บทที่1 อวี้หลิงหรง
ณ จวนสกุลอวี้
อวี้หลิงหรงสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นราวกับถูกฉุดดึงออกจากขุมนรก นางหอบหายใจถี่เร็ว ลำคอแห้งผากคล้ายจะขาดอากาศไปนาน เหงื่อเย็นผุดขึ้นทั่วกรอบหน้า ร่างกายสั่นสะท้านราวกับเพิ่งผ่านพ้นจากความตาย
นางรีบยกฝ่ามือขึ้นทาบหน้าอกโดยสัญชาตญาณ ภาพสุดท้ายก่อนที่ลมหายใจของนางจะดับไป ยังคงชัดเจนในหัว ปลายมีดเย็นเฉียบที่แทงทะลุขั้วหัวใจ ความเจ็บปวดที่แล่นผ่านทุกอณูของร่างกาย มันทั้งเย็นชาและโหดร้าย
ไยวันนี้บาดแผลนั้นถึงไม่อยู่แล้ว?
แววตาคู่งามสั่นไหวด้วยความสับสน สัมผัสของความตายยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ทุกครั้งที่หลับตา นางยังรู้สึกถึงคมมีดที่ฉีกกระชากหัวใจของตนออกเป็นชิ้น ๆ
"คุณหนู!! ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ!" เสียงแหลมของใครบางคนดังขึ้น ฝีเท้าเร่งรีบเข้ามาใกล้ ก่อนที่มือเรียวเล็กจะพยายามแตะต้องตัวนาง
ทว่าอวี้หลิงหรงกลับสะบัดสัมผัสนั้นออกอย่างรุนแรง แววตาฉายชัดถึงความหวาดระแวง
"เจ้าเป็นใคร!!"
หญิงสาวตรงหน้าผงะถอยไปข้างหลัง ใบหน้าของอีกฝ่ายดูตกใจไม่น้อย
"จื่อรั่วเองเจ้าค่ะ คุณหนูจำบ่าวมิได้หรือเจ้าคะ"
จื่อรั่ว? ชื่อของสาวใช้ผู้นี้ไม่คุ้นหู นางไม่เคยรู้จักหญิงสาวผู้นี้มาก่อน
สายตาของอวี้หลิงหรงกวาดมองไปทั่วห้อง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ทั้งเครื่องเรือน ฉากกั้นไม้สลักลวดลายงดงาม เชิงเทียนที่ให้แสงสีอ่อนโยน กลิ่นอ่อน ๆ ของไม้หอมที่โชยมาจากมุมห้อง ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
ที่นี่คือที่ไหนกัน? นางไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ ไม่รู้จักแม้แต่สาวใช้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
"ข้าอยากอยู่คนเดียว" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
แม้จะยังงุนงงกับอาการผิดปกติของผู้เป็นนาย แต่จื่อรั่วก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง นางเพียงค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะก้าวถอยหลังออกไปอย่างว่าง่าย แล้วปิดประตูลงเบา ๆ
อวี้หลิงหรงรีบลุกขึ้นจากเตียง ร่างกายของนางเบากว่าที่เคยเป็น ดวงตาหวาดหวั่นไล่มองหาสิ่งที่สามารถสะท้อนภาพของตนเองได้ และแล้วสายตาของนางก็ไปหยุดอยู่ที่กระจกทองเหลืองบานใหญ่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง
มือที่ยังสั่นสะท้านเอื้อมไปแตะขอบกระจก ก่อนจะชะโงกหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของตนเอง
ดวงตาของนางเบิกกว้าง
ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกไม่ใช่ของนาง! ริมฝีปากแดงระเรื่อรับกับใบหน้ารูปไข่ ดวงตาดอกท้อดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล เส้นผมดำขลับยาวสยายคลอเคลียอยู่บนไหล่ ผิวกายเนียนละเอียดขาวราวหิมะ
ดวงตาของอวี้หลิงหรงสั่นระริก มือเรียวบางยกขึ้นแตะสัมผัสใบหน้าใหม่ของตนเองอย่างหวาดหวั่น ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในคราเดียว ราวกับคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเข้าหานางจนทำให้หายใจไม่ออก
ตอนนี้นางเข้าใจอย่างกระจ่างแล้วว่า นี่ก็คือชีวิตชาติที่สี่ของนาง และหากนับรวมกับชาติเดิมที่นางเป็นอวี้เหมยลี่ นี่ก็คงเป็นชาติที่ห้าของนางแล้ว
อวี้เหมยลี่เคยผ่านความตายมาแล้วหลายครั้งและนางก็ยังคงจดจำทุกชาติที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน
ความกลัวแล่นขึ้นมาจับขั้วหัวใจ นางถอยหลังออกจากกระจกหนึ่งก้าว สองก้าว ก่อนจะทรุดเข่าลงบนพื้นห้องอันเย็นเยียบ ริมฝีปากที่สั่นระริกถูกขบกัดจนเลือดซึม ร่างกายของนางเย็นเฉียบไปหมด
"ไม่จริง.. ไม่จริง!!!" เสียงกรีดร้องดังสะท้อนไปทั่วห้อง ความหวาดหวั่น ความสับสน ความสิ้นหวัง ทุกอย่างระเบิดออกมาในคราวเดียวเมื่อชีวิตสิ้นสุดลงในโลกหนึ่ง นางจะฟื้นขึ้นมาในโลกใหม่พร้อมความทรงจำจากชาติเก่าที่ยังคงฝังแน่นดั่งตรวนแห่งความทุกข์
ฝันร้ายจากชาติก่อนยังคงชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน หยาดเลือด น้ำตา และความเจ็บปวดต่างสลักลึกลงในจิตวิญญาณ เมื่อไหร่นางถึงจะหลุดพ้นจากวังวนแห่งความทรมานนี้เสียที สวรรค์ต้องการเห็นนางตายอีกกี่ครั้งถึงจะพอใจ!
เสียงหยดน้ำดังสะท้อนในห้องอันมืดสลัว อ่างอาบน้ำไม้เก่าแก่ตั้งอยู่กลางห้อง สภาพเก่าโทรมของมันดูราวกับพร้อมจะพังลงได้ทุกเมื่อ ภายในอ่างเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงฉาน ไหลรินจากเรือนกายอันบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่ง
อวี้หลิงหรงนอนเอนกายพิงขอบอ่าง ใบหน้าของนางซีดเซียวราวไร้ชีวิต หยาดโลหิตซึมไหลจากรอยบาดลึกทั่วข้อมือ เส้นผมดำขลับเปียกชุ่มสยายกระจายลงมาถึงพื้น ดวงตาเรียวคู่งามที่เคยมีประกายสดใส บัดนี้มีเพียงความว่างเปล่า
นางจ้องมองแสงเทียนที่ริบหรี่ใกล้ดับ พร้อมกับดวงตาที่ค่อย ๆ ปิดลง น้ำเสียงแผ่วเบาที่ไม่มีใครได้ยินเล็ดรอดจากริมฝีปากซีดขาว
"พอแล้ว.." ร่างของนางเริ่มด้านชา พร้อมกับการเต้นของหัวใจที่แผ่วลงเรื่อย ๆ แสงเทียนที่เคยส่องสว่างค่อย ๆ เลือนลางลง จนในที่สุดก็จมลงสู่ความมืดมิด
นางตายแล้ว..
หรืออย่างน้อยก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่ปรากฏตรงหน้าคือนางกำลังถือมีดเล่มเดิมที่เคยใช้เพื่อปลิดชีพตนเองในอ่างน้ำ ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยความว่างเปล่ากลับเปลี่ยนเป็นตกตะลึงและหวาดกลัว
"นี่มัน.. เรื่องบ้าอะไรกัน" เสียงของนางสั่นพร่า ความจริงที่โหดร้ายประดังเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์
ตลอดเวลาที่มาสวมร่างนี้ นางได้พยายามจบชีวิตตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อหนีจากชะตากรรมอันโหดร้าย แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ทุกครั้งที่นางสิ้นใจ นางจะกลับมาที่จุดเดิมเสมอ
อวี้หลิงหรงทรุดตัวลงกับพื้น มีดในมือหล่นลงกระทบพื้นไม้ดังสนั่น ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งกลับสั่นสะท้านราวกับไร้เรี่ยวแรง นางกรีดร้องสุดเสียง น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย
"ไม่เอาแล้ว"
เสียงสะอื้นดังสะท้อนก้องในความมืดมิด หัวใจที่แหลกสลายไม่อาจเยียวยาได้ ความหวังเดียวของนาง คือการปลดปล่อยตนเองจากวงจรอันโหดร้ายนี้ให้ได้ แต่นางจะทำเช่นไรในเมื่อทุกความพยายามล้วนไร้ผล..
หนึ่งเดือนต่อมา
เรือนหลังเล็กทางทิศประจิมของจวนสกุลอวี้อันเป็นที่พำนักของอวี้หลิงหรง มีต้นหลิวลู่ลมขนาดใหญ่ถูกปลูกไว้ที่ริมสระบัว ใต้ต้นหลิวนั้นมีโต๊ะหินอ่อนเหมาะสำหรับนั่งดื่มชาและเล่นหมากล้อม
อวี้หลิงหรงยกถ้วยชาขึ้นจิบ ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยความสดใส บัดนี้กลับเฉยชาอย่างน่าใจหาย
นางพึ่งตระหนักได้ในช่วงหนึ่งเดือนที่ติดอยู่ในร่างนี้ว่าความตายนั้นไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถไขว่คว้าได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้ง สุดท้ายผลลัพธ์ก็คือการย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้นเดิมเสมอ
หากลองมองย้อนไปแล้วก็น่าขันสิ้นดี ในชาติก่อน ๆ แม้นางจะพยายามดิ้นรนมีชีวิตเพียงใด สุดท้ายกลับถูกกำหนดให้ตายอย่างน่าอนาถเสมอ ทว่าชาตินี้ที่นางไม่ต้องการมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว..
นางกลับตายไม่ได้เสียอย่างนั้น
เมื่อตระหนักว่าไม่มีทางหนี นางจึงเลือกที่จะเลิกดิ้นรน ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวัน ๆ อย่างเรื่อยเปื่อย นั่งจิบชา กิน นอน ปล่อยเวลาไหลไปเหมือนสายน้ำโดยไร้ความหวังและจุดหมาย นางไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ไม่แม้แต่ความโปรดปรานหรือความรักที่ตนเคยพยายามไขว่คว้า
"คุณหนูกลับเข้าเรือนไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ เย็นนี้นายท่านเรียกให้คุณหนูไปรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวด้วยนะเจ้าคะ" จื่อรั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ดวงตาของอวี้หลิงหรงหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย ครอบครัวที่ไม่เคยแม้แต่จะมองหน้าหรือแยแสชีวิตของเจ้าของร่างนี้มานาน เหตุใดจึงต้องการพบกันในวันนี้? นางยังคงนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับอย่างเฉื่อยชา
"อืม ข้ารู้แล้ว" อวี้หลิงหรงลุกขึ้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเรือนของตนอย่างว่าง่าย
อวี้หลิงหรง
คือชื่อของร่างที่นางเข้ามาสวมในชาตินี้ นางเป็นบุตรสาวคนที่สามของเสนาบดีอวี้เฉิง ขุนนางผู้ทรงอำนาจแห่งแคว้นหาน
ว่ากันว่าเมื่อครั้งที่คุณหนูอวี้ผู้นี้ได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก ก็เป็นวันเดียวกันที่มารดาของนางจากโลกนี้ไป เหตุการณ์ในวันนั้นสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่เสนาบดีอวี้เฉิง รวมถึงคุณชายทั้งสองเป็นอย่างมาก
เสนาบดีอวี้เฉิงรวมถึงบุตรชายทั้งสองของท่าน จงเกลียดจงชังคุณหนูอวี้หลิงหรงเป็นอย่างมาก และโทษว่าเป็นความผิดของนาง ที่เป็นต้นเหตุให้สตรีอันเป็นที่รักของพวกเขาจากไป ต่างจากคุณหนูรองอย่างอวี้ซูเม่ย บุตรสาวคนเล็กที่เกิดจากฮูหยินคนใหม่ผู้ซึ่งเป็นที่รักของทุกคน
ก่อนที่นางจะเข้ามาสวมร่างนี้ อวี้หลิงหรงถูกบิดาสั่งลงโทษด้วยความผิดฐานที่ขโมยปิ่นหยกของคุณหนูรอง ด้วยการใช้หวายเฆี่ยนตีนับสิบครั้ง อีกทั้งยังถูกขังให้อยู่แต่ในห้องนอนจนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงสามวัน
ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและความเสียใจที่สั่งสมมาตลอดหลายสิบปี ทำให้อวี้หลิงหรงตัดสินใจแขวนคอตายภายในห้องนอนของตนอย่างโดดเดี่ยว วินาทีที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเจ้าของร่างหมดลง.. นางก็ได้เข้ามาสวมร่างนี้แทน
ต่อมาสาวใช้ที่ชื่อว่าจื่อรั่ว เล่าให้นางฟังว่า..
วันนั้นก็เป็นอีกวันหนึ่งที่จื่อรัวนั้นยกสำรับเช้ามาที่เรือนหลังเล็กทางทิศประจิม แต่เมื่อบานประตูถูกเปิดออก ภาพที่นางเห็นกลับทำเอาสำรับที่ถือมานั้นหล่นแตกกระจายไปทั่วพื้นห้อง
คุณหนูอวี้หลิงหรงกำลังขาดอากาศหายใจและดิ้นทุรนทุรายอยู่บนผ้าสีขาวที่ถูกใช้เป็นเชือกสำหรับแขวนคอ
แม้จะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่จื่อรั่วก็รีบวิ่งผ่าเศษถ้วยชามเข้าไปเพื่อยกร่างของคุณหนูขึ้น เพื่อให้ท่านไม่ขาดอากาศหายใจ จากนั้นก็ทำได้เพียงแค่กรีดร้องขอความช่วยเหลือจากทหารยามแถวนั้น สุดท้ายก็ช่วยชีวิตของท่านได้ทันท่วงที
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างของคุณหนูอวี้หลิงหรงผู้นี้ แทนเจ้าของร่างเดิมที่ฆ่าตัวตายไป บอกตามตรงว่านางไม่เคยรู้เลยว่าโลกที่ตนอาศัยอยู่นั้นแท้จริงคือที่ใดกันแน่
ไม่รู้เลยว่ามันคือโลกในนิยาย เหมือนในนิยายแนวทะลุมิติที่ตนเคยอ่านในชาติเดิมหรือเปล่า ทว่าสิ่งเดียวที่นางรับรู้.. ก็คือนางไม่เคยอ่านนิยายเหล่านี้มาก่อน
ไม่เคยอ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว
