8.เผชิญหน้าครั้งแรก
ซืออินนิ่งงัน เมื่อเห็นสายตาของคนแปลกหน้าที่เอาแต่จ้องนาง ‘ดูเหมือนทุกคนจะเกลียดเจ้าของร่างมาก ไม่สิ... ตัวเรานี่แหละ ขนาดเรามีสภาพอย่างนี้ ยังไม่มีใครหลุดขำออกมาสักคน สงสัยความเกลียดชังมันคงปิดดวงตาหมดแล้ว'
“ซีเอ๋อร์มานี่มา มาให้ย่าดูทีเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” มารดาท่านโหวเอ่ยเสียงอ่อนเพื่อโน้มน้าวเอาหลานชายตัวน้อยตนออกมาให้พ้นมือนางมารร้ายที่พวกเขาต่างก็เกลียดชัง
เพราะคราวก่อนหานซืออินสั่งให้ขังหลานชายตัวน้อยไว้ในห้องฟืนเกือบชั่วยาม จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะจงเกลียดจงชังนาง
‘ดูเหมือนจะไม่มีใครชอบเธอเลยนะหานซืออิน ทำตัวร้ายกาจเอาไว้มากล่ะสิท่า’ คนจากยุคปัจจุบันนึกในใจ ก่อนจะขยับลุกโดยมีบุตรเลี้ยงขยับตาม พร้อมกับอ้าแขนเพื่อให้นางอุ้ม
“เด็กดีขอข้า…เอ่อ…ขอแม่คารวะท่านย่าทั้งสองกับพ่อเจ้าก่อนนะ” ซืออินยกมือขึ้นมายีหัวเจ้าตัวน้อยแผ่วเบา จากนั้นนางก็ก้าวออกมา แล้วย่อตัวยกมือประสานกันอย่างนอบน้อม
นี่แหละข้อดีของการดูซีรี่ย์เยอะ คนจากยุคปัจจุบันจึงรู้ว่ากิริยามารยาทที่ควรทำนั้นปฏิบัติเยี่ยงไร
ผู้อาวุโสทั้งสองรวมถึงสามีของนาง ต่างก็พากันชะงัก
“ท่านแม่ หานซืออินนางคารวะพวกเรากระนั้นหรือ” มารดาท่านโหวเอ่ยกระซิบกับไท่ฮูหยิน ที่ยืนมองตาขวางอย่างไม่ชอบใจ
“ช่างนาง ข้าไม่รับ” ไท่ฮูหยินเอ่ยเสียงดัง ก่อนจะหันหนีหลานสะใภ้ ไปโน้มน้าวหลานตัวน้อยแทน “ซีเอ๋อร์มาหาย่ามา”
เด็กน้อยส่ายศีรษะทันทีพร้อมกันนั้นร่างเล็กยังขยับเข้าไปหามารดาเลี้ยง ก่อนจะยื่นมือออกมารั้งชายผ้านางไว้
“ซีเอ๋อร์มาหาย่ามา” มารดาท่านโหวเอ่ยบ้าง ทว่าหลานชายตัวน้อยกลับไม่ขยับเขยื้อน นางจึงต้องเดินเข้ามาหมายจะอุ้ม
เจ้าก้อนกลมจึงส่ายศีรษะอีกรอบ พรางหันมากอดเอวมารดาแน่น นำพาความหวาดหวั่นมาให้ทุกคนเป็นอย่างมาก
“ซีเหยียนอย่าดื้อ” คราวนี้เป็นเสียงกดต่ำของท่านโหว เจ้าตัวน้อยจึงรีบกระตุกดึงชายผ้ามารดาเลี้ยง พร้อมกับเงยหน้าส่งสายตาเว้าวอนอย่างน่าสงสาร ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือก็มิปาน
และท่าทางที่เขาแสดงออกมา ก็ทำให้ทุกคนมึนงง เพราะปกติ คุณชายน้อยไม่เคยแสดงกิริยาเช่นนี้มาก่อน ซืออินจึงยิ้มเอ็นดู พรางขยับอุ้มเด็กชายขึ้นมาแล้วเอ่ยบอกเสียงอ่อน
“เจ้าเหมียวกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนนะ แม่ก็ต้องไปอาบน้ำเหมือนกัน ดูสิเจ้าทำอะไรไว้” เอ่ยจบนางก็ใช้ใบหน้าตนถูกับแก้มยุ้ยของเจ้าก้อนกลม เสียงหัวเราะชอบใจตามประสาเด็กจึงดังขึ้นมาให้ได้ยิน ท่ามกลางความประหลาดใจของคนเรือนใหญ่ เพราะภาพเหล่านี้มันไม่เคยปรากฏมาก่อน
ปกติคุณชายน้อยจะยิ้มยาก ที่สำคัญคือไม่ค่อยพูด เวลาสื่อสารก็มักจะใช้นิ้วชี้อย่างเดียว ไม่เคยบอกว่าตนต้องการสิ่งใด
แต่ที่พวกเขาเห็นในยามนี้มันช่างต่างไปจากที่เคยนัก
ทว่าสำหรับโจวอวิ้นหลางกลับไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่น้อยเมื่อเห็นการกระทำของฮูหยินตน รวมถึงรอยยิ้มของบุตรชาย
สำหรับเขา…กลับมองว่ามันอันตรายมากกว่า
คนอย่างหานซืออินหรือจะมีใจเมตตาต่อเด็ก เขาคิดว่านางน่าจะมีแผนร้ายเสียมากกว่า จึงเอ่ยวาจาหวานหูกับบุตรชายเขาเช่นนี้ “ไม่ได้ เขาจะปล่อยให้นางเข้าใกล้บุตรเขาไม่ได้”
“หานซืออิน! ส่งบุตรข้ามา” ท่านโหววัยยี่สิบแปดออกคำสั่งเสียงห้วน พร้อมกับรั้งเอาบุตรชายตนมาอุ้มเสียเอง จากนั้นเขาก็รีบหมุนตัวแล้วก็เดินหนีออกมาโดยไม่กล่าวอะไรอีก
สาเหตุก็มาจากใบหน้าของหานซืออิน เมื่อครู่นางส่งยิ้มให้เขา หากเป็นยามปกติแน่นอนว่าโจวเป่ยโหวไม่มีทางแยแส
ทว่า! ใบหน้านางในยามนี้มันชวนให้หลุดหัวเราะออกมานัก ท่าทางสุขุมเยือกเย็นที่เขาเคยมี เกือบจะหล่นหายไปแล้วเมื่อครู่ ดีที่ยังระงับมันได้ ท่านโหวจึงไม่พลั้งเผลอเผยมุมส่วนตัวออกมา
“ชิ! ทำเป็นเก๊ก อย่าให้รู้นะว่าลับหลังแอบหัวเราะ” ซืออินพึมพำตามแผ่นหลังกว้างที่เดินนำทุกคนออกไป
ยามนี้ภายในห้องจึงเหลือแค่นางกับสาวใช้ ซืออินจึงสั่งให้เตรียมน้ำอาบ เพื่อชำระล้างคราบเลอะเทอะนี้เสีย
เมื่อสิ่งที่ต้องการถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อย นางก็ให้ทั้งสองออกไป เพราะช่วงเวลานี้ซืออินอยากใช้ความคิด
“เด็กก็ออกจะน่ารักไร้เดียงสา ทำไมหานซืออินถึงฆ่าลงนะ เท่าที่อ่านในบันทึก ซีเหยียนน้อยตายตอนสามขวบนิด ๆ ตอนนี้เหลืออีกเดือนเดียวเขาก็สามขวบ ก็แสดงว่าเรามีเวลาแค่สามสี่เดือนสำหรับแก้ไข เวลาแค่นี้เราจะเปลี่ยนทุกอย่างได้ยังไง” จู่ ๆ ซืออินก็นิ่งไป เพราะความหวาด หวั่นกำลังคืบคลานเข้ามา แต่เพียงเสี้ยวอึดใจ นางก็เผยดวงตาเป็นประกาย
“เอ๊ะ!... แล้วถ้าเราไม่ทำอะไรเลยล่ะ อย่างไม่ลงมือฆ่าใคร ไม่เป็นสายให้อ๋องอะไรนั่น ความชั่วที่เราเคยทำมันก็ไม่ถูกบันทึกมิใช่หรือ ใช่…ถ้าเราใช้ชีวิตเป็นคนอู้งาน ไม่ยุ่ง ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ไม่มีใครตาย ประวัติศาสตร์มันจะต้องเปลี่ยนไปแน่”
ซืออินมัวครุ่นคิดจนไม่ได้สังเกตเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวเข้ามา กระทั่งสัมผัสจากมืออุ่นแตะลงที่ไหล่นาง หญิงสาวจึงได้สะดุ้งแล้วรีบหันกลับมามอง 'ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน? หรือจะเป็นเจียอี สาวใช้มือขวาของหานซืออิน' นางนึกอย่างสงสัย
ถึงกระนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยถามว่าอีกฝ่ายใช่คนที่ตนคิดหรือไม่ เพราะท่าทางสตรีผู้นี้ไม่น่าไว้ใจเลย “ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องเข้ามา ข้าดูแลตนเองได้” นางแสร้งเอ่ยเสียงเข้มไม่พอใจ
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าตื่นกลัวเช่นคนอื่น นำพาให้ผู้ที่อยู่ในถังน้ำยิ่งฉงนขึ้นไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น...สายตาของสาวใช้ผู้นี้ ยังทำให้หานซืออินเกิดกระดากอายขึ้นมา นางจึงรีบคว้าเอาผ้าที่วางอยู่ข้างถังมาคลุมกาย
อีกฝ่ายกลับยิ้มเยาะอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะเอ่ยว่า
“ยามใดฮูหยินจะไปเอาภาพวาดที่ห้องตำราของท่านโหวมาเสียที นายท่านรอนานแล้วรู้หรือไม่” เจียอีเอ่ยพร้อมกับเอื้อมมือมาหมายจะช่วยถูหลังให้ ทว่าคนในถังกลับขยับถอยหนี
“ภาพวาด? ภาพอะไร” ซืออินเผลอเอ่ยอย่างใคร่รู้ เพราะนางไม่ใช่หานซืออินคนก่อน จึงไม่เข้าใจสิ่งที่สาวใช้นางนี้บอก ที่สำคัญนางไม่รู้ด้วยว่า นายท่านที่ถูกพูดถึงนี้เป็นใคร
อีกฝ่ายหมายถึงบิดาเจ้าของร่าง หรือคนอื่นกันแน่
“นี่ท่านลืมคำสั่งนายท่านแล้วหรือ”
“ก็ข้าตกน้ำ หมดสติไปตั้งหลายวัน พอตื่นขึ้นมา เรื่องราวในอดีตมันก็ลบเลือนหายหมด จำได้แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น ขนาดชื่อเจ้าข้ายังนึกไม่ออกเลย ไม่เชื่อเจ้าไปถามเสี่ยวจูกับเสี่ยวปิงดูได้ ข้าจำอะไรไม่ค่อยได้จริง ๆ อย่าลืมสิ ข้าฟื้นมาจากความตายนะ”
ซืออินโป้ปดไปเรื่อย นางคิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะหลังจากที่ตนตื่นขึ้นมา คนในเรือนต่างก็บอกว่านางตายไปแล้ว ถึงขนาดตระเตรียมโลงจะใส่นางแล้วด้วย
ฉะนั้น การกล่าวอ้างเช่นนี้น่าจะฟังขึ้นมากกว่า
