บทที่ 4 หลงกล
บทที่ 4 หลงกล
จวงเล่ยแยกจากพระชายาเกาได้ก็ขี่ม้าตรงดิ่งไปที่กระท่อมลึกกลางป่าหลิว ที่อยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวง เขาไม่ได้เข้าไปใกล้กระท่อมที่ถูกสร้างอย่างดี ผิดกับกระท่อมของชาวบ้าน แต่ส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ในนั้นรับรู้และรอคอยการมาถึงด้วยใจที่ร้อนรุ่ม
ไม่นานบุรุษชาตินักรบผู้สง่างามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า “ท่านอ๋อง”
เกาหรงซานคิ้วขมวด แววตาเกิดคำถาม “เกิดอะไรขึ้น ทำไมสีหน้าถึงเคร่งเครียดเช่นนั้น”
“ข้าก็อยากจะถามท่านอ๋องเช่นกัน”
“ถามข้า.. เพราะข้าอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ เพราะท่านข้าถึงต้องเป็นแบบนี้ ข้ารู้สึกผิดต่อพระชายาเอกยิ่งนัก”
“หยุดพูดคำนั้นนะ!” เกาหรงซานเสียงกร้าวใส่คนสนิทพร้อมกับชี้นิ้วใส่ “ต้าชวี่คือพระชายาของข้าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
จวงเล่ยขบกรามแน่น นัยน์ตาคุกรุ่นด้วยความไม่พอใจมองหน้าผู้เป็นนายเหนือหัว
“เช่นนั้นท่านทำแบบนี้ทำไม ถ้าท่านบอกว่าพระชายาเกาเป็นชายาเพียงหนึ่งเดียวของท่าน แล้วนางในกระท่อมหลังนั้นเป็นใครเล่า ทำไมท่านต้องให้ความสำคัญกับนางถึงขั้นโกหกพระชายาด้วย” ท้ายประโยคเขาถามเสียงกร้าวพร้อมชี้นิ้วไปที่กระท่อมอย่างสุดจะทานทนอีกต่อไป
“โกหก..” คิ้วเข้มขมวดมุ่นมองหน้าองครักษ์คู่ใจ ใจเริ่มเต้นถี่ผิดจังหวะ “โกหกอะไร เจ้าไปได้ยินอะไรมาจากนาง!”
ได้ยินคำถามเสียงกร้าวแต่แววตากังวลของผู้เป็นนาย ใจของจวงเล่ยก็ตกวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“นางบอกว่าท่านจะเดินทางไปสังเกตการณ์ฉีอ๋องเร็ว ๆ นี้..” จวงเล่ยเขาทรุดลงไปกองกับพื้นเมื่อเห็นดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจของอีกฝ่าย โขกศีรษะขอลุแก่โทษเมื่อรู้ตัวว่าโดนพระชายาหลอกเข้าให้แล้ว “ได้โปรดสังหารข้าเถิดท่านอ๋อง ข้าโง่นักที่หลงกลนาง”
“ลุกขึ้น แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้!”
ได้ฟังเนื้อความตามที่จวงเล่ยเล่ามาจนจบ เกาอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ก็แทบจะไร้แรงหยัดยืน
“ท่านอ๋อง” จวงเล่ยมองเห็นความหวาดวิตกของผู้เป็นนายก็ใจคอไม่ดี
“แล้วข้าจะสู้หน้านางได้อย่างไร”
“ข้าผิดไปแล้วท่านอ๋อง”
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกจวงเล่ย ข้าเองที่ผิด.. ข้าคงทำตัวให้นางระแวงแคลงใจมาตลอด.. ข้าเองที่ผิด ไม่ใช่เจ้า” เจ็บปวดใจเหลือเกินที่ต้องตกอยู่ในเหตุการณ์เช่นนี้
จวงเล่ยรู้สึกเสียใจยิ่งนักที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกันดีเล่า ท่านอ๋องอยากให้ข้าไปแก้ต่างอย่างไรก็บอกมาเถิด ข้าจะยอมทำทุกอย่าง”
“มาถึงขั้นนี้แล้วจะโกหกเพื่ออะไรอีก ข้าจะจัดการเรื่องทั้งหมดเอง เจ้าก็ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“ขอรับ แล้วท่านอ๋องจะจัดการอย่างไร จะกลับไปหาพระชายาตอนนี้เลยหรือไม่”
“เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าต้องสะสางทางนี้ก่อน เสร็จแล้วจะรีบกลับไป”
ได้ยินคำตอบจวงเล่ยก็ขัดใจนัก ปากท่านบอกว่ารักพระชายาต้าชวี่คนเดียว มีนางเป็นพระชายาเพียงหนึ่งเดียว แต่ทำไมทำท่าเหมือนรักสตรีนางนั้นเช่นกัน
“ขอรับ ข้าขอลา” แม้จะไม่พอใจเพียงใดเขาก็ต้องเก็บงำเอาไว้ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย หน้าที่ของเขาก็คือทำตามคำสั่งเท่านั้น
จวงเล่ยจากไปแล้ว แต่เกาหรงซานยังยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม มีเพียงสีหน้าเท่านั้นที่ขมวดมุ่นครุ่นคิดหนัก แววตาทอแสงความเจ็บปวดขณะนึกถึงใบหน้างดงามไร้ที่ติของชายาสุดที่รักเพียงหนึ่งเดียว
แกร๊บ..
บุรุษชาตินักรบเหลือบหางตาไปมองทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติและหันไปมองเต็ม ๆ ตา
“อาซา.. ออกมาทำไม ลมเย็นแบบนี้เดี๋ยวก็ล้มป่วยอีกหรอก”
“ข้ารอท่านกินข้าวแต่ไม่เห็นท่านกลับไปสักทีก็เลยออกมาตาม”
“เย็นแล้วหรือ” ถามพร้อมกับมองไปรอบ ๆ
“เย็นมากแล้วท่านพี่ กลับเข้าเรือนกันเถิด” นางเห็นเขายืนอยู่ตรงนี้โดยไม่ยอมขยับตัวเลยตั้งแต่องครักษ์ที่ชื่อจวงเล่ยจากไป มองจนทนมองต่อไปไม่ไหวจึงเดินมาตาม “มีเรื่องอะไรให้คิดหนักหรือท่านพี่ สีหน้าท่านไม่สู้ดีเลย”
“เรื่องการทหารน่ะ เจ้าอย่ารู้เลย”
“เจ้าค่ะ” ตอบรับอย่างสำรวมและเดินตามเขาไปเงียบ ๆ จนถึงโต๊ะอาหาร “วันนี้ข้ารู้สึกเจ็บท้องนัก อยากให้ท่านพี่ค้างคืนที่นี่เป็นเพื่อนได้หรือไม่”
“ไม่ได้หรอก”
ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาแบบไม่ทันคิดก็รู้สึกขุ่นเคือง
“แต่ข้าเจ็บท้องนะเจ้าค่ะ” ความอยากเอาชนะทำให้นางท้วงติง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงความพอใจออกไปทั้งทางน้ำเสียงและสีหน้า
“แต่ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะไม่ค้างคืนกับเจ้าเด็ดขาด และเจ้าก็รับปากกับข้าแล้ว”
“แต่วันนี้ข้าหน่วงท้องแทบทั้งวัน บางทีลูกของเรา”
“ยังไงก็ไม่ได้ เจ้าเข้าใจข้าหน่อยนะอาซา” เกาอ๋องปฏิเสธหนักแน่นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบประโยค
“แค่คืนเดียวเท่านั้น ท่านพี่ก็อย่าใจดำกับข้านักเลย”
“ข้าไม่ได้มีเจ้าแค่คนเดียว”
“แต่ข้าก็เป็นเมียของท่าน ท่านก็ต้องแบ่งปันเวลาให้ข้าบ้าง” เสียงหวาน ๆ เริ่มกระด้างขึ้น
“แล้วทุกวันนี้ที่ข้ามาอยู่กับเจ้าทุกวัน ข้าไม่ได้แบ่งเวลาให้เจ้าหรืออาซา”
“แต่ข้าอยากได้เวลาตอนกลางคืนของท่านบ้าง”
“ไม่ได้! ในเมื่อกลางวันเจ้าได้ไปแล้ว กลางคืนก็ต้องไม่ใช่ของเจ้า”
“เช่นนั้นข้าขอเวลาตอนกลางคืน และคืนเวลาตอนกลางวันให้กับท่าน กลางวันท่านจะไปทำอะไรที่ไหนก็เชิญ แต่ยามซวีถึงยามเหม่าต้องเป็นของข้าเท่านั้น”
“ไม่ได้! ยังไงก็ไม่ได้”
“ข้าต้องได้!” สตรีที่ดูนุ่มนวลตอบเสียงแข็ง มองเขาด้วยสายตาเอาแต่ใจ “ท่านต้องยกเวลาตอนกลางคืนให้ข้า และไปอยู่กับพระชายาเกาตอนกลางวันแทน ไม่เช่นนั้นท่านเดือดร้อนแน่”
“เจ้ากล้าขู่ข้าหรืออาซา” ถามเสียงเย็นนัยน์ตากร้าว
อาซาคลี่ยิ้มละมุน นัยน์ตากร้าวเอาเรื่องเปลี่ยนเป็นใสซื่อไร้พิษภัย
“มิกล้าเจ้าค่ะ.. แต่ข้าพูดจริงทำจริงต่างหาก”
“อย่าริอาจแตะต้องพระชายาของข้า”
“ข้าไม่แตะนางก็ได้ แต่ท่านต้องทำตามที่ข้าขอ และถ้าท่านไม่ทำ” มือเรียวลูบวนที่หน้าท้องนูน “ข้าอาจจะคลั่งจนทำอะไรไม่ยั้งคิดลงไปก็ได้”
“เจ้าจะทำไปเพื่ออะไรอาซา!” เสียงกร้าวด้วยความโมโหที่นางเอาเด็กในท้องมาขู่
“ก็เพราะข้ารักท่านมาก มากจนไม่อยากจะยกท่านให้ใคร แต่ที่ต้องยอมให้พระชายาเกาก็เพราะนางมาก่อนข้า ข้าจึงต้องฝืนใจอยู่ทุกวันแบบนี้ไงเล่า” นิ้วเรียวเล็กจิกลงไปบนหน้าท้องนูน มองเขาด้วยสายตากร้าวเอาจริง “ข้าให้โอกาสท่านไปพูดกับนางหนึ่งคืน พรุ่งนี้ข้าต้องได้ตัวท่านมานอนร่วมเตียงในยามราตรี ไม่เช่นนั้นข้าฆ่าลูกท่านแน่” พูดจบก็ลุกจากไป ปล่อยให้บุรุษชาตินักรบนั่งขบกรามอยู่ลำพังบนโต๊ะอาหาร
