บทที่10 เข้าวัง
ประตูพระราชวังอันสูงตระหง่านเบื้องหน้า ทาด้วยสีแดงเข้มลวดลายมังกรทองที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และอำนาจของราชวงศ์ ทหารยามในชุดเกราะยืนเรียงรายสองข้างด้วยท่าทางเคร่งขรึม
รถม้าเคลื่อนตัวผ่านประตูพระราชวัง มาหยุดอยู่บริเวณสำหรับจอดรถม้า ฉินเฉินอวี้ก้าวลงจากรถเป็นคนแรก ก่อนจะยื่นมือออกไปให้อวี้หลิงหรง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจับมือเขาเบา ๆ แล้วก้าวลงมา
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินเหล่านางกำนัลและขันทีที่พบเจอระหว่างทางต่างโค้งคำนับด้วยท่าทีสำรวม บรรยากาศภายในพระราชวังนั้นเต็มไปด้วยความสงบเงียบ..
พระตำหนักเฉียนชิง ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ฮ่องเต้ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า เมื่อเข้าไปภายใน บรรยากาศกลับดูเย็นยะเยือก ผนังหินประดับด้วยภาพวาดมังกรพ่นเมฆและอักษรมงคล โต๊ะไม้จันทน์ตัวใหญ่กลางตำหนักประดับด้วยของมีค่าที่ทำจากหยกและทอง
องค์ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ ดวงเนตรที่เฉียบคมทอดมองลงมาทั้งสอง เหมือนจะประเมินและจับตามองทุกการเคลื่อนไหว
องค์ฮองเฮาประทับอยู่ด้านข้างด้วยท่วงท่าสง่างาม แม้รอยยิ้มบาง ๆ จะปรากฏบนพระพักตร์ แต่ความเย็นชาที่ซ่อนอยู่ในดวงเนตรนั้นยากที่จะมองข้าม
ฉินเฉินอวี้และอวี้หลิงหรงคุกเข่าลงพร้อมกัน พลางกล่าวคำถวายบังคมด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ
"ลุกขึ้นเถิด" พระสุรเสียงของพระองค์ทุ้มลึกและหนักแน่น "เฉินอวี้ นางคือพระชายาของเจ้าใช่หรือไม่"
"พ่ะย่ะค่ะ" ฉินเฉินอวี้ตอบกลับพลางก้าวขึ้นมาข้างหน้าเล็กน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"พระชายานามว่าอวี้หลิงหรงเป็นธิดาของเสนาบดีอวี้เฉิงจากแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ"
องค์ฮ่องเต้พยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ"หวังว่าเจ้าจะดูแลนางให้ดีและหวังว่าพระชายาจะช่วยสนับสนุนเฉินอวี้ในสิ่งที่ควรทำ"
อวี้หลิงหรงโค้งคำนับอีกครั้ง "หม่อมฉันจะทำหน้าที่พระชายาให้ดีที่สุดเพคะ"
องค์ฮองเฮาแย้มพระโอษฐ์บาง ๆ "พระชายาช่างงดงาม เหมาะสมเป็นชายาขององค์ชายหกจริง ๆ"
หลังจากเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาเสร็จ ทั้งสองก็เตรียมตัวที่จะไปพระตำหนักชิงเฟิงของพระสนมสวี่ต่อ
แต่ขณะที่เดินออกมาจากพระตำหนักเฉียนชิงนั้น ฉินเฉินอวี้กลับชะงักฝีเท้าอย่างกระทันหันพร้อมกับบุรุษและสตรีคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า
องค์รัชทายาท ฉินจื่อหยวน ในฉลองพระองค์สีเข้มปักลวดลายมังกรทอง ยืนเด่นอยู่กลางลานกว้าง พระพักตร์ที่งดงามเฉียบคมแฝงด้วยอำนาจที่น่าเกรงขาม
ด้านข้างเขาคือพระชายาเว่ย เว่ยลี่หลิน สตรีในชุดผ้าแพรสีม่วงอ่อนปักลายดอกโบตั๋น ที่แสดงถึงความงามอ่อนหวานและความสูงศักดิ์
ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นสบกับองค์รัชทายาท ดวงตาของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ทว่าภายในกลับรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อเว่ยลี่หลินปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
เว่ยลี่หลิน คือรักแรกที่เขาไม่อาจลืมเลือน..รักที่ต้องจบลงโดยเขามิได้สมัครใจยินยอม
เขายังจดจำวันแรกที่พบกับนางได้ดี เว่ยลี่หลินในวัยเยาว์คือบุตรีเพียงคนเดียวของแม่ทัพเว่ย นางนั้นงดงามและอ่อนหวานจนหัวใจเขาสั่นไหว
ทว่าสุดท้ายนางกลับถูกเลือกให้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท พี่ชายต่างมารดาของเขาเอง
"น้องหก.." เสียงองค์รัชทายาทดึงเขากลับมาสู่ปัจจุบัน แม้คำพูดของพี่ชายจะเต็มไปด้วยความสุภาพ แต่เขาก็จับได้ถึงแววตาทึ่มีความเย้ยหยันเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่
ดวงตาของฉินเฉินอวี้เหลือบมองเว่ยลี่หลินเพียงแวบหนึ่ง นางยังคงงดงามเหมือนที่เขาจำได้ ใบหน้าขาวนวลนั้นดูสงบเสงี่ยม แต่ดวงตากลับหลบเลี่ยงไม่สบกับเขาตรง ๆ
"ถวายพระพรองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ"
อวี้หลิงหรงที่ได้ยินฉินเฉินอวี้กล่าวเช่นนั้น ก็รู้ดีว่าต้องวางตัวอย่างไร นางถอยหลังไปเล็กน้อย ย่อตัวทำความเคารพด้วยท่าทีสง่างามและอ่อนช้อย
"หม่อมฉันถวายพระพรองค์รัชทายาทและพระชายาเพคะ" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบตามธรรมเนียม แต่ไม่ก้มหัวจนเกินงาม
องค์รัชทายาทพยักหน้ารับเบา ๆ "เจ้ากับน้องสะใภ้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสร็จแล้วหรือ"
ฉินเฉินอวี้ค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมตามธรรมเนียม "พ่ะย่ะค่ะ"
เว่ยลี่หลินที่ยืนอยู่ข้างองค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นจ้องไปที่ฉินเฉินอวี้ ความซับซ้อนในสายตาของนางก็ไม่อาจปิดบังได้
"พระชายาของเจ้า.." องค์รัชทายาทตรัสขึ้น พร้อมกับแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย "ช่างงดงามและสง่าเหมาะสมกับเจ้ายิ่งนัก" น้ำเสียงราบเรียบนั้นฟังคล้ายคำชม แต่แฝงนัยที่ยากจะจับต้อง
คำพูดขององค์รัชทายาทและฮ่องเฮาคล้ายคลึงกันราวกับแกะ เจตนาที่พวกเขากล่าวเช่นนั้นก็เพื่อเหยียดหยามฉินเฉินอวี้ ไยนางจะดูไม่ออก
สำหรับที่นี่แล้วตัวตนของนางนั้นมิได้สูงส่งไปกว่าบ่าวไพร่ในเรือน นางเป็นเพียงเชลยจากแคว้นที่อ่อนแอเท่านั้น
"ขอบพระทัยในคำชมของพระเชษฐา" ฉินเฉินอวี้ตอบกลับ แต่สีหน้าของเขาเย็นชาดุจเดิม
เว่ยลี่หลินหันมาทางอวี้หลิงหรง ดวงตาของนางสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ
"พระชายาหกดูสงบเงียบและนอบน้อมยิ่งนัก" แม้คำพูดจะฟังดูอ่อนหวาน แต่ในน้ำเสียงของนางกลับแฝงด้วยความเย็นชาเล็ก ๆ ที่ยากจะปกปิด
อวี้หลิงหรงไม่หวั่นไหวต่อบรรยากาศนั้น นางเพียงยิ้มบาง ๆ และกล่าวตอบ "ขอบพระทัยในคำชมเพคะ"
การสนทนาระหว่างพี่น้องและชายาทั้งสองเต็มไปด้วยคำพูดสุภาพ แต่กลับแฝงด้วยความตึงเครียดที่ไม่มีผู้ใดเอ่ยออกมา ฉินเฉินอวี้เหลือบมองเว่ยลี่หลินแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับมา
"กระหม่อมกับพระชายาขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ยังรออยู่"
องค์รัชทายาทไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับมา เขาเพียงพยักหน้าให้อย่างไม่ใส่ใจนัก
เมื่อเดินจากมา ฉินเฉินอวี้ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองเบื้องหลัง เพราะเขารู้ดีว่า หากหันกลับไปแม้เพียงครู่เดียว ความทรงจำระหว่างเขากับเว่ยลี่หลินอาจถาโถมเข้ามามากเกินกว่าจะต้านทานได้
อวี้หลิงหรงที่เดินอยู่เคียงข้างยังคงเงียบงัน ราวกับไม่ได้รับรู้ถึงพายุในใจของเขา นางสงบนิ่งเยี่ยงสายน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น ไม่ว่าในใจจะคิดสิ่งใด ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
“เจ้าจะไม่ถามอะไรเลยหรือ”
เสียงของเขาดังขึ้นทำลายความเงียบระหว่างคนทั้งสอง อวี้หลิงหรงเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด นางย่อมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดระหว่างเขากับพระชายาเว่ย ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ นางไม่เอ่ยถามอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
นางชะงักเล็กน้อยพลางปรายตามองเขาด้วยแววตาที่อ่านได้ยาก แล้วเอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อยากให้ถามหรือเพคะ”
ฉินเฉินอวี้สบตาอวี้หลิงหรง ก่อนจะหลุดหัวเราะในลำคอ แม้นางจะตอบกลับด้วยถ้อยคำคุ้นเคย หากแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้รู้สึกว่านางกำลังรำคาญเขาเหมือนตอนที่นั่งอยู่ด้วยกันในรถม้า
เขาไม่รู้เลยว่าคำพูดเหล่านั้นของนาง มาจากความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น หรือเป็นเพียงความเฉยชาที่ไม่คิดจะแยแสอะไรอยู่แล้ว
ถึงกระนั้นเขาจะพยายามคิดในแง่ดีก็แล้วกัน
“หึ..ตอบสมกับเป็นเจ้าดี”
