บท
ตั้งค่า

บทที่7 สตรีชุดดำผู้นั้นคือใครกัน

แคว้นฉิน

ณ โรงเหล้าขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและกลิ่นอายของสุรา หญิงสาวในอาภรณ์สีดำสลักเลื่อมทองนั่งเอนกายพิงเก้าอี้ไม้ตัวเก่าด้วยท่าทางสบายใจ ชุดของนางพลิ้วไหวดั่งคลื่นน้ำยามค่ำคืน บ่งบอกถึงความประณีตวิจิตรที่คู่ควรกับสตรีผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อรวมเข้ากับแววตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มมุมปากของนาง ทุกอย่างกลับดูขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่ควรจะเป็น

ใบหน้าของหญิงสาวงดงามจับตา ผิวพรรณเนียนละเอียดราวกับหยกขาวแต่งแต้มด้วยเลือดฝาดบาง ๆ ที่แก้มทั้งสองข้าง ดวงตาเรียวยาวคมกริบเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าอัญมณีใดบนโลก ขนตายาวโค้งเพิ่มเสน่ห์ลึกลับให้กับนาง จมูกโด่งรับกับโครงหน้าที่ได้รูป ริมฝีปากบางสีแดงเข้มที่ยังเปื้อนคราบสุราโค้งขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ นางยกขวดสุราขึ้นอีกครั้ง สูดกลิ่นหอมของมันก่อนจะกระดกดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว

"ฮ่า! สุราที่นี่รสชาติเยี่ยมจริง ๆ" อวี้หลิงหรงหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่นางได้ออกมาจากจวนที่เหมือนกับนรกแห่งนั้น

นางปลดปิ่นปักผมออก ผมดำยาวสลวยหลุดร่วงลงมาเคลียไหล่ เปลี่ยนภาพของสตรีสูงศักดิ์ให้กลายเป็นหญิงสาวผู้รักอิสระในทันที

"คุณหนู.. ท่านเคยดื่มสุราเสียที่ไหนกัน อย่าทำราวกับว่าดื่มสุรามาแล้วทั้งชีวิตสิเจ้าคะ" จื่อรั่วแอบกระซิบผู้เป็นนายเบา ๆ ด้วยความเป็นห่วง เพราะคุณหนูของนางนั้นทั้งงดงามและบอบบาง

ปกติท่านก็เป็นสตรีในห้องหอ อ่านตำราหนังสืออยู่ที่เรือนตนเองอย่างเดียว มิเคยไปเตร็ดเตร่นอกจวน นางเกรงว่าคุณหนูจะทนกับฤทธิ์สุราไม่ไหว

โชคดีที่มีองครักษ์หลี่ติดตามมาด้วย ถึงแม้ว่าจะมิได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันด้วยเหตุผลเรื่องความเหมาะสม แต่เขาก็นั่งอยู่โต๊ะใกล้ ๆ คอยอารักขา นางจึงสบายใจไปอีกหนึ่งเปราะ

"อีกสองวันข้าก็ต้องแต่งงานแล้ว.." นางพึมพำกับตัวเองพลางเทสุราเพิ่มลงในจอก รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า แต่ดวงตากลับเปล่งประกายหม่นหมองเพียงชั่วขณะ เพราะการแต่งงานในชีวิตก่อนนั้นก็ไม่ต่างจากนรก

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่สามีผู้อ่อนโยนของข้าเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน..

ก็ตั้งแต่ตอนที่น้องสาวสุดที่รักมาคอยดูแลอาการป่วยของข้ายังไงล่ะ ทั้งที่ข้าคิดว่าชาตินั้นมีครอบครัวที่ดีมีน้องสาวที่น่ารัก มีสามีที่อบอุ่นแท้ ๆ

สุดท้ายเรื่องราวของข้าก็คงกลายเป็นที่ซุบซิบนินทาในเมืองหลวงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นทุกคนก็ค่อย ๆ ลืมเลือนเรื่องราวของข้าไป..

อวี้หลิงหรงกระแทกจอกลงกับโต๊ะเต็มแรง ก่อนจะยกมือสั่งเหล้าอีกไห ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มองนางราวกับกำลังเห็นบุปผาแปลกตาที่ทั้งงดงามเย้ยฟ้าท้าดิน

ในใจของนางเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ว่าเมื่อถึงวันที่ต้องสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิง ชีวิตของนางจะเป็นอย่างไรต่อ นางอาจกลายเป็นพระชายาที่พระสวามีมิโปรดปรานถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวในตำหนักเย็น

"ข้าว่าแบบนั้นมันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เขามิโปรดปรานข้าสิยิ่งดี ชีวิตข้าจะได้สงบ!"

อวี้หลิงหรงบ่นงึมงัมเนื่องจากอาการมึนเมา ทั้งที่ชีวิตก่อนนางดื่มเหล้าแข่งกับเหล่าทหารใต้บังคับบัญชายันฟ้าสางนางก็ยังไม่เมา แต่ร่างกายคุณหนูอวี้ผู้นี้นั้น.. กินไม่กี่ไหก็เมาแล้ว บอบบางเสียจริง!

ขณะที่อวี้หลิงหรงกำลังจมอยู่กับความคิดของตน บรรยากาศก็พลันเปลี่ยนไป เมื่อกลุ่มทหารหนุ่มสามคนในชุดเกราะหยาบกร้าน เดินโยกเยกเข้ามาพร้อมกลิ่นสุราโชยแรง

ดวงตาของพวกมันจ้องไปที่หญิงสาวในชุดสีดำเลื่อมทองอย่างหยาบคาย หนึ่งในนั้นก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ยกจอกสุราที่ถือไว้ในมือแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

"แม่นาง..ใส่ชุดสีดำยังงดงามปานนี้ หากมิใส่.. เพ่ยเพ่ยเพ่ย ขออภัยด้วยข้าเมาแล้วเลอะเลือนปากก็พูดอะไรไปเรื่อย หวังว่าท่านคงจะไม่ถือสา เอาอย่างนี้ให้พวกข้าเลี้ยงเหล้าแทนการขอโทษเป็นอย่างไร" เสียงหัวเราะหยาบโลนจากพรรคพวกอีกสองคนดังขึ้นเสริมคำพูดนั้น

หญิงสาวปรายตามองพวกมันด้วยสายตาเยือกเย็น มือเรียวขาวที่ถือจอกสุราวางลงบนโต๊ะเบา ๆ ราวกับนางไม่แยแสคำพูด แต่เมื่อเอ่ยคำตอบ น้ำเสียงของนางกลับแหลมคมดุจใบมีด

"การไร้ความยับยั้งชั่งใจของพวกเจ้า ช่างทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ ข้าไม่คิดว่าโรงเหล้าแห่งนี้จะเปิดรับทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานในคราวเดียวกัน"

ใบหน้าของชายทั้งสามแดงก่ำขึ้นทันที แต่ไม่ใช่เพราะฤทธิ์สุรา ทหารคนหนึ่งกำหมัดแน่น อีกคนกระชากดาบออกจากฝักพร้อมคำรามอย่างกราดเกรี้ยว

"ปากกล้านักนะนังนี่!"

หญิงสาวเพียงแค่นั่งยิ้มมุมปาก ใบหน้าสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ขณะที่พวกมันกำลังกรูเข้ามา นางลุกขึ้นยืนในชั่วพริบตา ชุดสีดำของนางสะบัดตามแรงลม มือเรียวของนางเคลื่อนไหวเร็วเกินกว่าตาที่เต็มไปด้วยฤทธิ์สุราของพวกมันจะมองทัน

เพียงพริบตาดาบทั้งสามเล่มในมือพวกมันถูกแย่งไปอย่างง่ายดาย นางเคลื่อนกายราวกับสายลม ด้ามดาบในมือถูกใช้แทนไม้เรียวหวดเข้าใส่ร่างของชายทั้งสามคนด้วยความแม่นยำ

ทหารคนแรกถูกฟาดเข้าที่หลังจนร่วงลงไปกองกับพื้น คนที่สองโดนกระแทกตรงชายโครงจนล้มทรุด และคนสุดท้ายโดนตีเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรงจนหมดสติทันที

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนผู้คนในโรงเหล้าต่างยืนอ้าปากค้าง นางยืดตัวขึ้นเต็มความสูง จับดาบสามเล่มในมือโยนลงพื้นดังเคร้ง ก่อนจะหันไปสั่งสุราเพิ่มด้วยท่าทางเฉยเมย

เมื่อเห็นว่าชายสามคนนอนหมอบหมดสติอยู่กับพื้น เสียงปรบมือเซ็งแซ่ของผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นก็ดังขึ้น

"นางเป็นคุณหนูจากสกุลไหนกัน ทั้งงดงามและแข็งแกร่ง!"

"พวกเจ้าเห็นหรือไม่ นางใช้เพียงสันดาบเท่านั้น!"

"หากแม่นางผู้นั้นไม่ยั้งมือ มีหรือคนพวกนี้จะรอด"

เสียงชมเชยดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พร้อมเหล้าและกับแกล้มที่ถูกยกมาเติมให้เสียจนกินแทบไม่หมด

ทหารสามคนนี้มักจะเมาแล้วกร่างไปทั่ว เมื่อคนพาลถูกจัดการเสียจนหมอบมีหรือที่ชาวบ้านจะไม่ชอบใจ อย่างไรแคว้นฉินก็ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งอยู่แล้ว

ยิ่งสตรีที่ปกติควรเรียบร้อยราวกับผ้าที่ถูกพับไว้ กลับจัดการทหารหนุ่มสามคนด้วยตัวคนเดียวแถมยังใช้เพียงแค่สันดาบยิ่งกลายเป็นที่กล่าวขาน

นับว่าเป็นลาภปากได้หรือไม่เพราะค่ำคืนนี้นางมิต้องจ่ายค่าเหล้าเลยแม้แต่อีแปะเดียว!

เหตุการณ์ชุลมุนเหล่านั้น อยู่ในสายตาของฉินเฉินอวี้ที่กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านบนชั้นสองของโรงเหล้า เขาปัดมือเพียงเล็กน้อยหญิงสาวในอารมณ์ผืนบางก็ค้อมศีรษะแล้วเดินออกไปอย่างว่าง่าย

สายตาคมกริบจ้องมองไปยังใบหน้าที่แดงระเรื่อจากฤทธิ์สุราอย่างพินิจ นางต่อสู้โดยที่ไม่มีไอสังหารเล็ดรอดออกมาเลยสักนิด..

“นางคือใครกัน”

ขณะเดียวกันนั้น อวี้หลิงหรงที่รู้สึกกับราวมีเข็มมาทิ่มแทงตนเองจึงได้แหงนหน้าขึ้นไปมองบนชั้นสอง จึงเผลอสบตากับบุรุษคนหนึ่งที่จ้องมองมาที่นางตาไม่กระพริบ

หากดูจากการแต่งตัวแล้ว เขาคงจะไม่ใช่คนธรรมดา อีกอย่างนางก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเป็นปัญหาในอนาคตได้ก็ควรจะเลี่ยง

เมื่อคิดได้เช่นนั้นอวี้หลิงหรงจึงเลือกที่จะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นโดยที่มิได้ให้ความสนใจกับคนผู้นั้นอีก ทางด้านฉินเฉินอวี้เองก็สะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดไร้สาระที่เกี่ยวกับสตรีผู้นั้นทิ้งไป

นางจะเป็นใครก็มิได้เกี่ยวอะไรกับเขา!

ทว่าระหว่างที่กำลังสลัดภาพของสตรีเมื่อครู่ออกไป เขาก็เหลือบไปเห็นแผ่นหลังอันคุ้นตา

"เฉียนอัน.." เขาพึมพำชื่อขององครักษ์คนสนิทขึ้นมาพลางขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

หลี่เฉียนอันเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้และไม่เคยทำให้ผิดหวัง เขาได้สั่งให้เฉียนอันไปรับตัวเจ้าสาวที่แคว้นหาน ไยเจ้านั่นจึงมานั่งเอ้อระเหยอยู่ร้านเหล้า ปกติเขามิใช่คนที่ออกนอกลู่นอกทางนี่?

เอาเถิดอย่างไรวันนี้ขบวนเสบียงก็มาถึงวังหลวงเรียบร้อยแล้ว ขบวนเจ้าสาวก็คงมาถึงแล้วเช่นกัน

หากเจ้านั่นอยากจะมานั่งดื่มบ้างก็คงไม่ผิดแปลกอะไร เพียงแต่ว่าเขาแค่แปลกใจที่เฉียนอันมิได้กลับมารายงานตัวกับเขาอย่างที่เคย

"ดูเหมือนว่าที่พระชายาของข้าจะ เป็นอย่างข่าวลือที่ไปสืบมาสินะ เจ้านั่นคงเห็นว่าไม่สำคัญเลยไม่ได้มารายงานเพิ่มเติม" เมื่อคิดได้เช่นนั้นฉินอ๋องเฉินอวี้จึงลุกขึ้น แล้วเดินทางกลับไปที่ตำหนักของตน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel