บท
ตั้งค่า

บทที่2 สกุลอวี้

อวี้หลิงหรงเดินทางไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนเสนาบดี เมื่อก้าวเข้าไป ภาพของชายวัยกลางคนผู้เปี่ยมด้วยอำนาจและบารมีอย่างเสนาบดีกลมคลังอวี้เฉิง ผู้เป็นบิดาของร่างนี้นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะอาหาร

รอบข้างเหล่าสมาชิกสกุลอวี้นั่งเรียงราย แต่งกายด้วยชุดที่ถูกตัดเย็บจากผ้าไหมผ้าแพรชั้นดี ประดับด้วยลวดลายปักมืออย่างวิจิตรบรรจง บรรยากาศภายในห้องอาหารนั้นดูอบอุ่น จนกระทั่งอวี้หลิงหรงเดินมาถึง

ทันทีที่นางก้าวเข้าไป เสียงตวาดก็ดังขึ้นโดยไม่ให้โอกาสแม้แต่จะกล่าวคำทักทาย

"โผล่หัวออกมาได้แล้วหรือ เลิกบ้าแล้วหรือไร!"

เสียงของอวี้เฉินก้องกังวานในห้องโถง ดวงตาคมกริบของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก เพราะหลังจากวันที่เขาลงโทษอวี้หลิงหรงโทษฐานขโมยปิ่นของอวี้ซูเม่ย นางก็ได้ประชดประชันเขาด้วยการแขวนคอตนเองภายในห้อง สร้างความอับอายให้แก่สกุลอวี้เป็นอย่างมาก

อีกทั้งตลอดหนึ่งเดือนมานี้ นางเอาแต่ขังตนเองไว้ในห้องและเอาแต่กรีดร้องราวกับคนเสียสติ จนข่าวลือแพร่ไปทั่วว่าบุตรสาวคนโตของสกุลอวี้เป็นคนบ้า

อวี้หลิงหรงยืนนิ่ง ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก ราวกับคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่าน นางไม่ตอบโต้ ไม่แก้ตัว ใครจะพูดเช่นไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป

"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าและบิดาของเจ้ามีเรื่องจะคุยด้วย" อวี้ลี่อิน ฮูหยินคนปัจจุบันของเสนาบดีอวี้เฉิง ผู้มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของอวี้หลิงหรงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ดูเหมือนว่าเรื่องที่พวกเขาจะคุยวันนี้คงมิใช่เรื่องดีสำหรับนางเป็นแน่

"เม่ยเม่ยคารวะพี่สามเจ้าค่ะ" เสียงหวานของอวี้ซูเม่ย น้องสาวต่างแม่ของอวี้หลิงหรงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเป็นมิตร ในความทรงจำของเจ้าของร่างเก่านั้นอวี้ซูเม่ยคือน้องสาวที่น่ารักและบอบบาง

ทว่ากับนางที่เคยถูกน้องสาวและสามีหักหลังมาก่อน ชาตินี้นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าอวี้ซูเม่ยผู้นี้กับอิซาเบลล่าเป็นผู้หญิงแบบเดียวกัน ดูจากปิ่นที่อวี้ซูเม่ยตั้งใจปักมาในวันนี้ มันก็คือปิ่นอันเดียวกันกับที่เคยกล่าวหาว่าอวี้หลิงหรงโมยไป จนเป็นเหตุให้นางต้องถูกลงโทษ

ไม่ว่าที่ไหนก็มีแต่พวกงูพิษ

"ท่านพ่อมีธุระอันใดกับลูกหรือเจ้าคะ?" อวี้หลิงหรงเมินคำทักทายของอวี้ซูเม่ยโดยไม่เหลียวมอง ก่อนจะหันไปพูดกับบิดาด้วยสีหน้าราบเรียบ อวี้ซูเม่ยที่ถูกเมินย่อมรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย ทว่าก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด

เพราะรู้ว่าอย่างไร พี่ชายทั้งสองก็ต้องออกโรงปกป้องตน

"หรงหรง! เจ้าช่างไร้มารยาทนัก! นอกจากมาช้าแล้วยังไม่คารวะผู้ใหญ่ แถมยังเมินการทักทายของน้องสี่อีกหรือ หากข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง คงนึกว่านี่เป็นพฤติกรรมของบ่าวไพร่!"

เสียงตำหนิของ อวี้หยุน ผู้เป็นบุตรชายคนโตดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ ดวงตาสะท้อนความเกลียดชังอย่างชัดเจน อวี้หลิงหรงปรายตามองพี่ชาย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

"ท่านนั่นแหละที่ไร้มารยาท ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของท่านพ่อ หาใช่เสนอหน้ามาเอง และที่สำคัญ ข้ากำลังสนทนากับท่านพ่ออยู่ มันใช่เวลาที่ท่านจะมาสอดปากสั่งสอนข้าหรือ?"

"หรงหรงเจ้าพูดแรงเกินไปแล้ว" อวี้เหวิน พี่ชายคนรองเอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเป็นคนสุขุมและใจเย็นต่างจากพี่ชายคนโตที่หุนหันพลันแล่น แต่ถึงอวี้เหวินจะเป็นบุรุษที่ฉลาดหลักแหลมหรือใจเย็นเพียงใด แต่กับน้องสาวแท้ ๆ ของตนนั้นเขากลับใจแคบและเย็นชา

อวี้หลิงหรงปรายตามองอวี้เหวิน ก่อนแค่นหัวเราะเย้ยหยัน "ทีตอนเขาว่าข้า ท่านกลับมิคิดเอ่ยปรามสักคำ แต่พอถึงคราวข้าตอบกลับบ้าง กลับกลายเป็นข้าพูดแรงเกินไปเสียแล้ว" นางกล่าวจบก็เบือนหน้าหนี ราวกับไม่คิดเปลืองน้ำลายสนทนากับพวกเขาต่อ

ขณะบรรยากาศเคร่งเครียด อวี้ซูเม่ยกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"พี่ใหญ่พี่รองอย่าอารมณ์เสียไปเลยเจ้าค่ะ พี่สามท่านอาจแค่น้อยใจพวกเราเพราะเรื่องคราวก่อน"

อวี้ซูเม่ยหันกลับมาสบตากับนางพร้อมกับน้ำตาที่คลอหน่วยก่อนจะพูดต่อ

"พี่สาม..เรื่องที่ท่านขโมยปิ่นของข้าไป ข้ามิได้ถือสาเอาความ เพราะอย่างไรเราทั้งสองเป็นพี่น้องกัน สิ่งใดที่ท่านอยากได้ข้าล้วนยินดีมอบให้ แต่ข้าขอร้องท่านพี่..ท่านอย่าโกรธพี่ใหญ่แล้วก็พี่รองเลยนะเจ้าคะ"

อวี้หลิงหรงยืนมองละครฉากใหญ่ด้วยใบหน้าราบเรียบ พลางขมวดคิ้วคิดในใจว่าคนบ้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด จะไม่มีคนปกติให้นางคุยบ้างเลยหรือ แล้วนังผู้หญิงนี่มัวแต่พล่ามอะไรอยู่ได้ตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว?

"พี่สามหากท่านยังไม่พอใจท่านจะทุบตีข้าก็ได้" อวี้ซูเม่ยเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลรินลงมาราวกับสั่งได้

อวี้หลิงหรงปัดมือไปมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ข้าไม่ดูละครลิง เลิกแสดงเถอะมันน่ารำคาญ"

อวี้ซูเม่ยชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น นางกะพริบตาปริบ ๆ ให้หยาดน้ำตาหยดลงมาอีกสองสามหยด หวังให้คนรอบข้างเกิดความสงสาร "พี่สาม..ข้าไม่เข้าใจ ท่านเคยรักและเอ็นดูข้ามาก่อน เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้"

นางกัดริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำท่าทีราวกับเด็กสาวผู้ถูกทอดทิ้ง

อวี้หลิงหรงกลอกตา ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ เห็นสายตาของเหล่าข้ารับใช้และญาติพี่น้องบางคนที่เริ่มซุบซิบกัน นางถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย สายตาแบบนี้นางเห็นมาทั้งชีวิตแล้ว ไม่คิดว่าชาตินี้นางก็ยังหนีไม่พ้นสายตารังเกียจดูแคลน

"อวี้ซูเม่ย ข้าไม่เคยรักหรือเอ็นดูเจ้า" นางเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ "เจ้าสมองเพี้ยนไปแล้วหรือ?"

ใบหน้าของอวี้ซูเม่ยซีดเผือดไปทันที "ท่าน..!" นางกำมือแน่น กัดริมฝีปากแน่นจนเกือบห้อเลือด

ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและสายตาของผู้คนที่จับจ้อง เสียงร้องไห้สะอื้นของอวี้ซูเม่ยยังคงดังก้องอยู่ภายในห้องโถง อวี้หลิงหรงเพียงปรายตามองด้วยความเหนื่อยหน่าย นางจึงคิดจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร

"พอได้แล้ว!" เสียงทุ้มต่ำที่แฝงด้วยอำนาจของเสนาบดีอวี้เฉิงดังขึ้น ขัดจังหวะความวุ่นวายทั้งหมด ทุกคนเงียบกริบโดยอัตโนมัติ

อวี้หลิงหรงค่อย ๆ หันไปสบตากับบิดาของตน ใบหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ของนางทำให้บรรยากาศในห้องอาหารเย็นเยียบลงกว่าเดิม

"เจ้าคงพอใจกับการกลั่นแกล้งน้องสาวของเจ้าแล้วกระมัง?" เสียงของเสนาบดีอวี้เฉิงราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยความกดดัน เขาจับจ้องบุตรสาวคนโตของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและไม่แยแส

"เจ้าช่างหยาบคายและอวดดีขึ้นทุกวัน ข้าชักจะสงสัยแล้วว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอวี้อย่างเจ้าถูกเลี้ยงดูมาเช่นไรกันแน่"

อวี้หลิงหรงไม่ได้แสดงท่าทีสะทกสะท้านต่อคำพูดนั้น นางเพียงแค่นั่งเงียบ ปล่อยให้บิดาของตนได้พูดไปตามที่เขาต้องการ

เสนาบดีอวี้เฉิงจ้องหน้านางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป

"แต่ช่างเถิด ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้มิใช่เพราะเรื่องไร้สาระของพวกเจ้า" เขาวางตะเกียบลงบนโต๊ะเสียงดัง พลางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้"

เขาหยุดไปครู่หนึ่ง มองอวี้หลิงหรงด้วยสายตาที่ไม่ต่างอะไรจากการมองเครื่องมือชิ้นหนึ่ง แล้วจึงกล่าวต่ออย่างไร้เยื่อใย

"เดือนหน้าเจ้าจงเตรียมตัวเดินทางไปแคว้นฉินพร้อมกับขบวนเสบียงเสีย"

ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา บรรยากาศภายในห้องอาหารเงียบลงอย่างน่าประหลาด ทุกคนต่างมีสีหน้าตกตะลึง อวี้ซูเม่ยที่ร้องไห้อยู่เมื่อครู่ก็พลันหยุดสะอื้น นางเบิกตากว้าง ริมฝีปากแสยะเล็กน้อยด้วยความสะใจ

ในบรรดาเจ็ดแคว้น แคว้นหาน คือแคว้นที่เล็กที่สุดและถูกขนานนามว่าเป็นกวางน้อยในดงเสือ เพราะดินแดนแห่งนี้ถูกกระหนาบด้วยแคว้นใหญ่จากทุกทิศ และมักถูกคุกคามโดยแคว้นอื่น ๆ เสมอโดยเฉพาะ 'แคว้นฉิน'

เมื่อหลายปีก่อน แคว้นหานได้ถูกกองกำลังทหารจากแคว้นฉินยกทัพมาลุกลามดินแดนทางตอนใต้ โดยทางฝั่งแคว้นหานเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ยกกำลังทหารไปป้องกันชายแดนอย่างกล้าหาญ

ทั้งสองเปิดฉากสู้รบกันกินเวลานับเดือน แต่ด้วยจำนวนที่น้อยกว่าและป้องกันก่อนที่ความสูญเสียจะมากกว่านี้ แคว้นหานจึงยอมยกธงขาวยอมแพ้แต่โดยดี

ทางแคว้นหานได้ส่งราชทูตไปเจรจากับแคว้นฉินเพื่อขอสงบศึก โดยที่ทางนั้นเองได้ยื่นข้อเสนอมาว่า ในทุก ๆ ปีให้แคว้นหานค่อยส่งเสบียงหนึ่งในห้าส่วนให้กับทางแคว้นฉินและต้องส่งสาวงามไปแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับแคว้นฉินปีละคน

โดยที่ต้องเป็นสตรีที่มีสายเลือดของราชวงศ์เท่านั้น ต่อมาก็ได้มีการเจรจาต่อรองให้เพิ่มเติมจากราชวงศ์เป็นบุตรสาวจากตระกูลขุนนาง แลกกับการให้ยืมกองกำลังมาปกป้องแคว้นหานจากการรุกลามของแคว้นอื่น ๆ

ทว่าลูกใคร ใครก็รัก มิมีขุนนางตระกูลใดเต็มใจอยากจะส่งบุตรสาวอันเป็นที่รักของตนไปเป็นเชลยที่แคว้นอื่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฮ่องเต้จำต้องใช้วิธีเสี่ยงดวงในการเลือกเจ้าสาวไปแต่งงานที่แคว้นฉิน

รายชื่อของบุตรสาวตระกูลขุนนาง รวมถึงองค์หญิงที่อายุสมควรแก่การออกเรือนจะถูกเขียนและหย่อนลงในโถทองคำ และผู้ใดที่ถูกองค์ฮ่องเต้จับได้ชื่อ จะต้องถูกส่งไปแต่งงานพร้อมกับขบวนเสบียงอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

ทว่าปีนี้เสนาบดีกลมคลังอย่างอวี้เฉิง ได้เสนอชื่อบุตรสาวคนโตของตนอย่างอวี้หลิงหรงให้ไปแต่งงานที่แคว้นฉินด้วยความเต็มใจ และเขาก็ได้รับสินน้ำใจใต้โต๊ะจากขุนนางคนอื่น ๆ เป็นกอบเป็นกำ

อวี้หลิงหรงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบา ๆ นางยกถ้วยชาในมือขึ้นมาจิบอย่างไม่ทุกข์ร้อน

"องค์ฮ่องเต้จับได้ชื่อของข้าหรือเจ้าคะ" อวี้หลิงหรงสบตากับบิดาของตนเพียงชั่วครู่ ทันใดนั้นเองนางก็เข้าใจแล้วว่า การส่งตัวเจ้าสาวไปยังแคว้นฉินคราวนี้ มิได้เป็นเพราะองค์ฮ่องเต้จับได้ชื่อนาง แต่เป็นเพราะเสนาบดีอวี้เฉิงผู้นี้ เต็มใจที่จะขายนางไปเป็นเชลยแทนบุตรสาวตระกูลอื่น

เสนาบดีอวี้เฉิงไม่ได้ตอบในทันที แต่เพียงแค่ความเงียบและสีหน้าเรียบเฉยของเขาก็มากพอจะเป็นคำตอบ

นางไม่ได้แสดงท่าทีแตกตื่นหรือต่อต้านอย่างที่ใครต่อใครคาดหวัง แต่กลับยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง ท่ามกลางบรรยากาศที่หนักอึ้ง เสียงกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะดังขึ้นเบาๆ นางเหลือบมองบิดาของตนด้วยสายตาเรียบนิ่ง

"ข้าเข้าใจแล้ว" นางกล่าวสั้น ๆ

ทว่าคำตอบของนางนั้นกลับทำให้ทุกคนแปลกใจ เป็นไปไม่ได้ที่อวี้หลิงหรงจะยอมไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ หากเป็นปกตินางก็คงจะกอดขาร้องไห้ ขอร้องให้ท่านพ่อช่วยนางอย่างแน่นอน

ดวงตาของเสนาบดีอวี้เฉิงวูบไหวเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเย็นชาเช่นเดิม ถึงเขาจะแปลกใจที่นางยอมไปง่ายกว่าที่คิดแต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ทั้งสำหรับนางเองรวมถึงสกุลอวี้

เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ "เจ้าไม่มีอย่างอื่นที่อยากพูดแล้วหรือ?"

อวี้หลิงหรงคลี่ยิ้มจาง รอยยิ้มของนางดูเย็นชาและแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน

"ท่านพ่อต้องการให้ข้าร้องขอความเมตตาจากท่านหรือเจ้าคะ?" นางแค่นหัวเราะก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา

"ข้าไม่ทำเรื่องที่เปล่าประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel