บทที่ 2 เจ้าเป็นใครกันแน่ 2
เว่ยสือหยางลอบสบตากับหลิ่งเอ้อร์อย่างรู้กัน การกระทำของนางคณิกาผู้นี้พวกเขาทั้งสองล้วนเห็นได้อย่างชัดเจน นางเป็นวรยุทธ์! แม้จะไม่เก่งกาจเทียบเท่ากับเขาทว่าก็มีฝีมือไม่น้อยเลย
อี้ไฉกับอี้ไห่หงได้ยินเช่นนั้นพลันตัวแข็งค้าง พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาจะกล้าแข็งข้อกับชินอ๋องผู้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นได้อย่างไรกันเล่า
"กระหม่อมเลอะเลือนไปชั่วครู่ ขอท่านอ๋องอย่าได้ถือสาไปเลยพ่ะย่ะค่ะ"
อี้ไห่หงพลันสร่างเมาทันที ตัวเขารีบเดินกลับไปนั่งที่พร้อมกับบิดาที่มีสีหน้าขาวซีด
"เหอะ! ข้ายังคิดว่าจะได้ประลองดาบกับเจ้าเพื่อแย่งชินนางอยู่เลย ช่างน่าเสียดายนัก"
เว่ยสือหยางยกจอกสุราขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางสบายอารมณ์ ทว่าคำพูดของเขานั้นกลับทำให้คนฟังเย็นเยียบไปทั่วแผ่นหลังกว้าง รีบก้มหน้าก้มตาดื่มสุราราวกับเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้อยากได้นางคณิกาผู้นั้นเลย
"ขออภัยท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันได้ถูกจ้างวานให้มาเล่นผีผาเท่านั้น หากท่านอ๋องอยากจะให้หม่อมฉันไปร่ายรำเป็นการส่วนตัวก็ต้องจ่ายเพิ่มนะเพคะ" เหมยซิงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"ค่าตัวเจ้าเท่าใดเล่า"
"10 ตำลึงทองเพคะ"
"น้อยนัก! หลิ่งเอ้อร์มอบเงินให้นางสามเท่า และถ้าเจ้าทำให้ข้าพอใจย่อมต้องได้รับมากกว่านี้"
"ขอบพระทัยเพคะ"
เหมยซิงยอบกายคารวะ ก่อนที่นางจะเดินตามหลิ่งเอ้อร์ออกไปเพื่อไปยังรถม้าของชินอ๋อง ด้วยเว่ยสือหยางไม่ประสงค์จะพักที่จวนเจ้าเมือง เขาจึงได้ซื้อจวนหลังใหญ่ในเมืองเป่ยซีชั่วคราว ด้วยตอนนี้เขามีภารกิจที่จะต้องจัดการที่เมืองแห่งนี้ หากแล้วเสร็จก็จะเดินทางไปยังค่ายทหารที่ตั้งอยู่ตรงรอยต่อของชายแดนอันอยู่ติดกับแคว้นจ้าว
จวนชินอ๋อง
รถม้าเคลื่อนไปยังถนนที่เงียบเชียบของเมืองเป่ยซีอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานรถม้าก็จอดลงตรงหน้าจวนหลังใหญ่ของเว่ยสือหยาง เหมยซิงก้าวลงมาจากรถม้าด้วยท่าทางตึงเครียดเล็กน้อย แม้ในใจจะพยายามนิ่งสงบแต่นางก็ยังแอบกังวลอยู่เล็กน้อย
"ตามข้ามา"
หลิ่งเอ้อร์พาเหมยซิงไปรอยังเรือนหลักของชินอ๋อง ก่อนจะปลีกตัวแยกจากมาโดยบังเอิญพบกับหลิ่งอี้ผู้เป็นแฝดพี่ที่ทันเห็นว่ามีสตรีเข้ามายังห้องของชินอ๋อง
"อาเอ้อร์ สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน" เขาลากแขนน้องชายให้ไปคุยตรงมุมมืดที่ปลอดผู้คน
"นางคณิกาที่ท่านอ๋องจ้างให้มาร่ายรำเป็นการส่วนตัว" สายตาของหลิ่งเอ้อร์มองผู้เป็นพี่อย่างรู้กัน
"เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเจ้าไปพักเถอะ ทางนี้ข้าจะดูแลเอง"
"ขอรับท่านพี่"
หลิ่งเอ้อร์เดินกลับไปยังเรือนพักของตนเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผิดกับหลิ่งอี้ที่รู้สึกไม่ไว้วางใจสตรีผู้นั้นนัก ทำไมตาของเขาถึงกระตุกไม่หยุดเลยล่ะ หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ในตอนนั้นเว่ยสือหยางที่ควบม้ากลับมาเองก็เดินเข้ามาตบไหล่ของหลิ่งอี้
"นางเล่า"
"อยู่ในห้องพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องจะให้กระหม่อมจัดการเค้นคอนางเลยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่ล่ะ ข้าจะจัดการนางด้วยตนเอง เจ้ารออยู่ข้างนอกนี่ก็พอ ไม่ต้องตามเข้ามาหากข้าไม่ได้เรียก"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เว่ยสือหยางเปิดประตูเข้าไปยังในห้องของตน รอยยิ้มมุมปากพลันแสยะยิ้มเหี้ยมเมื่อจะได้เค้นความลับจากสตรีผู้นั้น เขาอยากรู้นักว่านางที่เป็นถึงสายลับเหตุใดถึงพลาดท่าให้เขาจับได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ หรือว่านางจงใจ!
"รอข้านานหรือไม่"
"ไม่เพคะ"
เว่ยสือหยางเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงกลางห้อง โดยมีเหมยซิงเข้ามารินสุราให้กับเขา ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร่างกายกำยำลอบมองสตรีที่นั่งตรงข้ามอย่างสังเกต
"เจ้าชื่ออะไร"
"หม่อมฉันมีนามว่าเหมยซิงเพคะ"
"แซ่ของเจ้าเล่า"
"หม่อมฉันไม่มีแซ่เพคะ เป็นสตรีกำพร้าที่ถูกนายหญิงแห่งหอหลันฮวารับเลี้ยงเอาไว้เพคะ"
"อย่างนั้นเองหรือ... ไม่ใช่ว่าที่เจ้าไม่มีแซ่เพราะต้องปิดบังตนเองใช่หรือไม่เหมยซิง เจ้าเป็นใครกันแน่!"
เพล้ง!!
