเทพมีเพียงหนึ่งเดียวที่เหมาะสมกับรัชทายาททั้งสอง นางจะเป็นสะพานสู่การรวบรวมแผ่นดิน หากแยกพวกเขาออกจากกัน นางจะนำหายนะมาสู่” เสียงของผู้เฒ่าดัง ก้องไปทั่วตำหนัก
ซูอวี้หยาง นั่งอยู่ข้างกายของผู้เป็นสามี และได้ฟังการสนทนามาตั้งแต่ต้น เผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ใบหน้างดงามแฝงนั้นด้วยความกังวล สตรีที่ผ่านเรื่องราวมานับไม่ถ้วนในวัยสาว ยามนี้แม้วันเวลาจะผ่านไปราวยี่สิบปี กลับยังคงงดงามและแข็งแกร่ง นางเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่อาจทำใจ
“สามีเพียงหนึ่งสำหรับสตรีล้วนเป็นเรื่องปกติในทุกแคว้น แต่สตรีหนึ่งกับสามีสอง จะเป็นเช่นไร ข้ามิเคยเห็น” นางเอ่ยขึ้นเบา ๆ ก่อนจะหยุดคิดไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่
“ท่านผู้เฒ่าออกไปก่อนเถิด ข้าจะลองถามความเห็นของโอรสทั้งสองดูเสียก่อน” ประมุขทู่เหยียนค้อมกายลง เพื่อส่งท่านผู้เฒ่า
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงเกือกม้าดังขึ้นมาจากบริเวณลานกว้างที่อยู่ทางด้านนอกของตำหนัก หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเดินออกไปเพียงชั่วครู่ ประตูหินก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ก่อนที่สองบุรุษในอาภรณ์ชนเผ่าสีฟ้าครามจะก้าวเข้ามาด้านใน ด้วยสีหน้าที่ต่างความรู้สึก
“คารวะ เสด็จพ่อ/เสด็จแม่”
สองฝาแฝดค้อมกายลงเคารพผู้เป็นบิดาและมารดา ด้วยความอ่อนน้อม และกตัญญูรู้คุณ
ทู่เหยียนเฉิง ฝาแฝดผู้พี่ ผู้มีดวงหน้าคมเข้ม ตาเรียวลึก สงบนิ่งและแข็งแกร่งดั่งขุนเขา ในทุกท่วงท่าล้วนเต็มไปด้วยความสุขุม ดุดัน
ทู่เหยียนซา ฝาแฝดผู้น้อง ผู้มีใบหน้างดงามราวกับหยก สายตาเต็มไปด้วยความซุกซน ยียวน และมักจะมีรอยยิ้มติดมุมปากอยู่เสมอ
“พวกเจ้า...ได้ยินเรื่องที่ข้าสนทนากับท่านผู้เฒ่าแล้วใช่หรือไม่” ทู่เหยียน เอ่ยถามออกไปโดยไม่คิดอ้อมค้อม
“ได้ยินแล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่าพวกข้าจะต้อง...มีชายาร่วมกัน”
ทู่เหยียนซาเอ่ยพลางกลั้นหัวเราะ เมื่อคิดว่าต้องร่วมรักกับพระชายาพร้อมกับผู้เป็นพี่ชาย เรื่องนี้พวกเขารับรู้มานานแล้ว เพียงแต่ผู้เป็นบิดามักจะหาทางบ่ายเบี่ยงให้กับพวกเขามาโดยตลอด แต่เห็นทีครานี้คงจะไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป
“พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร”
“ข้าไม่มีปัญหา หากนางไม่ขัดใจข้า...”
ทู่เหยียนเฉิงตอบเสียงเรียบ และดูไม่ใส่ใจ เดิมทีเขาก็ไม่ชอบชิดใกล้กับสตรีอยู่แล้ว คำตอบของเขาจึงผิดแปลกไปจากน้องชายหลายส่วนนัก
“สำหรับข้ายิ่งไม่มีปัญหา หากสตรีผู้นั้นงดงามถูกใจของข้า อยู่กันสามคน คงจะอบอุ่นดีมิใช่หรือ เสด็จพ่อกังวลอันใดกัน” แฝดผู้น้องเอ่ยเสริมด้วยสีหน้าที่ชื่นบาน
“พวกเจ้าแต่ละคน...ไม่จริงจังกันเลยสักนิด!” ทู่เหยียนตบโต๊ะจนสั่นสะเทือน
“เสด็จพี่ โปรดเย็นพระทัยก่อนเพคะ”
พระชายาซูได้แต่เอ่ยปรามผู้เป็นสามี ก่อนจะตวัดดวงตาใส่ทู่เหยียนซา เป็นเชิงปรามให้เขาสำรวมกิริยาท่าที
“ข้าเองก็จริงจังกับการต่อสู้มากกว่า ส่วนเรื่องสตรี สำหรับข้าย่อมเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย” ทู่เหยียนเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ส่วนข้าจริงจังกับสตรีมากกว่า...บางทีนางอาจจะสร้างสีสันให้ชีวิตข้าได้มากกว่านี้” ทู่เหยียนซายักไหล่ และยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใด
ผู้เป็นบิดาถึงได้มีสีหน้าที่กังวล
“พอกันทั้งพี่ทั้งน้อง น้องหญิงซูข้าปวดหัวยิ่งนัก”
ประมุขทู่เหยียนพ่นลมหายใจยาว มือหนาลูบปลายคางอย่างเคร่งเครียด โอรสทั้งสองที่เขาตั้งใจเลี้ยงมาตั้งแต่ยังแบเบาะ เหตุใดถึงได้มีนิสัยที่ต่างกันสุดขั้วถึงเพียงนี้
“อาเฉิง อาซา เจ้าจงเร่งเดินทางไปที่ชนเผ่ามู่ซาน เพื่อทำความรู้จักกับธิดาเทพ นามว่าอาเซ่อหลิง นี่คือคำสั่งของข้า”
ซูอวี้หยางเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พระพักตร์งามในยามที่จริงจัง ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะต่อกร จึงได้แต่จำใจรับคำสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทผู้พี่เดินคอตกออกจากตำหนักด้วยความขัดใจ เขาอยากฝึกการใช้อาวุธมากกว่า ในขณะที่แฝดผู้น้องมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขใจ ก่อนจะขึ้นอาชาและควบออกไป มุ่งตรงสู่หุบเขามู่ซานที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลในทันที เมื่อเห็นว่ารัชทายาททั้งสองควบอาชาออกไป บรรดาองครักษ์ก็ไม่รอช้าเร่งติดตามผู้เป็นนายไปอย่างรีบเร่ง
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม อาชาของพวกเขาก็ชะลอตัวลงเมื่อใกล้ถึงที่พำนักของชนเผ่ามู่ซาน แต่ทว่าขบวนรับเจ้าสาวกลับขวางหน้าของพวกเขาเอาไว้ อีกทั้งยังดูเร่งรีบ
“ไป๋จิ้ง เจ้าไปถามดูหน่อย ว่าพวกเขารีบเร่งไปที่ใดกัน” ทู่เหยียนเฉิงเอ่ยบอกแก่องครักษ์คู่ใจ
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ดูเหมือนว่าขบวนรับเจ้าสาวนั่น จะไม่ใช่ของบุรุษธรรมดาทั่วไป”
รัชทายาทผู้น้องเอ่ยขึ้น ในขณะที่ผู้เป็นพี่ชายยังคงเงียบขรึม และรอคอยให้ไป๋จิ้งกลับมารายงาน ไม่นานองครักษ์ของเขาก็หน้าตาตื่นกลับมา
“ฝ่าบาท แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ขบวนรับเจ้าสาวกำลังเดินทางไปยังชนเผ่ามู่ซาน เพื่อรับตัวเจ้าสาวบรรณาการของรัชทายาทเฉินจิ่นหาน
แห่งแคว้นหนานหลิง เจ้าสาวผู้นั้นมีนามว่าอาเซ่อหลิงพ่ะย่ะค่ะ”
“เฉินจิ่นหาน...”
ทู่เหยียนเฉิงขบกรามแน่นในทันที หลังจากได้ยินชื่อนั้น ช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัชทายาทผู้นี้ได้สร้างความวุ่นวายและใช้อำนาจรุกรานชนเผ่ารากหญ้าของพวกเขาอยู่ไม่น้อย
“อาเซ่อหลิง...นั่นคือธิดาเทพที่เสด็จแม่ให้เจ้ากับข้ามาพบมิใช่หรือ จะทำเช่นไรดีเล่าในเมื่อนางกำลังจะเป็นเจ้าสาวบรรณาการ” ทู่เหยียนซาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเช่นเดียวกับแฝดผู้พี่
“ไป๋จิ้ง เร่งไปเตรียมกองกำลังให้พร้อม คืนนี้พวกเราจะแสร้งเป็นโจร” รัชทายาทผู้พี่แสยะยิ้มอย่างเจ้าแผนการ
“อาเฉิง ไยต้องเป็นโจรด้วยเล่า”
แฝดผู้น้องเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อคิดขึ้นได้ และเข้าใจในสิ่งที่แฝดผู้พี่เอ่ยสั่งการ
สองพี่น้องกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย เพียงแค่สบตาก็รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคิดเห็นเช่นไร ก่อนที่พวกเขาจะเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
“ชิงตัวเจ้าสาว!”