บทที่11 หัวใจที่ถูกปิดตาย
พระตำหนักชิงเฟิง ของพระสนมสวี่มีบรรยากาศต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ตำหนักนี้ตั้งอยู่ในมุมสงบของพระราชวัง ล้อมรอบด้วยสวนดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมจาง ๆ ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่าย แม้จะไม่มีสิ่งของฟุ่มเฟือย แต่กลับแฝงด้วยความอบอุ่น
พระสนมสวี่ซิงเหยียนเป็นสนมเอกขององค์ฮ่องเต้ นางเป็นบุตรสาวคนโตของเสนาบดีฝ่ายขวาโหย่วเฉิงเซี่ยงซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางสูงสุดในฝ่ายบู๊หรือฝ่ายทหาร
พระสนมสวี่ในชุดผ้าแพรสีอ่อนทรงนั่งรออยู่แล้ว นางมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้าที่ดูอ่อนล้า ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมด้วยความห่วงใยและความรักที่ชัดเจน เมื่อเห็นทั้งสองนางก็ยิ้ม "พวกเจ้ามาแล้วหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่" ฉินเฉินอวี้ย่อตัวลงคุกเข่า อวี้หลิงหรงเองก็ก้มลงเคารพด้วยท่วงท่าสง่างาม
"ข้าไม่รู้เลยว่าชายาของอวี้เอ๋อร์จะเป็นสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้" น้ำเสียงของนางนุ่มนวล สายตาเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
อวี้หลิงหรงยิ้มเล็กน้อย "ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่"
สนมสวี่ทอดสายตามองทั้งสอง เห็นถึงความห่างเหินในตัวของทั้งคู่ แต่กลับไม่พูดอะไรเพิ่มเติม นางเพียงเชื้อเชิญให้นั่ง แล้วพูดคุยเรื่องทั่วไปอย่างอบอุ่น
"อวี้เอ๋อร์น่ะแต่ไหนแต่ไรแล้วเป็นคนพูดน้อย เพราะเขาเกิดและโตมาภายในวัง จึงทำให้แสดงออกไม่เก่งเท่าที่ควร พระชายา..เจ้าอย่าได้ถือสาเขาเลยนะ"
อวี้หลิงหรงปรายตาไปมองใบหน้าของบุรุษที่พระสนมสวี่บอกว่าเป็นคนพูดน้อย ด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ ก่อนจะหันกลับมายิ้มตอบ
"เข้าใจแล้วเพคะ"
ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด แต่คำตอบของอวี้หลิงหรงกลับทำให้ฉินเฉินอวี้ถึงกับขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เขาเข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั้นเป็นอย่างดี ราวกับนางต้องการจะสื่อว่า ฉินเฉินอวี้คนนี้น่ะหรือที่พูดน้อย เพราะตลอดการเดินทางในวันนี้มีแต่เขาที่เป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียว
ฉินเฉินอวี้มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาทำเพียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบพร้อมกับสังเกตท่าทีของอวี้หลิงหรงอยู่เงียบ ๆ แม้บทสนทนาส่วนใหญ่ล้วนมาจากมารดาของเขา แต่อวี้หลิงหรงกลับพูดคุยและหัวเราะกับท่านได้อย่างเป็นธรรมชาติ
พระสนมสวี่ซิงเหยียน เป็นสนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ รวมถึงฉินเฉินอวี้ที่เกิดจากพระนางก็เป็นโอรสองค์โปรดด้วยเช่นกัน
เนื่องจากเขานั้นเกิดมาจากสตรีที่ฮ่องเต้โปรดปราน อีกทั้งยังเป็นพระโอรสที่ฉลาดหลักแหลมและมากความสามารถ เขาจึงเป็นหนึ่งในผู้ที่มีโอกาสรับตำแหน่งไท่จื่อ
ทว่าเกมการเมืองนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับความรัก ฮองเฮาเคียงบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้นั้นเป็นบุตรีจากตระกูลเจียง บิดาของฮองเฮานั้นคือจั๋วเฉิงเซี่ยงหรือเสนาบดีฝ่ายซ้าย ผู้มีอำนาจสูงสุดในฝ่ายพลเรือนมีหน้าที่ดูแลการปกครองรวมถึงการเงิน
ด้วยเหตุนี้ตระกูลเจียงจึงมีมีอิทธิพลในราชสำนักมาก มีหรือ.. ที่ฮองเฮาจะยอมให้ลูกของสนมคนอื่นได้ขึ้นเป็นรัชทายาท
ฉินเฉินอวี้รวมถึงอวี้หลิงหรงใช้เวลาพูดคุยอยู่กับพระสนมสวี่อยู่หลายชั่วยาม กระทั่งได้เวลาที่ต้องกลับจวน ขณะที่ทั้งสองกำลังจะทูลลาขอตัวกลับ พระสนมสวี่ซิงเหยียนก็เอ่ยเรียกลูกสะใภ้ของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าแววตากลับฉายแววจริงจัง
"หรงหรง.." น้ำเสียงของพระสนมเอ่ยชื่อของนางออกมาอย่างอ่อนโยน พระหัตถ์อันบอบบางลูบศีรษะลูกสะใภ้ด้วยความเห็นใจ
"ข้ารู้ว่าสถานการณ์ของเจ้านั้นยากลำบากเพียงใด ที่ผ่านมาเจ้าคงเหนื่อยมากเลยใช่หรือไม่"
อวี้หลิงหรงก้มหน้าลงเล็กน้อยแทนคำตอบ ตลอดช่วงชีวิตของนางที่ผ่านมามันสาหัสเสียจนคำว่าลำบากนั้นเทียบไม่ติด ทั้งที่นางแสดงออกอย่างร่าเริงตลอดเวลาที่เข้าเฝ้า แต่พระสนมสวี่กลับสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าจากดวงตาของนาง
พระสนมสวี่พระองค์เป็นคนจิตใจดี นางรู้สึกได้เช่นนั้น..
"หรงหรงเจ้าออกไปรอด้านนอกก่อน ข้ามีเรื่องอยากพูดกับอวี้เอ๋อร์สักหน่อย"
"เพคะ" อวี้หลิงหรงทูลลาพระสนมสวี่ก่อนจะออกมารอด้านนอก เพื่อให้เวลาแม่ลูกได้คุยกัน
เมื่ออวี้หลิงหรงเดินออกไปแล้ว พระสนมสวี่ก็หันมามองหน้าโอรสของตน พลางถอนหายใจออกมาด้วยความเห็นใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาอวี้เอ๋อร์มีใจให้ผู้ใด คนทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ดี เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายเองก็เป็นขุนนางชั้นสูง บิดาของเว่ยลี่หลินเป็นถึงต้าจ่างจวิน แม่ทัพใหญ่ผู้ควบคุมกองกำลังหลักของแคว้น หากปล่อยให้เว่ยลี่หลินมาแต่งงานกับฉินเฉินอวี้เกรงว่าฮองเฮาจะถ่วงดุลอำนาจได้ลำบาก
"อวี้เอ๋อร์.."
"พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่"
"แม่รู้ว่าเจ้าเองคิดอย่างไรกับการแต่งงานครั้งนี้ และแม่เชื่อว่าชายาของเจ้าก็คงคิดเช่นเดียวกัน ทว่าเจ้ายังดีที่ได้อยู่บ้านเกิดเมืองนอน เจ้ายังมีข้า แต่หรงหรงนั้นนางไม่มีใคร.."
ฉินเฉินอวี้พยักหน้า เขาฟังคำมารดาอย่างตั้งใจ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เขารู้สึกเกลียดชังอวี้หลิงหรงตั้งแต่ยังไม่เคยพบหน้า ด้วยใจอคติว่าไม่อยากแต่งงานกับนาง คนที่เขาไม่ได้พึงใจ
ทว่าเขาลืมคิดไป..ว่านางก็มิได้เต็มใจแต่งงานมาเป็นเชลยเหมือนกัน
การแต่งงานของเขาในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะประสงค์ของฮองเฮา ที่อยากแยกเขาจากเว่ยลี่หลินซึ่งเป็นถึงบุตรสาวของแม่ทัพเว่ย ผู้มีกำลังทหารในมือ
เขาทั้งผิดหวังและเสียใจที่ไม่สามารถแต่งงานกับสตรีที่เขารักได้ จึงทำได้เพียงโยนความเกลียดชังทั้งหมดไปให้อวี้หลิงหรง โดยที่นางไม่ได้ทำอะไรผิด
"หากไม่สามารถรักนางฉันสามีภรรยาได้ อย่างน้อยก็ดีกับนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเถิด" พระสนมสวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ตัวนางเองก็อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว เล่ห์เหลี่ยมในวังก็เห็นมาทั้งชีวิต นางไม่อยากให้เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้เรื่องต้องมาทนทุกข์เพราะเกมการเมืองของผู้ใหญ่
"พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ ลูกเข้าใจแล้ว"
แสงอาทิตย์ยามบ่ายลอดผ่านผ้าม่านบางเฉียบ ทิ้งเงาเลือนรางลงบนใบหน้าคมของฉินเฉินอวี้ เงามืดที่ทอดผ่านดวงตาคมลึกของเขา ยิ่งขับให้แววตาดูว่างเปล่าและเลื่อนลอย
ตั้งแต่ออกจากพระตำหนักชิงเฟิง ฉินเฉินอวี้ก็มิได้เอ่ยถ้อยคำใดอีกเลย ใบหน้าของเขาเรียบเฉย หากแต่เงียบงันจนชวนให้อึดอัด เท่าที่อวี้หลิงหรงสังเกตได้ ดูเหมือนอาการเช่นนี้จะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เขาพบกับไท่จื่อและพระชายาเว่ยในวันนี้
อวี้หลิงหรงนั่งเงียบอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาสงบนิ่งของนางมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตาไปทางอื่น นางไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายความคิดหรือความรู้สึกของเขา สิ่งที่อยู่ในหัวใจฉินเฉินอวี้ล้วนเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย
อวี้หลิงหรงคิดอย่างเย็นชา ดวงตาเรียบเฉยของนางทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นเพียงพันธะที่ถูกมัดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เรื่องความรักนั้นเป็นเพียงสิ่งเพ้อฝัน ซึ่งนางไม่คิดปรารถนาถึงอยู่แล้ว
หัวใจของนางถูกปิดตายด้วยบาดแผลในอดีต ไม่ใช่ว่านางไม่เคยสัมผัสถึงความรัก แต่เพราะสิ่งที่นางเคยเรียกว่า “รัก” กลับเป็นบ่วงที่พันธนาการนางเอาไว้ มันคือดาบสองคมที่ทิ่มแทงจนไม่มีวันลืม
ยิ่งคิดถึงภาพในอดีต หัวใจของนางก็ยิ่งแข็งกระด้างมากขึ้นทุกที สายสัมพันธ์ในครอบครัวที่ควรจะโอบอุ้มและคุ้มครองนาง กลับกลายเป็นโซ่ตรวนที่เหนี่ยวรั้งให้จมดิ่งลงในความสิ้นหวัง
ความรักที่ควรเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจ กลับกลายเป็นยาพิษที่ค่อย ๆ กัดกร่อนความรู้สึกจนไม่เหลือสิ่งใดให้เชื่อมั่นอีก
ข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว
นางบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรักไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ หรือควรจะไขว่คว้า หากมันจะทำให้นางต้องเจ็บปวด นางเลือกจะอยู่โดยปราศจากมันเสียยังจะดีกว่า
