บทที่ 4
กระทั่งพอมีทุนหน่อยแม่เขาก็เปิดร้านอาหารตามสั่งก่อนจะได้รู้จักกับพ่อบุญธรรมของเขาผ่านการแนะนำจากเพื่อนสนิทของแม่ หลังจากนั้นเขาก็ได้เรียนต่อและสองปีต่อมาเขากับแม่ก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ มันกะทันหันจนเขาไม่มีโอกาสได้บอกลาคนสำคัญ
“ผมรู้ครับ คิดๆ ดูแล้วชีวิตเจ้านายตอนนั้นก็คงเหมือนผมเพราะถ้าผมไม่มีเจ้านายป่านนี้ก็คงติดคุกหรือไม่ก็ตายอยู่ข้างถนนที่ไหนสักแห่ง” แววตาที่สิบทิศมองมายังวศพลนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเคารพและเทิดทูน นั่นเพราะเขามีชีวิตใหม่ได้เพราะเจ้านายคนนี้คนที่หยิบยื่นโอกาส ถ้าไม่มีวศพลเขาคงเป็นได้แค่เด็กส่งยาข้างถนน
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยตอบแทนฉันด้วยการกลับไปได้แล้ว…ไป”
“ไม่ครับ ถ้าเจ้านายไม่กลับผมก็ไม่กลับ”
“เออๆ อยากอยู่ก็อยู่”
“เจ้านายครับ”
“อะไร” เสียงห้วนปนรำคาญเล็กน้อยของวศพลเอ่ยรับ แต่สิบทิศก็ไม่ได้ถือสาเพราะรู้ว่าเจ้านายทำเสียงรำคาญไปแบบนั้นเอง
“คุณย่าท่านป่วยหนักขนาดนี้ คู่หมั้นเจ้านายก็คงต้องกลับมาใช่ไหมครับ” เพราะอยู่ด้วยกันมาหลายปีทำให้สิบทิศพอจะรู้เรื่องส่วนตัวของเจ้านายตนเองบ้าง เพราะนอกเวลางานทั้งคู่ก็สังสรรค์กันอยู่เนืองๆ ครั้งไหนหนักหน่อยก็พลั้งปากพูดเรื่องส่วนตัวออกไป แต่สิบทิศเป็นพวกเก็บความลับเจ้านายเก่งต่อให้ตายก็ไม่ยอมพูดให้ใครได้ยินแน่นอน
“อืม…ถ้าเดาไม่ผิดตอนนี้เธอน่าจะกำลังเดินทางอยู่”
“เธอสวยไหมครับ”
“ไม่รู้เพราะตั้งแต่โตมาฉันเองก็ไม่เคยเห็นหน้าเหมือนกัน” นั่นเพราะที่ผ่านมาวศพลเคยเห็นอีกฝ่ายผ่านทางรูปถ่ายเท่านั้น
จริงๆ เขาเคยเจอหลานสาวของย่าจันทร์หอมมาแล้ว แต่เจอกันเมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็กหญิงผมเปีย ภาพวันนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำเขาเสมอ แม้จะไม่ได้คุยกันแม้แต่ประโยคเดียวก็ตามทีแต่กลับสลัดความทรงจำสั้นๆ วันนั้นไม่ได้สักครั้ง
“อ้าว! แล้วเจ้านายหมั้นกับเธอทำไมกันครับ”
“เพราะฉันอยากตอบแทนค่าข้าวไข่เจียวจานนั้นของคุณย่าจันทร์หอม” นอกจากอยากตอบแทนบุญคุณแล้วเขายังมีเหตุผลอื่นอีกข้อซึ่งเขาจะบอกถ้าหากเธอถาม
“แล้วถ้าเกิดเธอขี้เหร่ ตาเข ขาพิการ ปากเบี้ยวละครับเจ้านาย” คำพูดของสิบทิศทำเอาวศพลแทบอยากถวายเท้าให้กินแทนมื้อเย็น
“พูดอะไรหัดให้เกียรติว่าที่นายหญิงนายหน่อย เดี๋ยวเถอะ”
“ขอโทษครับ” สิบทิศยกมือไหว้วศพลท่วมหัวเพื่อขอโทษก่อนจะตบปากตัวเองสองสามครั้งที่พูดอะไรไม่คิดให้ถี่ถ้วนแบบนั้น แต่ทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นห่วงล้วนๆ เพราะเกิดเจ้านายเขาต้องแต่งงานกับผู้หญิงแบบนั้นขึ้นมา เขาคนนี้จะพาเจ้านายหนีห้องหอเอง
ระยะเวลานั่งเครื่องบินจากลอนดอนถึงเมืองไทยนั้นราวๆ สิบสองชั่วโมงแต่สำหรับทานตะวันแล้วเวลาที่ผ่านไปแต่ละวินาทีนั้นช่างเนิ่นนาน มันบีบหัวใจของเธอเหลือเกิน ที่ผ่านมาเธอคิดว่าย่าแข็งแรงมาตลอดและบ่ายเบี่ยงที่จะกลับเมืองไทยเพราะไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น
ก่อนจะหวนกลับไปคิดถึงคำพูดครั้งสุดท้ายที่ย่าได้พูดกับเธอนั่นยิ่งทำให้น้ำตาของทานตะวันที่พยายามกลั้นมาตลอดไหลอาบแก้มในที่สุด
“คุณย่าขา คุณย่าอย่าเป็นอะไรไปนะคะ” ทานตะวันสะอึกสะอื้นร้องไห้อย่างหนักจนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังตกใจ เธอร้องอยู่แบบนั้นจนแอร์โฮสเตสของสายการบินเดินเข้ามาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือพอจะให้เธอช่วยเหลืออะไรได้บ้างไหม พอมีคนมาถามทานตะวันก็ยิ่งปล่อยโฮ
แต่พอรู้ตัวว่าการร้องไห้ของเธอกำลังรบกวนผู้โดยสารคนอื่นๆ ทานตะวันก็ฮึบแล้วร้องอยู่เงียบๆ ก่อนจะได้รับข้อความจากขวัญนรี เธอจึงพิมพ์ตอบกลับไปว่าตอนนี้อยู่บนเครื่องบิน
‘ไปไหน’
ขวัญนรีพิมพ์ถามกลับมา
‘กลับไทย ย่าจันทร์หอมอยู่ไอซียู’
‘แล้วนี่ย่าเธอเป็นอะไรมากไหม’
‘ไม่รู้เลย’
‘งั้นเจอกันที่เมืองไทย เรื่องเที่ยวพับเก็บโครงการไว้ก่อน’
‘ขอบใจนะก้อย’
‘เรื่องเล็ก เวลานี้เพื่อนอย่างฉันก็ต้องอยู่ข้างๆ เธอสิ’
พิมพ์เสร็จขวัญนรีก็ส่งสติ๊กเกอร์กอดมาให้ทานตะวัน เธอซาบซึ้งกับสิ่งที่เพื่อนสนิททำให้ ก่อนจะปาดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มอีกครั้ง จากที่ไม่เคยสวดมนต์หรือเชื่อเรื่องทำนองนี้ทานตะวันก็หาบทสวดต่างๆ มาสวด บทไหนดีบทไหนเด่นเธอรวบรวมมาหมดหวังว่าสิ่งที่เธอทำจะส่งไปถึงย่าจันทร์หอมได้บ้าง
“กลับมาให้ทันนะครับ” วศพลเอ่ยกับใครบางคนที่เวลานี้น่าจะกำลังเดินทาง จุดเริ่มต้นของการหมั้นหมายของเขากับเธอหากไล่เรียงดูแล้วมันอาจไม่สมเหตุสมผล เพราะขณะนั้นธุรกิจครอบครัวทานตะวันกำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักและเจ้าหนี้รายใหญ่ก็เสนอวิธีลดหนี้ด้วยการขอให้เธอแต่งงานกับลูกชายของตัวเอง
เขารู้เรื่องนี้จากย่าจันทร์หอมที่เผลอเปรยระบายออกมาอย่างอัดอั้น จึงสั่งให้ลูกน้องสืบประวัติของผู้ชายคนนั้นกระทั่งรู้ว่ามีข่าวฉาวเรื่องผู้หญิงหลายคนแต่ไม่เคยรับผิดชอบจนถูกออกมาแฉก็เอาเงินฟาดหัว ทางครอบครัวคงวางแผนอยากให้แต่งงานกับทานตะวันเพื่อหวังลบภาพลักษณ์ทั้งหมด
เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้จึงยื่นมือเข้าช่วยเป็นผู้ร่วมทุนรายใหม่แต่ไม่ขอถือหุ้นหรือรับเงินปันผล เขาเสนอไปแบบนั้นย่าจันทร์หอมจึงทวงบุญคุณที่เคยช่วยเหลือด้วยการขอให้เขาหมั้นหมายกับทานตะวันเพื่อไม่ให้ฝ่ายนั้นตอแยเธอหรือปล่อยข่าวเสียๆ หายๆ ทำลายชื่อเสียง สำหรับเขาแล้วนั่นไม่ใช่การบังคับแม้จะถูกเธอเกลียดก็ไม่เป็นไร
คิดเรื่องอดีตได้ไม่นานเท่าไหร่เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มจึงปลีกตัวไปรับสายโดยมีสิบทิศที่เวลานี้ยังไม่ยอมไปไหนกวาดสายตามองเล็กน้อยแล้วนั่งนิ่งอยู่กับที่
“ครับแม่”
“อยู่ไหนลูก แม่ฝากข้อความไว้ตั้งแต่บ่ายแต่ตั้นไม่อ่าน”
“โรงพยาบาลครับ”
“ใครเป็นอะไร” น้ำเสียงของปานวาดนั่นกระวนกระวายเพราะนึกว่าเกิดเรื่องไม่ดีกับลูกชาย
“ย่าจันทร์หอมครับ”
“ตายจริง คุณย่าท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ต่อให้จะผ่านมาหลายปีแต่ปานวาดก็ไม่เคยลืมจันทร์หอม ยังคงระลึกถึงเสมอ
“ท่านลื่นล้มศีรษะฟาดกับพื้นครับแม่”
“ปลอดภัยดีใช่ไหม” ปานวาดไม่ได้รับคำตอบจากวศพลจึงพอจะเดาอะไรๆ ได้ “ทำไงดีแม่อยากกลับไปเยี่ยมท่านเหลือเกิน”
“ถ้าแม่สะดวกมาผมก็อยากให้บินมาด่วนเพราะอาการของคุณย่าจันทร์หอมไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก”
“ได้ๆ งั้นแม่จะรีบบินไปเมืองไทยทันที” ปานวาดเอ่ยอย่างรีบร้อน พอวางสายจากลูกชายก็ตรงไปคุยกับสามี ซึ่งเขาก็อาสาจัดการเรื่องการเดินทางให้อย่างเร่งด่วนเพราะเข้าใจในสถานการณ์เป็นอย่างดี ส่วนร้านอาหารไทยก็คงต้องปิดไปก่อนสักระยะ
