บทที่ 1 นางคณิกาจากหอหลันฮวา 2
หนึ่งชั่วยามก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม
รถม้าสองคันของหอหลันฮวา หอคณิกาชื่อดังของเมืองเป่ยซีได้เข้ามาจอดเทียบยังประตูข้างของจวนเจ้าเมือง บุรุษผู้เป็นคนดูแลความเรียบร้อยของหอหลันฮวากระโดดลงจากรถม้าเป็นคนแรก ก่อนจะยื่นมือให้สตรีผู้หนึ่งจับแล้วประคองนางเดินลงมาอย่างระมัดระวัง การกระทำของเขาช่างดูแปลกตานักในสายตาของคนในหอหลันฮวา
"ขอบคุณเจ้าค่ะ"
น้ำเสียงอันแว่วหวานดังขึ้นมาจากสตรีผู้มีผ้าคลุมหน้าอำพรางใบหน้าท่อนล่างเอาไว้ ทว่าผ้าคลุมหน้ากลับมิอาจเก็บงำความงดงามที่สาดแสงออกมาจากตัวนางได้เลย ไม่ว่าจะนัยน์ตาคู่สวยแวววาวดั่งดวงดาราที่เปล่งประกายระยิบระยับ กับท่วงท่าอรชรแบบบางเย้ายวนใจชาย กลิ่นกายหอมกรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์พลันลอยออกมาจากร่างของนาง เพียงแค่สูดดมก็รู้สึกร้อนรุ่มในทันใด
"ข้าจะรออยู่ด้านนอก หากเกิดอะไรขึ้นจงรีบหนีมาทางด้านนี้ อย่าได้ฝืนตัวเองเป็นอันขาดคนผู้นั้นอันตรายมาก"
ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายกับคุณชายเจ้าสำอางเอ่ยย้ำกับสตรีด้านข้าง ในแววตาของเขามีความห่วงใยต่อนางยิ่งนัก แต่หน้าที่มิอาจหลีกหนีได้ทำได้เพียงช่วยเหลือนางอย่างลับ ๆ เท่านั้น
"ข้าไม่มีทางให้หนีหรอก จะอยู่หรือตายก็มีค่าเท่ากัน แต่ก็... ขอบคุณในความหวังดีของเจ้ามากนะอาจิน" นางแสยะยิ้มมุมปากด้วยท่าทีเฉยชา
ความตายไม่ได้น่ากลัวสำหรับนางเลย แต่เพราะนางยังมีคนข้างหลังที่ยังห่วงพะวงจึงมิอาจตายโดยง่าย และงานครั้งนี้จะทำให้นางได้รับอิสระอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะเชื่อในคำพูดของคนปลิ้นปล้อนผู้นั้นหรอก แต่เป็นเขา... คนที่ทุกคนต่างหวาดผวาและเป็นเป้าหมายของนาง!
"ระวังตัวด้วย"
"เข้าใจแล้ว"
นางก้าวเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับนางคณิกาคนอื่น ๆ ที่ถูกเชิญให้มาสร้างความสำราญให้กับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานในวันนี้ หญิงสาวผู้ได้กลายเป็นนางคณิกาชื่อดังของหอหลันฮวาเหยียดยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอยังห้องที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ นางนั่งยังที่นั่งของตนด้วยท่าทีสงบ ทว่าหัวใจของนางกลับเต้นกระหน่ำราวกับพายุคลั่งเพราะความตื่นเต้นและกังวลใจ
'เจ้าทำได้เหมยซิง!'
นางภาวนากับตนเองในใจเพื่อเรียกสติให้คืนกลับมา คืนนี้จะเป็นการชี้ชะตาว่าทางที่นางก้าวเดินไปข้างหน้านั้นจะถูกต้องหรือไม่!
เมื่ออี้ไฉกล่าวต้อนรับชินอ๋องพอเป็นพิธีแล้ว นางคณิกาที่ถูกจ้างวานด้วยเงินจำนวนมากเยื้องกรายออกมาด้านหน้าตรงกลางห้องโถง พร้อมกับทำการแสดงอันงดงามตระการตา นางคณิกาทั้งสิบร่ายรำด้วยท่วงท่างดงามอ่อนช้อย ทว่าเย้ายวนใจชายปลุกเร้าอารมณ์กำหนัดให้กับพวกเขาที่วันนี้ภรรยาไม่ได้ติดตามมาด้วย
เสียงเครื่องดนตรีของผีผาเร่งเร้าอารมณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับร่างของพวกนางทั้งสิบที่หมุนตัวไปมาเผยให้เห็นท่อนขาอันเรียวยาว แขนเรียวเสลากรีดกรายไปตามท่วงทำนองอันไพเราะ ก่อนจะหมุนตัวไปมาแล้วจบท่าอย่างสมบูรณ์ สร้างความประทับใจให้กับเหล่าบุรุษยิ่งนัก
แปะ แปะ แปะ!
บุรุษที่อยู่ในห้องต่างตบมือเสียงดังสนั่นด้วยความชอบใจ มีไม่บ่อยนักที่พวกเขาจะได้เห็นนางคณิกาทั้งสิบออกมาร่ายรำอย่างงดงามเช่นนี้ นับว่าหอนางโลมในเมืองเป่ยซีมีฝีมือไม่น้อยที่สั่งสอนพวกนางจนมีความสามารถโดดเด่น โดยเฉพาะนางคณิกาผู้ที่ยืนอยู่หลังฉากกั้นด้านหลังที่บรรเลงผีผา เสียงดนตรีของนางมีทั้งความฮึกเหิมและยังปลุกเร้าอารมณ์ของพวกเขาไปด้วย
"ตกรางวัล!" เว่ยสือหยางเอ่ยบอกหลิ่งเอ้อร์เสียงดัง
"พ่ะย่ะค่ะ"
เหล่านางคณิกาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแก้มปริ เหม่อมองบุรุษสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงกลางด้วยความดีใจ ทั้งยังอยากจะได้รับโอกาสเข้าไปปรนนิบัติพระองค์เสียด้วย
"เจ้าน่ะ! ออกมานี่สิ"
เว่ยสือหยางชี้นิ้วไปยังสตรีที่อยู่หลังฉากกั้น นางทำตัวลึกลับชวนให้เขาอยากจะค้นหา ถ้านี่คือสิ่งที่นางต้องการก็คงต้องบอกว่านางคิดถูกเสียแล้ว เขากำลังรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวนางยิ่งนัก!
"เพคะ"
เหมยซิงผู้บรรเลงผีผาก้าวออกมาจากหลังฉากกั้น นางยอบกายคารวะเว่ยสือหยางด้วยความนอบน้อม กิริยาของนางดูงดงามสง่างามเกินกว่าจะบอกว่าเป็นเพียงนางคณิกา หากมีใครบอกว่านางเกิดในตระกูลสูงศักดิ์เขาก็เชื่อ!
"เหตุใดถึงปิดบังใบหน้าของตนเอง" คิ้วกระบี่ขมวดมุ่น นางทำตัวลึกลับเกินไปนัก
"ทูลชินอ๋อง หม่อมฉันมีผดผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้าเพคะ เกรงว่าจะทำให้แขกในงานและชินอ๋องต้องระคายสายตาจึงได้ใช้ผ้าคลุมหน้าปิดบังเอาไว้เพคะ"
ดวงตาคู่คมหรี่มองสตรีตรงหน้า ทั้งที่เขาใช้น้ำเสียงกดข่มถึงเพียงนี้แต่นางกลับยืนสงบนิ่ง หรือสายลับผู้นั้นที่แคว้นจ้าวส่งมาจะเป็นนาง... น่าสนใจนัก!
