บท
ตั้งค่า

บทที่9 ไม่มีทางยอมรับ

สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนขนาดใหญ่ แสงจันทร์นวลสาดส่องมายังกลางห้อง เผยให้เห็นสองร่างที่ยืนประจันหน้ากันอย่างไม่ลดละ

อวี้หลิงหรงปลดเครื่องหัวที่หนักอึ้งทิ้งไว้บนเตียงไม้หลังใหญ่ จนเส้นผมยาวสยายพลิ้วไหวไปตามแรงลม นางก้มหยิบปิ่นทองขึ้นมาอันหนึ่ง ดวงตาของนางจับจ้องไปที่เขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก

ฉินเฉินอวี้ได้แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิดกับภาพเบื้องหน้า นางคิดจะใช้เพียงปิ่นเพื่อต่อกรกับเขา? มือสังหารที่ไหนไม่เตรียมอาวุธมาเพื่อสังหารเหยื่อ อย่างน้อยนางก็ควรมีมีดสั้นหรือดาบซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งมิใช่หรือ

"เจ้าคิดจะต่อกรกับดาบของข้าด้วยปิ่นปักผม?" เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ

อวี้หลิงหรงไม่ตอบคำถาม เพียงกระชับปิ่นในมือแน่น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่เขาในพริบตา การโจมตีของนางทั้งรวดเร็วและแม่นยำราวกับนักล่าที่หมายจะปลิดชีพเหยื่อ

ฉินเฉินอวี้ยกดาบขึ้นรับการโจมตี แต่ก็ถูกแรงกระแทกผลักถอยไปหนึ่งก้าว ดวงตาของเขาเบิกกว้าง

นางเร็วกว่าที่เขาคิด..

เสียงโลหะกระทบกันดังกังวานในความเงียบ ดาบในมือเขาสะบัดเป็นวงกว้างเพื่อป้องกันตัว ขณะที่ปิ่นของนางพุ่งทะลวงเข้ามาหาเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับมองเห็นจุดอ่อนของเขาทุกจุด

อวี้หลิงหรงคล้ายร่ายรำอยู่ในสนามรบ ท่วงท่าอันงดงามและเฉียบขาดของนางทำให้ฉินเฉินอวี้ต้องตั้งสมาธิเต็มที่ หากเพียงเสี้ยววินาที่เขาหยุดชะงัก นางอาจปลิดชีพเขาได้ในทันที

"คราวก่อนก็สันดาบ.. คราวนี้ก็ปิ่นปักผม" เขาคิดในใจ ทว่ากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด

เสียงดาบฟาดฟันและปิ่นที่หมุนวนพุ่งเข้าใส่กันอย่างต่อเนื่องสร้างแรงลมกระจายไปทั่วห้อง ในที่สุด ด้วยความได้เปรียบด้านอาวุธ ฉินเฉินอวี้ใช้ด้ามดาบกระแทกมือของนางจนปิ่นหลุดจากมือ นางถอยหลังไปสองก้าวด้วยลมหายใจที่ถี่รัว

เขาจับจ้องนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ดาบในมือของเขาเลื่อนขึ้นมาจ่อที่ลำคอของนาง แต่เขาไม่ได้ลงมือสังหาร กลับยืนมองนางที่ทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้า

"เหตุใดจึงไม่ลงมือ" อวี้หลิงหรงเอ่ยถาม เสียงของนางแม้จะแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความเย้ยหยัน

ฉินเฉินอวี้ลดดาบลง สายตาของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเย็นชาของนาง เมื่อครู่นี้เขาดูออกว่าการโจมตีแต่ละครั้ง นางจะเลี่ยงจุดตายของเขาเสมอ

"คิดจะดูถูกข้าหรือไง!!" ฉินเฉินอวี้ตวาดเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยว

อวี้หลิงหรงนิ่งเงียบ ก่อนจะกล่าวตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉยราวกับไร้อารมณ์ "ข้าไม่ได้คิดสังหารท่าน แต่หากท่านจะสังหารข้าก็รีบ ๆ ทำเสีย"

"เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!?" ฉินเฉินอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหงุดหงิด

นางหัวเราะเบา ๆ ราวกับคำพูดของเขาเป็นเรื่องตลก ก่อนจะตอบด้วยแววตาที่หม่นลง "ใคร ๆ ก็ว่าเช่นนั้น"

คำพูดของนางทำให้เขาอึ้งไปชั่วขณะ ฉินเฉินอวี้จ้องมองนางที่ยังนั่งอยู่บนพื้น ร่างของนางดูอ่อนแอทว่าในขณะเดียวกันกลับแฝงไปด้วยความแข็งแกร่ง

"ยิ่งเจ้าอยากตาย ข้ายิ่งไม่มีทางยอมให้เจ้าได้สมหวัง" ฉินเฉินอวี้พูดพลางเก็บดาบกลับเข้าฝัก สายตาของเขาแฝงความรู้สึกหนึ่งที่อ่านได้ยาก

"นอนเสีย..รุ่งขึ้นเราต้องเข้าวังกันแต่เช้า" เขาพูดต่อ ก่อนจะเดินหันหลังออกไปจากห้อง

อวี้หลิงหรงทำได้เพียงมองประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดลง พร้อมกับแผ่นหลังของฉินเฉินอวี้ที่ค่อย ๆ เดินหายเข้าไปในความมืด

“หากถูกคนอื่นสังหาร ข้าจะสามารถตายได้จริง ๆ มั้ยนะ..” นางถอนหายใจออกมา พร้อมกับบ่นพึมพำด้วยความเสียดาย

เมื่อฉินเฉินอวี้เดินออกมาจากห้อง เขาก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงการต่อสู้เมื่อครู่นี้ นางไม่ได้เป็นคนโง่เขลาอย่างแน่นอน ฝีมือดาบที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้น ต้องมาจากวินัยและความมุ่งมั่นทั้งชีวิต

อีกอย่าง.. บุตรสาวที่มีความสามารถถึงเพียงนี้ ใครกันโง่เขลาส่งนางมาเป็นเชลยถึงต่างแคว้น นางเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนางธรรมดาจริง ๆ น่ะหรือ.. เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ทบทวนสิ่งที่หลี่เฉียนอันเคยรายงานไว้ก่อนหน้า

ตอนนี้เขาเข้าใจในสิ่งที่หลี่เฉียนอันพูดไว้อย่างกระจ่างแจ้ง ฉินเฉินอวี้หยุดเดิน พลางมองกลับไปทางประตูห้องที่ปิดสนิท ก่อนจะหันหลังเดินต่อไป

แสงแรกของวันลอดผ่านหน้าต่างไม้แกะสลัก เสียงนกร้องเบา ๆ สอดประสานกับสายลมเย็นที่พัดมากระทบผ้าม่านบางสีขาวไข่มุก

อวี้หลิงหรงยืนอยู่หน้าประตูตำหนักในชุดแพรไหมสีครามอ่อนปักลายดอกบัว เสื้อคลุมสีเข้มช่วยขับให้ผิวขาวนวลของนางยิ่งโดดเด่น เรือนผมดำขลับถูกจัดเรียบง่าย ติดปิ่นเงินเล็ก ๆ ไม่หวือหวา ดวงหน้างดงามของนางเรียบเฉยแต่แฝงด้วยความสง่า

ข้างกายของนางคือฉินเฉินอวี้ ซึ่งอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มปักลายเมฆ ใบหน้าหล่อเหลาแต่แฝงความเย็นชา ดวงตาคมกริบของเขาไม่เผยอารมณ์ใด ๆ

ทั้งสองเดินเคียงกันไปยังรถม้าสีดำ ที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบหรูซึ่งรออยู่ด้านหน้า บรรยากาศในตำหนักยังคงสงบเงียบ ราวกับทุกคนพยายามไม่เอ่ยถึงข่าวลือที่ว่า

คืนเข้าหอที่ผ่านมา..องค์ชายมิได้อยู่ค้างคืนในห้องหอกับพระชายา

รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากตำหนัก ท่ามกลางสายลมเย็นและเสียงล้อบดไปบนพื้นหิน อวี้หลิงหรงนั่งอย่างสงบ สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ฉินเฉินอวี้นั่งพิงพนักด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่ดวงตายังคงจับจ้องไปที่นาง

"ถึงแม้ว่าเราจะแต่งงานกันแล้ว แต่ก็อย่าคิดว่าข้าจะยอมรับเจ้าเป็นพระชายา" เสียงของเขาเอ่ยขึ้นราบเรียบ ทว่าทุกคำกลับแฝงความดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง

อวี้หลิงหรงหันหน้ามามองพระสวามีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาของนางนิ่งสงบ ไร่ซึ่งแววของความเจ็บปวดหรือความน้อยใจ

"เพคะ" คำตอบสั้น ๆ ที่ดูไร้การต่อต้านนั้น ทำให้ฉินเฉินอวี้รู้สึกไม่พอใจ เพราะมันดูเหมือนว่านางไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูด

"หากเจ้าเข้าใจอะไรง่ายเช่นนี้ก็ดีแล้ว"

"เพคะ" อวี้หลิงหรงทำเพียงหลับตาลงอย่างสงบ ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัด

“เจ้าไม่มีเรื่องใดที่อยากจะพูดเลยหรือ”

อวี้หลิงหรงลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องไปยังฉินเฉินอวี้ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"พระองค์ประสงค์ให้เป็นเช่นนั้นหรือเพคะ"

ฉินเฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด ที่เขาเอ่ยถามออกไปเช่นนั้นเพื่อเปิดโอกาสให้นางได้โต้แย้งหรือยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ ทว่านางกลับไม่แยแสต่อสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย

อีกอย่างเขารู้สึกเหมือนว่านางกำลังรำคาญเขาอยู่เสียด้วยซ้ำ!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel