บทที่8 ข้าคือมือสังหาร
ภายในห้องตำราของฉินเฉินอวี้นั้นถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย และมีน้ำตกเทียมตั้งอยู่กลางห้อง หน้าต่างบานใหญ่ถูกเปิดไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก บริเวณรอบตำหนักเริ่มถูกตกแต่งด้วยผ้าสีแดงสำหรับงานมงคลที่กำลังจะถูกจัดขึ้น
ขณะที่ฉินเฉินอวี้กำลังก้มหน้าจัดการเอกสารต่าง ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงอันคุ้นเคยของหลี่เฉียนอัน องครักษ์คนสนิทของเขา
"กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ"
"เข้ามา" เขาตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เฉียนอันจึงผลักประตูเข้ามาด้วยท่าทางสุขุม เขากราบทูลด้วยน้ำเสียงเคารพ "องค์ชาย เกี้ยวเจ้าสาวได้เดินทางมาถึงแคว้นฉินแล้ว ขณะนี้นางกำลังพักที่โรงเตี๊ยมในเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ"
ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นและชะงักเล็กน้อย ดวงตาของเขาฉายแววไม่สนใจ
"เช่นนั้นหรือ" เขาตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะกลับไปจดจ่อกับเอกสารที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ในใจไร้ซึ่งความยินดี เพราะอย่างไรนางก็เป็นเพียงพันธะที่ตัวเขานั้นมิได้ต้องการ นางจะอยู่ที่ใดก็มิได้เกี่ยวอะไรกับเขา
หลี่เฉียนอันยืนนิ่งสนิท เพราะไม่รู้ว่าควรกล่าวถึง ว่าที่พระชายาต่อหน้าองค์ชายหรือไม่ ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านเหล้าเมื่อคืนนั้นก็ทำให้เขาไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
"เกี่ยวกับว่าที่พระชายา.." เขากล่าวขึ้นก่อนจะสังเกตเห็นแววตาเย็นชาขององค์ชายหกที่จ้องมองมาที่เขาอย่างไม่พอใจ
หลี่เฉียนอันลอบกลืนน้ำลายดังเอือก พลางก้มหน้าหลบสายตาคมกริบคู่นั้นก่อนจะกลั้นใจพูดต่อ "เกี่ยวกับคุณหนูผู้นั้น..นางต่างจากที่กระหม่อมให้คนไปสืบมานักพ่ะย่ะค่ะ ต่างกันราวกับคนละคน"
"อย่างไร" ฉินเฉินอวี้วางพู่กันลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาฟังเรื่องที่องครักษ์หลี่ต้องการจะพูด เพราะเขาเชื่อว่าหลี่เฉียนอันคงไม่เอาเรื่องไร้สาระอย่างนางงดงามอะไรนั่นมาพูดต่อหน้าเขาอย่างแน่นอน
"ว่ากันตามตรงกระหม่อมอธิบายเกี่ยวกับนางไม่ถูกจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่มีอย่างหนึ่งที่กระหม่อมสามารถพูดได้คือ ฝีมือการใช้ดาบของนางไม่ธรรมดาเลยพะย่ะค่ะ พระองค์ควรระวังนางไว้ด้วยเพราะเราไม่รู้ว่านางเป็นศัตรูหรือมิตรกันแน่"
ฉินเฉินอวี้ตั้งใจฟังด้วยใบหน้าครุ่นคิด นางเก่งกล้าถึงขั้นที่หลี่เฉียนอันผู้สุขุมคนนั้นเอ่ยปากให้เขาระวังตัวเชียว หรือจะมีคนจ้างนักฆ่ามาสวมรอยพระชายา เพราะแคว้นหานเองก็เป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ อีกทั้งยังไม่ชำนาญด้านการรบ จะหาบุรุษมากฝีมือก็ยังยากยิ่งสตรียิ่งไม่มีทาง
"ข้าจะระวังตัว"
"เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพะย่ะค่ะ"
วันเสกสมรส
ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงสดประดับด้วยผ้าปักลวดลายมงคลเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงฆ้องและกลองที่ดังสะท้อนทั่วถนน ผู้คนต่างจับจ้องด้วยความตื่นเต้น
ภายในเกี้ยวที่ปิดสนิท อวี้หลิงหรงนั่งสงบนิ่งราวกับหุ่นแกะสลัก รูปร่างของนางบอบบางประณีต สวมชุดแต่งงานสีแดงเพลิงปักด้วยลวดลายหงส์อย่างสง่างาม
ผิวพรรณของนางขาวดุจหิมะ ยิ่งตัดกับสีแดงของชุดแต่งงานยิ่งเพิ่มความโดดเด่น เส้นผมของนางถูกเกล้าขึ้นอย่างประณีต พร้อมประดับปิ่นทองอันหรูหรา แต่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสด อวี้หลิงหรงยังคงไร้ซึ่งรอยยิ้ม..
เมื่อขบวนมาถึงตำหนักของฉินเฉินอวี้ เสียงประทัดก็ดังกึกก้อง ฉินเฉินอวี้ในชุดสีแดงทองสง่างามยืนรออยู่ เขายืนมือออกไปรับเจ้าสาวด้วยท่าทางที่ดูอบอุ่นแต่แววตานั้นกลับเรียบเฉยและว่างเปล่าราวกับไม่ใส่ใจพิธีที่กำลังเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
พิธีการเริ่มขึ้นในโถงใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างอลังการ แขกเหรื่อต่างพากันร่วมแสดงความยินดี
แต่บรรยากาศระหว่างบ่าวสาวนั้นกลับเย็นเยียบ..
คำนับฟ้าดิน เสียงพิธีกรดังขึ้น ขณะที่บ่าวสาวก้มศีรษะลงต่อฟ้าดิน แม้จะทำตามธรรมเนียมอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในใจกลับปราศจากความรู้สึกยินดี
คำนับบิดามารดา ทั้งคู่เคารพต่อบรรพบุรุษด้วยท่าทีสงบนิ่ง
คำนับกันและกัน การคำนับครั้งนี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความห่างเหินและเย็นชา
ใบหน้าเจ้าบ่าวอมทุกข์ ใบหน้าเจ้าสาวไร้ซึ่งอารมณ์
แม้พิธีจะเสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์ แต่บรรยากาศกลับไร้ซึ่งความอบอุ่นหรือความสุขสมรสที่แท้จริง ทุกคนต่างรู้ดีว่าการแต่งงานครั้งนี้คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้โดยอำนาจ ไม่ใช่ด้วยความรัก
องค์ชายหกมีใจรักใคร่ผู้ใดทุกคนต่างรู้ดี..
ภายในห้องหอที่ถูกประดับด้วยผ้าสีแดง อวี้หลิงหรงนั่งสงบนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักหลังใหญ่เป็นเวลาหลายชั่วยาม ดวงตาของนางมองทอดไปยังแสงเทียนที่พลิ้วไหว เงาสีแดงสะท้อนบนใบหน้าอ่อนโยนแต่ไร้ซึ่งรอยยิ้ม
ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวปกปิดดวงหน้าของนางไว้ ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความคิดอันซับซ้อน เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนแสงเทียนแทบจะดับแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าบ่าว
ความเหนื่อยล้าเริ่มก่อตัวขึ้น จนนางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา อวี้หลิงหรงยกมือขึ้นเตรียมจะปลดผ้าคลุมหน้าสีแดงที่เกะกะและเครื่องหัวที่หนักเสียจนคอของนางแทบหักทิ้ง
แต่ทันใดนั้นประตูห้องหอก็ถูกเปิดออกเสียงดังสนั่น พร้อมกับร่างของเจ้าบ่าวในชุดแต่งงานที่ยับยู่เล็กน้อย ดวงตาของเขาแดงก่ำและมีกลิ่นสุราตลบอบอวล
ฉินเฉินอวี้ก้าวเข้ามาด้วยความระแวดระวัง
ดวงตาคมกริบมองผ่านผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวราวกับพยายามค้นหาบางอย่าง เขาใช้ปลายดาบตวัดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวจนปลิวกระเด็น เผยให้เห็นใบหน้างดงามไร้ที่ติของสตรีที่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง
ดวงตาของฉินเฉินอวี้แคบลงทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของนาง ความทรงจำในร้านเหล้าคืนนั้นฉายชัดขึ้นในความคิด
หญิงสาวผู้เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจพยัคฆ์ ใช้เพียงสันดาบจัดการทหารสามนายจนหมดสติ เป็นคนเดียวกันกับเจ้าสาวตรงหน้าอย่างแน่นอน!
"ใครส่งเจ้ามา!" เขาเอ่ยเสียงต่ำด้วยความเย็นชา ก่อนจะยกดาบขึ้นพาดลำคอระหงของนาง ดาบเล่มนั้นเฉือนผ่านผิวหนังเพียงเบา ๆ ก็เกิดรอยแผล และโลหิตสีแดงสดก็ไหลรินลงมาบนชุดแต่งงาน
คนที่นี่เป็นอะไรกับคอของข้านัก?
อวี้หลิงหรงยังคงนั่งนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยของนางไม่มีวี่แววหวาดกลัวแม้แต่น้อย ดวงตาของนางสบประสานกับเขาอย่างเยือกเย็น ราวกับคำขู่ของเขาเป็นเพียงเรื่องขำขัน
"นี่คือวิธีเข้าหอของแคว้นฉินหรือเพคะ?" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแต่แฝงความเย้ยหยันเล็กน้อยในประโยค
ฉินเฉินอวี้กัดฟันแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่ไว้วางใจ
"เจ้าเป็นใครกันแน่"
เท่าที่เขาสืบรู้มา คุณหนูสามของสกุลอวี้นั้น เป็นสตรีอ่อนแอและโง่เขลา กระทั่งบ่าวไพร่ยังรังแกนางได้ มีหรือที่คนอย่างนางจะกล้าสบตาเขาตรง ๆ
"ข้าก็เป็นเพียงเชลยจากแคว้นหาน จะเป็นใครไปได้เล่า" นางตอบกลับโดยไม่มีท่าทีตื่นตระหนก
ฉินเฉินอวี้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนางราวกับกำลังจับผิด แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางก็ดูไม่เหมือนคนที่กำลังโกหกเลยแม้แต่น้อย
"เชลยจากแคว้นหาน.." เขากล่าวเสียงต่ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน "เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำโกหกของเจ้างั้นหรือ?"
อวี้หลิงหรงคลี่ยิ้มบาง พลางยกมือขึ้นแตะแผลเล็ก ๆ ที่ลำคอ ก่อนจะมองโลหิตสีแดงบนปลายนิ้วของตัวเอง "องค์ชาย หากข้าเป็นมือสังหารจริง ๆ ท่านจะทำเช่นไร?"
ฉินเฉินอวี้กระตุกยิ้มเย็น มือที่กุมดาบแน่นขึ้นเล็กน้อย "แน่นอนว่าข้าย่อมสังหารเจ้าโดยไม่ลังเล"
อวี้หลิงหรงแค่นหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แววตาของนางไม่เพียงแต่เยือกเย็นแต่ยังฉายประกายบางอย่างที่อ่านไม่ออก
"ถ้าเช่นนั้น..ข้าก็คือมือสังหาร"
