บทย่อ
เธออยากถอนหมั้นแต่เขานั้นอยากเข้าหอ
บทที่ 1
“เรียนก็จบมาเป็นปีๆ แล้ว ทำไมยังไม่กลับมาหาย่าอีก” โทนเสียงอบอุ่นที่ฟังกี่ครั้งก็ทำให้คนอยู่อีกซีกโลกอย่างทานตะวันคิดถึงได้เสมอๆ เอ่ยถามหลานสาวเพียงคนเดียวขึ้น
จันทร์หอมพยายามหว่านล้อมให้ทานตะวันกลับมาเมืองไทยตั้งแต่เรียนจบ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับบ่ายเบี่ยงจนเวลาล่วงเลยมาได้เกือบปี เหตุผลเพราะอะไรนั้นทุกคนในครอบครัวต่างรู้ดีแต่ถึงอย่างนั้นจันทร์หอมก็ยังอยากให้ทานตะวันกลับมา ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
“คุณย่า”
“ไม่คิดถึงคนแก่แล้วเหรอ”
“คิดถึงค่ะ คิดถึงมากเลยด้วย” คนใกล้ตัวที่ทานตะวันคิดถึงมากที่สุดหนึ่งในนั้นคือย่าของเธอเช่นกัน ไม่มีวันไหนจะไม่คิดถึงก็ว่าได้
แต่หลังจากบินมาเรียนที่นี่ได้สองปีเธอก็ทนคิดถึงบ้านไม่ไหวจึงกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทยช่วงคริสต์มาสและของขวัญปีใหม่ปีนั้นก็ทำเอาเธอช็อกมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะจู่ๆ ก็ได้รู้ว่าตัวเองมีคู่หมั้นแบบไม่ทันตั้งตัวแถมเขาก็กำลังเดินทางมาเจอเธออีกด้วย
จู่ๆ ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นก็ฉายวนกลับมาในความคิดของทานตะวัน
‘บ้านเราเป็นหนี้เขาหรือคะ’
น้ำเสียงของทานตะวันสั่นเครือขณะเอ่ยถามขึ้นและคนที่เข้ามาตอบคำถามนั้นคือผู้เป็นพ่อ
‘ทำไมถึงถามแม่แบบนั้นละลูก’
‘ตอบเทียร์มาเถอะค่ะคุณแม่’
‘ไม่ใช่’
แม้จะรู้ความจริงอยู่เต็มอกแต่จิตตรีก็ไม่อาจพูดออกไปได้
‘แล้วทำไมทุกคนถึงให้เทียร์หมั้นกับเขาทั้งๆ ที่เทียร์ไม่รู้จัก ไม่ได้รัก ทุกคนกำลังส่งเทียร์ไปลงนรก’
‘เทียร์’
จิตตรีจะเข้าไปคว้าลูกสาวเข้ามากอดเพื่อปลอบประโลมทว่าทานตะวันกลับถอยห่างออกไป
‘เทียร์จะไม่มีวันแต่งงานกับเขาและถ้าการหมั้นครั้งนี้ยังไม่ยกเลิกอีกเทียร์ก็จะไม่มีวันกลับมาเมืองไทยอย่างเด็ดขาด’
เมื่อตั้งสติได้ทานตะวันก็ประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคนในครอบครัวว่าการหมั้นหมายที่เธอไม่ได้เต็มใจแม้แต่น้อยต้องเป็นโมฆะ
หลังจากพูดประโยคนั้นจบจำได้ว่าเธอวิ่งออกไปจากร้านอาหารทันที เพราะความน้อยใจทำให้เธอบินกลับอังกฤษในวันรุ่งขึ้นเช่นกันและไม่ติดต่อครอบครัวอยู่หลายเดือนก่อนจะทนความคิดถึงไม่ไหวจึงโทรมาหาย่าเป็นคนแรกตามด้วยแม่และพ่อ
“ถ้าคิดถึงก็กลับมาได้แล้ว มาให้ย่ากอดย่าหอม”
“ไม่ใช่พอเทียร์กลับคุณย่าก็จับแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นหรอกนะคะ เหมือนตอนหมั้นที่จู่ๆ ทุกคนก็ตัดสินใจกันโดยไม่ถามเทียร์สักคำ”
“ย่าไม่ทำแบบนั้นหรอก”
“งั้นคุณย่าก็ถอนหมั้นเทียร์กับผู้ชายเถอะนะคะ ถอนหมั้นปุ๊บเทียร์จะรีบกลับไปหาคุณย่าทันที” ทานตะวันพูดประโยคนี้มาสองปีกว่าแล้วพูดจบปากจะฉีกทำทุกหนทางแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ
“ตอนเด็กๆ ย่าพูดอะไรก็เชื่อฟังตลอดนี่นาแต่ทำไมพอโตขึ้นถึงได้ดื้อนัก” จันทร์หอมเอ็ดหลานสาวไปเบาๆ แม้จะเข้าใจแต่ก็ถอนหมั้นไม่ได้จริงๆ
“เทียร์ไม่ได้ดื้อค่ะ เทียร์แค่ไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก”
“อยู่ไกลกันแบบนั้นจะมีเวลาไหนไปทำความรู้จักถึงขั้นพัฒนาเป็นความรักได้” คำพูดของย่าทำให้ทานตะวันหน้างอ เพราะไม่รู้จะหว่านล้อมยังไงดีแล้ว
“เทียร์สะดวกอยู่ที่นี่ ถ้าผู้ชายคนนั้นอยากแต่งงานกับเทียร์จริงๆ ก็บินมาหาสิค่ะ เทียร์พร้อมจะเป็นไกด์คอยดูแล”
“พอพี่เขาบินไปหาจริงๆ เรานั่นแหละที่หลบหน้าหรือไม่ก็มีเหตุให้ต้องไปที่อื่น” จันทร์หอมเอ่ยอย่างรู้ทันเพราะคู่หมั้นคู่หมายของทานตะวันบินไปหาหลานสาวที่อังกฤษถึงสี่ห้าครั้งแต่ก็ไม่เคยได้เจอหน้ากัน
“มันบังเอิญมากกว่าค่ะ”
“เลิกเฉไฉแล้วกลับมาก่อนที่ย่า…จะตาย”
“คุณย่า ทำไมพูดแบบบนั้นละคะ เทียร์ใจคอไม่ดีเลย” ทานตะวันหน้าเสียทันทีที่ได้ยินแบบนี้นั่นเพราะไม่คิดว่าจะได้ยิน
“ย่าแก่ตัวลงไปทุกวันไม่เห็นเหรอ”
“เห็นค่ะ แต่คุณย่าของเทียร์ยังแข็งแรงไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก ไม่รู้ล่ะยังไงเทียร์ก็จะถอนหมั้น”
“ทั้งๆ ที่ย่า รวมถึงพ่อกับแม่มั่นใจว่าพี่เขาจะดูแลเทียร์ได้อย่างนั้นเหรอ”
“เอาอะไรไปมั่นใจคะ คนสมัยนี้หน้าไหว้หลังหลอกมีถมไป”
“เพราะย่ารู้จักพี่เขาดี เทียร์ลองเปิดใจทำความรู้จักพี่เขาดูสิแล้วจะคิดเหมือนย่า” จันทร์หอมยังคงหว่านล้อมให้ทานตะวันเปิดใจกับคู่หมั้นหนุ่ม
“ไม่เอาหรอกค่ะ เทียร์ไม่ต้องการรู้จักเขา หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่อยากรู้จัก” คำตอบของหลานสาวทำให้จันทร์หอมลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย สีหน้าเคร่งเครียดที่แสดงออกตอนนี้ทำให้คนข้างๆ ที่นั่งอยู่ด้วยตลอดพลอยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กระทั่งเห็นแม่สามีวางสายจากลูกสาวจิตตรีจึงเอ่ยถามขึ้น
“เทียร์ยังดื้อไม่ยอมกลับมาใช่ไหมคะคุณแม่”
“อืม รู้งี้น่าจะจับแต่งงานกันเสียตั้งแต่ปีนั้นที่เทียร์กลับมาไทยเสียก็ดี” จันทร์หอมส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย เหนื่อยใจกับหลานสาวคนเดียวเหลือเกินแต่ก็ไม่อาจทำอย่างที่พูดได้จริงๆ เพราะแค่การจับทานตะวันหมั้นหมายแบบไม่ถามความสมัครใจก็หักหาญน้ำใจมากพอแล้ว
“หรือเราจะส่งคนไปพายัยเทียร์กลับมาดีค่ะ”
“ส่งไปก็เท่านั้น ดีไม่ดีจะเตลิดไปอยู่ที่อื่นแล้วไม่ติดต่อมาหาแบบนั้นจะยิ่งแย่ ค่อยๆ ตะล่อมให้กลับมาแล้วกัน”
“หรือเราจะถอนหมั้นตามที่เทียร์ขอดีคะคุณแม่”
“ไม่ได้ เอาเถอะๆ ถึงเวลาเทียร์ก็คงกลับมาเองหรือไม่ก็โน่นวันเผาศพฉันนั่นแหละ”
“ทำไมพูดเป็นลางแบบนั้นละคะคุณแม่” สีหน้าของจิตตรีบ่งบอกว่ารู้สึกไม่ดีกับประโยคที่ได้ยิน นั่นเพราะตอนนี้จันทร์หอมคือญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่
“คนเรามีเกิด แก่ เจ็บแล้วก็ตายเป็นสัจธรรมที่ทุกคนเลี่ยงไม่ได้” แม้จะอยากมีชีวิตอยู่ค้ำฟ้าแต่คงไม่มีใครทำแบบนั้นได้ ขอแค่จากโลกนี้อย่างหมดห่วงก็เพียงพอซึ่งห่วงที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ของจันทร์หอมคงหนีไม่พ้นทานตะวัน