บทที่ 5
ส่วนวศพลพอวางสายจากมารดาแล้วก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ เขาไม่เคยอยู่ในสถานการณ์สูญเสียคนใกล้ตัวแบบนี้มาก่อน ครั้งแรกมันจึงค่อนข้างทำใจลำบาก พอตั้งสติได้ก็กลับมาหาสิบทิศ
“กลับไปได้แล้วสิบ”
“เจ้านายละครับ”
“ฉันจะอยู่เฝ้าคุณย่าที่นี่แหละ นายกลับไปเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยมา”
“แต่ผม…” สิบทิศยังอิดออดไม่ยอมกลับง่ายๆ
“บอกให้กลับก็กลับหรืออยากตกงาน”
“กลับครับกลับ แต่ตอนนี้ผมหิวจนแสบท้องไปหมดแล้วเจ้านายไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมก่อนได้ไหม” นี่คือวิธีชวนเจ้านายไปกินข้าวในแบบฉบับผู้ชายห่ามๆ อย่างสิบทิศ
“แผนสูง ไปก็ไป” วศพลส่ายหน้าให้ลูกน้องคนสนิทมีหรือที่เขาจะรู้ไม่ทัน ชายหนุ่มเดินนำออกไปก่อนโดยมีสิบทิศเดินตามมา ร้านบะหมี่เกี๊ยวหน้าโรงพยาบาลคือเป้าหมาย
เมื่อกินบะหมี่กันเสร็จทั้งคู่ก็แยกย้าย วศพลกลับไปนั่งเฝ้าย่าจันทร์หอมที่หน้าห้องไอซียูในขณะที่สิบทิศกลับมาบ้าน แต่เมื่อวศพลกลับมาถึงหน้าห้องไอซียูก็พบกับความวุ่นวาย ทีมแพทย์และพยาบาลวิ่งเข้าออกให้วุ่น พอมีจังหวะได้สอบถามถึงได้รู้ว่าย่าจันทร์วาดเกิดภาวะหัวใจวายแต่กู้ชีพจรกลับมาได้แล้ว
“รออีกหน่อยนะครับคุณย่า คุณเทียร์กำลังกลับมาแล้ว”
แม้ทุกคนจะภาวนาขอให้อาการของจันทร์หอมฟื้นตัวแต่ดูเหมือนคำภาวนานั้นจะไม่เป็นผล เพราะหลังจากเกิดภาวะหัวใจวายไปเมื่อคืน วันนี้ร่างกายกลับเริ่มไม่ตอบสนองต่อการรักษา อาการทุกๆ อย่างทรุดลงอย่างเห็นได้ชัดหมอจึงจำต้องแจ้งให้ญาติทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
“คุณแม่ครับ ถ้าคุณแม่ได้ยินผมช่วยอดทนรอเทียร์ก่อนได้ไหมครับ หลานสาวคุณแม่กำลังเดินทางมาหาแล้ว” อาทิตย์กระซิบบอกผู้เป็นแม่ด้วยความเจ็บปวด เขาอยากปล่อยแม่ให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดทรมานแต่กลับเห็นแก่ตัวรั้งให้ท่านรอทานตะวัน
ในขณะที่เวลานั้นทานตะวันเองก็เพิ่งลงจากเครื่องบิน เธอเสียเวลารอกระเป๋าเดินทางนานกว่าที่คิดรอจนหงุดหงิดก็ว่าได้ พอได้กระเป๋ามาแล้วก็รีบเดินทางไปยังโรงพยาบาลทันที
“เทียร์จะกลับมาทันดูใจคุณแม่ไหมคะคุณ” จิตตรีเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ ซึ่งอาทิตย์ก็พยักหน้ารับอย่างมั่นใจว่าทานตะวันต้องกลับมาทันแน่นอน
“ทันสิ ผมเชื่อว่าลูกต้องกลับมาทันแน่”
“คุณพ่อคุณแม่” เสียงของทานตะวันดังขึ้นพร้อมกันนั้นเธอก็ยังวิ่งตรงมาหาคนทั้งคู่ที่เวลานี้ยืนอยู่หน้าห้องไอซียู จิตตรีอ้าแขนรับพร้อมกับโอบกอดลูกสาวไว้
“เทียร์”
“คุณย่าละคะ คุณย่าเป็นยังไงบ้าง” พอคลายอ้อมกอดออกทานตะวันก็ถามถึงผู้เป็นย่าทันที ไม่มีใครบอกอะไรนั่นเพราะอยากให้เธอได้เห็นด้วยตาตัวเองมากกว่า
ทานตะวันเข้าไปเปลี่ยนชุดจากนั้นก็เดินไปยังเตียงคนไข้ที่มีย่านอนอยู่ สายมากมายระโยงระยางเต็มเตียงไปหมด พอเห็นหน้าหลานสาวที่รักเหมือนลูกในไส้จันทร์หอมก็ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนดึงหน้ากากเครื่องช่วยหายใจออก ใครจะห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง
“คุณย่าใส่หน้ากากก่อนนะคะ”
“ไม่” น้ำเสียงของจันทร์หอมนั้นเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มหลานสาวอย่างรักใคร่นั่นเพราะไม่ได้เจอหน้ามาหลายปี ภาพที่เห็นทำให้จิตตรีต้องหันไปร้องไห้เงียบๆ
“คุณย่าขา”
“พอได้เห็นหน้าหลาน ย่าก็นอนตายตาหลับแล้ว” ขณะพูดจันทร์หอมก็มองมาที่ทานตะวัน ตามด้วยลูกชายและลูกสะใภ้ที่ตาแดงก่ำเพราะร้องไห้
“ไม่ค่ะ เทียร์ไม่ยอมให้คุณย่าตายคุณย่าต้องอยู่กับเทียร์ไปอีกนานๆ เทียร์สัญญาว่าจะไม่ไปไหนอีก”
“ย่าก็อยากอยู่แต่บุญของย่าคงหมดแค่นี้”
“คุณย่า/คุณแม่” ทานตะวันและบิดามารดาเอ่ยออกมาแทบจะพร้อมกัน ทั้งสามคนรับรู้ได้ทันทีว่านี่คือวาระสุดท้ายของจันทร์หอมจึงเข้าไปพูดคุยและบอกลา ในขณะที่วศพลยืนอยู่ด้านนอกเพราะต่อให้รักและเคารพจันทร์หอมมากแค่ไหนยังไงเขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นคนนอก จากนั้นไม่นานเสียงร้องไห้ก็ดังระงมก็ลอยออกมาจากห้องไอซียู
งานศพของจันทร์หอมถูกจัดขึ้นเป็นเวลาเจ็ดวัน โดยปานวาดกลับมาทันฟังพระสวดในคืนที่สอง เพราะเข้าใจสถานการณ์ของความสูญเสียเธอจึงไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นใครและเลือกที่จะไปงานศพในฐานะแขกคนหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่วศพลก็เช่นกันชายหนุ่มขอร้องให้อาทิตย์และจิตตรีปกปิดเรื่องเขาไว้เป็นความลับ รอให้เสร็จสิ้นงานศพของจันทร์หอมเสียก่อนค่อยแนะนำตัวเองกับทานตะวัน
“เป็นไงบ้าง”
“คิดถึงคุณย่ามาก ฉันผิดเองที่เอาแต่ใจไม่ยอมกลับมาหาท่านบ่อยๆ ฉัน…” ทานตะวันน้ำตาคลออย่างเสียใจที่เธอชะล่าใจจนต้องสูญเสียคนสำคัญในชีวิตไปแบบนี้
“อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิ ถ้าย่าเธอผ่านมาได้ยินเข้าท่านจะไม่เป็นสุขเอานะ”
“อือ” คำตอบรับจากทานตะวันนั้นแผ่วเบาเหลือเกิน ก่อนที่ขวัญนรีจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ศาลาเจ็ดคล้ายกับกำลังมองหาใครบางคน
“แล้วนี่คนไหนคือผู้ชายคนนั้นเหรอ คู่หมั้นเธอน่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“หมายความว่ายังไงที่บอกไม่รู้ อธิบายหน่อยหรือเขาไม่ได้อยู่ในงาน ถ้าไม่อยู่นี่ก็ใจดำเกินไปหน่อยไหม ย่าเธอเสียทั้งทีจะไม่มาแสดงความเสียใจเลยเหรอ” ขวัญนรีร่ายยาวเป็นตุเป็นตะ
“เขามา คุณพ่อกับคุณแม่บอกว่าเขามา แต่ฉันไม่ได้สนใจอยากรู้จักหรืออยากถามเองว่าคือคนไหน”
“อือ ฉันเข้าใจเธอ สถานการณ์ตอนนี้ใครจะไปอยากรู้จักลง” หากเป็นเธอก็คงไม่มีอารมณ์อยากรู้จักใครเป็นพิเศษหรอก
“รอให้เสร็จงานศพคุณย่าก่อนฉันจะไปหาเขาเอง”
“จะไม่หลบหน้าแล้วใช่ไหม”
“ใช่ อะไรๆ ที่มันค้างคาอยู่จะได้จบๆ” ทานตะวันพูดเสียงดังฟังชัด สถานการณ์ในเวลานี้ของเธอไม่เอื้อให้ทำเรื่องอื่น รอให้ทุกอย่างลุล่วงเสียก่อนการถอนหมั้นต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ความโศกเศร้ายังคงเกิดขึ้นกับครอบครัวทานตะวันนั่นเพราะการจากไปของย่าจันทร์หอมกะทันหันเกินกว่าจะรับได้ มันไม่มีลางบอกเหตุอะไรให้เตรียมใจรับมือทั้งสิ้น
วศพลทำตัวเหมือนเจ้าหน้าที่ของวัด แต่งตัวสบายๆ เสื้อกับกางเกงสีดำทั้งชุด คอยหยิบนั่นจับนี่ดูแลแขกไม่ได้หยุดพักโดยมีลูกน้องคนสนิทอย่างสิบทิศเป็นลูกมือ ยิ่งใกล้ได้เวลาสวดพระอภิธรรมศพแขกก็เริ่มทยอยมาถึงงาน
