บทที่3 หวนนึกถึงอดีต
อวี้หลิงหรงนั่งนิ่งอยู่บนตั่งไม้ริมหน้าต่างของห้องนอน สายลมเย็นยะเยือกยามค่ำคืนพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดกว้าง ปะทะผิวกายขาวซีดของนาง ผมยาวดำขลับปลิวไหวตามแรงลม
ดวงตาคู่งามฉายแววเหม่อลอยทอดมองออกไปไกลสุดสายตา ท่ามกลางเงาจันทร์ที่ทอดผ่านหน้าต่าง เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่ปราศจากอารมณ์ใด ๆ
ความเงียบในยามราตรีพาให้ความทรงจำของชาติภพที่สองย้อนกลับมา
ในชาตินั้น นางถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะ องค์หญิงเรเวน่า ออเรเลียส พระธิดาแห่งราชวงศ์ออเรเลียส
ราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นราชวงศ์ที่สืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งแสง สายเลือดของออเรเลียสทุกพระองค์ล้วนมีผมสีบลอนด์ดุจแสงอาทิตย์และดวงตาสีอำพันส่องประกาย
แต่ไม่ใช่สำหรับนาง..
เรเวน่า ออเรเลียส ลืมตาขึ้นมาบนโลกนี้พร้อมกับดวงตาสีอำพันที่เจือความขุ่นมัว ผิดแผกไปจากเหล่าพี่น้องที่งดงามราวประดับด้วยทองคำ เส้นผมของนางเป็นสีดำสนิท มีเพียงเส้นริ้วสีทองประปรายและจางจนแทบมองไม่เห็น
พระสนมฟิโอน่าเคยมองดูนางเพียงครั้งเดียวด้วยสีพระพักตร์เต็มไปด้วยความผิดหวังและรังเกียจ นับแต่นั้นมาพระนางก็ไม่เคยอุ้มองค์หญิงน้อยอีกเลย
ทุกคนต่างดูแคลนองค์หญิงน้อยว่าเป็นอีกาในฝูงหงส์ และที่มาของชื่อเรเวน่าก็มาจากคำว่า อีกาดำ ซึ่งชื่อนี้ ก็เป็นชื่อที่เสด็จแม่ผู้ให้กำเนิดของนางเป็นคนตั้งให้
ทว่าไม่นาน.. พระสนมฟิโอน่าก็ให้กำเนิดองค์ชายน้อยอีกหนึ่งพระองค์ พระมารดาที่เคยเย็นชากับนาง กลับโอบกอดและโปรดปรานโอรสองค์น้อยราวกับเขาเป็นดวงตะวันเพียงดวงเดียวของพระนาง
ในขณะที่เรเวน่ากลับถูกลืมเลือนไปอย่างสมบูรณ์ ถูกทิ้งขว้างอยู่ในมุมอับของวัง
ไร้ซึ่งความรักความสนใจจากผู้ใด..
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น
องค์หญิงเรเวน่าก็ไม่เคยเกลียดพระมารดา นางพยายามมองโลกในแง่ดี พยายามทำตัวเป็นลูกที่ดี และคิดอยู่เสมอว่าไม่มีพ่อแม่ที่ไหนไม่รักลูก
นางตั้งใจเล่าเรียนอย่างหนักจนกระทั่ง ได้เป็นนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนอันดับหนึ่งของอาณาจักร แต่ดวงตาคู่นั้นของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ก็ไม่เคยมองมาที่นางสักที..
องค์หญิงเรเวน่าใช้ความพยายามทั้งชีวิตเพื่อร่ำเรียนทุกศาสตร์วิชา ทั้งดาบและธนู แม้ฝีมือจะเก่งกาจเพียงใดแต่ก็ไม่มีสักวันเลยที่พ่อและแม่จะลูบหัวชื่นชมนางอย่างอบอุ่น
แม้เดิมทีนางจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีและเข้มแข็ง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบร้องไห้อยู่บ่อย ๆ
ความรักของครอบครัว เป็นสิ่งที่นางโหยหามาตลอด ทว่าสุดท้ายแล้ว ต่อให้นางจะพยายามมากเพียงใด สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงความเย็นชา
ชาตินี้นางละทิ้งความรักระหว่างชายหญิง ไม่ยอมแต่งงานกับผู้ใดแม้จะมีคนมาสู่ขอก็ตาม
นางใช้ชีวิตเพียงเพื่อรอความรักจากพ่อและแม่เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่ามันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน..
เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นข้างกาย ทำให้อวี้หลิงหรงหลุดออกจากห้วงความคิดของตน นางค่อย ๆ หันกลับไปมองต้นเสียง พบว่าจื่อรั่วกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น ร่างเล็กสั่นสะท้านราวกับลูกนกกลางพายุ สองมือของนางกำชายกระโปรงแน่น น้ำตาเม็ดโตไหลลงอาบแก้มไม่ขาดสาย
"ฮึก..คุณหนูเจ้าคะ"
เจ้าของใบหน้างดงามขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาคมทอดมองสาวใช้คนสนิทด้วยความฉงนใจ
"เจ้าเป็นอะไรไป?" นางเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความสงสัย
"บ่าวขอโทษ.. บ่าวขอโทษนะเจ้าคะ ฮือ.."
จื่อรั่วสะอื้นหนักกว่าเดิม จนคำพูดขาดเป็นห้วง ๆ มือเล็กทั้งสองยกขึ้นปิดใบหน้า ร่างบางแทบจะโน้มตัวลงไปกับพื้น ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงจนมิอาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก
อวี้หลิงหรงยังคงนิ่งเงียบ นางมองสาวใช้ที่นั่งอยู่กับพื้นอย่างไม่เข้าใจ สองมือเรียวยกขึ้นวางบนไหล่ของจื่อรั่ว
แม้แววตาคู่งามจะยังคงเย็นชา ทว่าปลายนิ้วยังคงเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม
"ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังขอโทษด้วยเรื่องอะไร"
สาวใช้ตัวน้อยเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอื้อมมือไปกอดขาของผู้เป็นนายไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป น้ำตาร้อน ๆ ยังคงไหลรินไม่ขาดสาย
"บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ หากวันนั้นบ่าวไม่สอดมือไปช่วยท่าน.. ท่านคงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้" หญิงสาวที่ดูแล้วอายุน้อยกว่านาง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
อวี้หลิงหรงชะงักไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาคู่สวยพลันหม่นแสงลง จื่อรั่วคงหมายถึงวันที่ช่วยเจ้าของร่างนี้ลงมาจากบ่วงเชือกที่แขวนคอของนางเอาไว้สินะ.. ริมฝีปากของนางเม้มแน่น ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา
"เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดกับข้านักหรอก" นางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบและเว้นระยะไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวประโยคถัดมาที่ทำให้จื่อรั่วเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาสั่นไหว
"ขนาดคนที่ทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกเขายังไม่เห็นรู้สึกผิดเลย"
อวี้หลิงหรงยกยิ้มบาง ๆ ราวกับกำลังเย้ยหยันทุกสิ่ง นางมิได้รู้สึกเสียใจหรือโกรธแค้นใครในโลกนี้ เพราะเรื่องทั้งหมดได้จบลงไปตั้งแต่วินาทีที่นางลืมตาขึ้นมาในร่างนี้แล้ว
อีกอย่าง.. ชีวิตของนางก็มีเรื่องที่เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว นางไม่อยากแบกรับเรื่องราวของคนอื่น มาเพิ่มภาระให้หัวใจของตนเอง
เพราะอวี้หลิงหรงตัวจริง.. นางตายไปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว นางหมดทุกข์หมดโศกไปแล้วล่ะ
..จะเหลือก็แต่ข้านี่แหละ
อันที่จริงนางเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนนั้นทุกข์ยากหรืออะไร การไปเป็นเชลยที่แคว้นใด หรือต่อให้อยู่ที่จวนแห่งนี้ต่อไปนั้นล้วนไม่ต่างกัน
เผลอ ๆ การไปอยู่ที่แคว้นฉินอาจจะดีกว่าอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางไม่ขัดขืนและยอมไปแต่โดยดี
เพราะการซื้อใจคนแปลกหน้าล้วนง่ายกว่าซื้อใจคนมีอคติ นางไม่คิดที่จะทำตัวเป็นลูกหรือน้องสาวที่แสนดีของใคร และมิคิดให้คนในจวนนี้มารักใคร่สงสาร
เพราะทุกอย่างล้วนแต่เปล่าประโยชน์
เจ้าของร่างนี้พยายามมานับยี่สิบปียังไม่สามารถทำให้คนที่นี่รักได้ แล้วเรื่องอะไรนางจะต้องพยายามต่อให้ไปเปลืองแรง
ความพยายามอยู่ที่ใด ความพยายามก็อยู่ที่เดิม ความพยายามมิได้มีค่าอะไร หากสิ่งที่พยายามไปนั้น ผิดที่ ผิดเวลา และ ผิดคน
อวี้หลิงหรง ข้าจะไม่ดูถูกความพยายามตลอดชีวิตของเจ้า เพราะตัวข้ารู้ดีว่าการไม่เป็นที่รักของใครนั้นรู้สึกเช่นไร ข้ากล้าพูดได้เต็มปาก ว่าข้าเข้าใจเจ้าดีที่สุด
อีกอย่าง.. การกระทำของบิดาเจ้าในวันนี้ ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วใช่หรือไม่
ส่วนตัวข้านั้นเห็นชัดแล้วว่าบิดาและพี่ชายของเจ้าเป็นคนเช่นไร การส่งตัวเจ้าสาวไปยังแคว้นฉินในคราวนี้ มิได้เป็นเพราะองค์ฮ่องเต้จับได้ชื่อของเจ้า
แต่เป็นเพราะเสนาบดีอวี้เฉิงพ่อของเจ้า เต็มใจที่จะขายเจ้าไปเป็นเชลยแทนบุตรสาวของตระกูลอื่น
บุรุษเช่นนี้สมควรเป็นพ่อคนหรือ?
กระทั่งพ่อของหมาก็ยังมิคู่ควร!
