บทที่ 3 จับผิดองครักษ์คู่ใจ
บทที่ 3 จับผิดองครักษ์คู่ใจ
“พระชายา” เกาหรงซานเอ่ยเรียกเมียรักหลังจากสังเกตมาสักพักแล้วว่านางไม่ค่อยเจริญอาหาร แทบจะคีบข้าวใส่ปากทีละเม็ดเลยก็ว่าได้ “ทำไมถึงไม่กินเลยเล่า อาหารไม่ถูกปากหรือ.. เจ้าเป็นอะไรเล่า!” ตกใจจนเสียงหลงเมื่อเห็นน้ำตาคลอเบ้าของนาง
หญิงสาวรีบปาดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาทิ้ง ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ข่มกลั้นความหวาดระแวงไว้อย่างที่สุด
“ข้าแค่คิดถึงลูก ๆ เท่านั้น”
“ข้าจะรีบให้จวงเล่ยไปรับพวกเขากลับมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องหรอกท่านพี่”
“เช่นนั้นเจ้าก็จะร้องไห้แบบนี้ไม่หยุด”
“แต่พี่ชายของพวกเขาก็คิดถึงพวกเขาเหมือนกัน เรื่องแค่นี้ข้าทนได้เจ้าค่ะ” นางคิดเรื่องของเขาทั้งคืนแทบไม่ได้นอน ความเหงาความว้าเหว่ที่บังเกิดจึงทำให้นางพลอยคิดถึงลูก ๆ ไปด้วย “วันนี้ท่านจะเข้าวังหลวงหรือไม่”
“..ไปสิ เดี๋ยวข้าก็ต้องไปแล้ว คืนนี้คงจะกลับดึกอีกเหมือนเคย” ชั่งใจอยู่ชั่วเสี้ยวลมหายใจก่อนจะตอบ
คิ้วเรียวโก่งกระตุกเล็กน้อยเมื่อเขาหลบสายตา ไม่กล้าสบตานางเหมือนแต่ก่อน แม้แต่น้ำเสียงหงุดหงิดหรือคำบ่นพาดพิงถึงองค์ฮ่องเต้ที่เป็นญาติผู้น้องก็ยังไม่มีเหมือนเคย
“กรำงานหนักแบบนี้ต้องรักษาสุขภาพให้ดี กินข้าวให้ครบทุกมื้อด้วย อย่าเอาแต่ทำงานจนลืมดูแลตัวเองเล่า”
“ข้าเข้าใจแล้วต้าเอ๋อร์.. อะไรหรือ” เห็นสายตามีคำถามคลอไปด้วยน้ำตาจึงเอ่ยถาม
“...ท่านแน่ใจหรือ”
“แน่ใจ.. เรื่องดูแลตัวเองน่ะหรือ” แล้วมือใหญ่ก็เอื้อมไปกุมมือนุ่มของเมียรัก “แน่ใจสิยอดรัก เจ้าเลิกห่วงเรื่องไม่เป็นเรื่องเถิด สามีคนนี้ไม่เคยไม่เชื่อฟังคำพูดของเจ้าหรอกนะ”
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นตลอดไปเถิดนะ” คำถามที่จะถามว่าแน่ใจหรือว่าอยู่กับฝ่าบาทจนดึกดื่นเป็นอันกลืนลงท้อง เก็บซ่อนความหวาดระแวงไว้ในอก
“ไยพูดเช่นนั้นเล่า เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้ารักเจ้ามากเพียงใด”
“รู้สิ ข้ารู้” ข้าถึงรู้ว่าท่านแปลกไปนี่ไงเล่า
“อือ กินข้าวเถิด” แล้วคีบเนื้อไก่ใส่ลงบนถ้วยข้าวของภรรยา “วันนี้เจ้าจะออกไปไหนหรือไม่”
“ท่านรู้ตัวบ้างไหมว่าตลอดหลายวันมานี้ท่านถามข้าแบบนี้ทุกวัน” ฝ่ายภรรยาเขม้นมองสามี “ท่านกลัวหรือท่านเป็นห่วงข้ากันแน่”
“อะไรของเจ้า ทำไมต้องมองข้าด้วยสายตาสงสัยเช่นนั้นด้วย”
“แล้วท่านเป็นอะไรของท่าน ทำไมต้องถามแปลก ๆ ทำตัวแปลก ๆ กับข้าด้วย ท่านดูลนลานนะวันนี้”
“ข้า!” เกาหรงซานเบิกตาโตเล็กน้อยขณะชี้ตะเกียบใส่ตัวเอง “ข้านี่นะลนลาน เจ้าเอาอะไรมาพูดฮูหยิน”
“ปกติท่านชอบเรียกข้าว่าต้าเอ๋อร์นะท่านพี่ อยู่ ๆ มาเรียกฮูหยินเหมือนบ่าวรับใช้นี่ไม่แปลกไปหน่อยหรือ.. หรือว่าท่านกำลังตกใจจนเพี้ยน”
“เป็นอะไรของเจ้าเนี่ย ทำไมวันนี้ต้องทำตัวจับผิดข้าด้วย ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอีกแล้วหรือ”
“หึ! ข้าก็แค่หยอกเล่นเท่านั้น ทำไมต้องโวยวายด้วยเล่า” ยิ่งเห็นอาการลนลานของสามีก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองคิดถูก.. แต่เอาเถิด ปล่อยให้ตายใจไปก่อนก็แล้วกัน โชคดีเหลือเกินที่เวลานี้ลูก ๆ ไม่อยู่ด้วย จะไปไหนมาไหน ทำอะไรก็สะดวก
เกาอ๋องผู้เป็นสามีเกือบจะเผลอหายใจโล่งอกเสียงดัง แต่ดีที่ยังมีสติจึงค่อย ๆ ผ่อนออก ทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเพื่อหลบสายตาที่จ้องเขม็งของเมียรัก
“กินข้าวเถิด” ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีกเพราะกลัวจะสะกิดหูอีกฝ่าย
ฝ่ายภรรยาไม่พูดอะไรให้มากความเพราะกลัวฝ่ายสามีจะระแวดระวังตัวมากยิ่งขึ้น ได้แต่ฝืนใจกินข้าวเป็นเพื่อนเขาไปเงียบ ๆ จนเสร็จ
เมื่อสามีออกจากบ้านก็จัดการเรียกหาหนึ่งในองครักษ์ที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดให้มาหา แม้จะรู้ว่ามันยากนักที่จะล้วงความลับจากคนของเขา แต่นางก็จะลองทำดู
“พระชายา” จวงเล่ยคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อมเมื่อมาถึง
“เรียกฮูหยินเถิดท่านเล่ย ข้าไม่ค่อยชอบถูกเรียกว่าพระชายาสักเท่าไหร่ มันดูสูงศักดิ์เกินไป ฟังแล้วครั่นเนื้อครั่นตัวทุกครั้ง”
“ขอรับ”
“นั่งดื่มชากับข้าก่อนสิ”
“ขอบคุณฮูหยิน” จวงเล่ยนั่งลงและยกชาที่นางรินให้ขึ้นมาจิบเล็กน้อย
“วันนี้ท่านอ๋องไม่มีงานให้ท่านทำหรือ” รอเขาจิบชาเสร็จก็เริ่มชวนคุย
“มีขอรับ แต่ฮูหยินเรียกตัว ข้าจึงมาพบท่านก่อน”
“อ้อ เขาให้ท่านไปไหนเล่าวันนี้”
“เข้าวั..” จวงเล่ยแทบอยากจะตบปากที่พลาดพลั้งของตัวเองแรง ๆ “เอ่อ.. ท่านอ๋องให้ข้าตามไปสมทบกับท่านที่วังหลวงขอรับฮูหยิน”
“อ้อ..” ใบหน้างามพยักช้า ๆ อย่างเข้าใจ แต่ใจนั้นกลับคิดไปอีกอย่าง “ท่านอ๋องบอกว่าช่วงนี้กลับดึกเพราะต้องวางแผนเรื่องฉีอ๋อง ฉีอ๋องที่ยอมสงบมานานทำไมถึงคิดแข็งข้อขึ้นอีกเล่า ข้าไม่เข้าใจเลยเขาเลย ร่างกายก็อ่อนแอขี้โรคปานนั้น ยังคิดจะทำศึกอีก แทนที่จะอยู่ใช้ชีวิตอย่างสงบในบั้นปลาย”
“พื้นนิสัยของฉีอ๋องนั้นเป็นคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงมานานแล้ว ถึงแม้จะยอมศิโรราบให้ต้าหมิง แต่ลึก ๆ ก็คงรอโอกาสนี้อยู่” จวงเล่ยเชื่อสนิทใจว่าเกาอ๋องแต่งเรื่องฉีอ๋องลวงพระชายา จึงยอมตามน้ำไปกับเขา
“ไปสังเกตการณ์ครั้งนี้ท่านก็จะเดินทางไปกับท่านอ๋องด้วยใช่ไหม”
“..แน่นอนขอรับ” ท่านอ๋องนะท่านอ๋อง ทำไมต้องโกหกพระชายาเสียมากมายเช่นนี้ แล้วทำไมข้าต้องมามีเอี่ยวด้วย
“ได้ยินแบบนี้ข้าก็สบายใจขึ้นมากแล้ว ข้าฝากท่านดูแลท่านอ๋องด้วยนะ ช่วงนี้ท่านกรำงานหนัก แล้วอีกไม่กี่วันก็ต้องออกเดินทางไกลอีก ข้ากลัวว่าเขาจะล้มป่วยกลางทางเหลือเกิน”
“ท่านอ๋องสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ไม่ล้มป่วยง่าย ๆ หรอก ฮูหยินอย่าได้กังวลเกินไปนัก”
“ข้าก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา ก็เขาเป็นสามีของข้านี่นา แล้วท่านเล่า มีอะไรขาดเหลือหรือไม่ บอกข้าได้นะ ก่อนออกเดินทางข้าจะให้คนจัดเตรียมไว้ให้”
“ไม่มีหรอกขอรับ”
“ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอกนะ ท่านตัวคนเดียว ไม่มีคนคอยดูแล อะไรที่ข้าพอช่วยได้ก็อยากจะช่วยบ้าง”
“ขอบคุณฮูหยิน แต่ข้าเตรียมตัวไว้พร้อมหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องรบกวนท่านหรอก”
“เช่นนั้นก็แล้วไป แต่ถ้ามีก็บอกข้าได้ทันทีเลยนะ”
“ขอรับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”
“เชิญ” นางพยักหน้าให้องครักษ์คู่ใจของสามีพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน แต่พอเขาออกไปพ้นจากสายตาเท่านั้น ไหล่ที่ตั้งตรงก็สั่นสะท้าน น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มทันที
ความจริงปรากฏแล้ว เขากำลังโกหกนาง โดยมีคนของเขาสมรู้ร่วมคิด
