6.เด็กน้อยน่ารัก
หลายวันต่อมา...
ซืออินยังคงใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือน ไม่ได้ออกไปเฉิดฉายเช่นแต่ก่อน ซึ่งงานหลักที่นางทำอยู่ที่ห้องตำราก็คือ
การปรุงยาสมุนไพรตามสูตรยาในปัจจุบัน ผสมผสานกับยุคสมัยนี้ เพราะสมุนไพรบางตัวยังไม่มีใครค้นพบ
แต่คนจากโลกปัจจุบันล้วนแต่รู้จักทุกอย่าง
“เสี่ยวปิง กรอกยานั้นใส่ขวดเรียบร้อยแล้ว เจ้าช่วยเตรียมกระดาษกับพู่กันให้ข้าด้วยนะ ข้าจะทำบันทึกการรักษาโรค”
“เจ้าค่ะฮูหยิน” สาวใช้วัยยี่สิบรับคำเสียงอ่อน น้ำเสียงไร้ซึ่งความขลาดกลัวเช่นแต่ก่อน ที่สำคัญทั้งคู่ดูมีความสุขขึ้นมาก เพราะตั้งแต่ผู้เป็นนายฟื้นจากการจมน้ำ คนในเรือนก็ไม่มีใครถูกลงโทษเลย มิหนำซ้ำยังได้อยู่ดีกินดีขึ้นอีกต่างหาก
หนึ่งเค่อต่อมา...หลังจากหานซืออินปรุงยาเสร็จ นางก็มานั่งจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษหยาบที่วางอยู่บนโต๊ะ สองด้านมีไม้วางทับเอาไว้เพื่อไม่ให้มันปลิวยามเมื่อลงมือทำ
แต่ทันใดนั้น…กลับมีเงาเล็ก ๆ วูบผ่านมา
ผลั่วะ!....ลูกพลับขนาดเท่ากำปั้นเด็กกระเด็นกระดอนผ่านหน้าไปพร้อมกับการสาดกระเซ็นของน้ำหมึก จากนั้นมันก็หล่นลงข้างตัวผู้ที่นั่งอยู่ ทว่าใบหน้ากลับเปื้อนเปรอะไปด้วยคราบดำ
ดวงหน้าขาวผ่อง บัดนี้เต็มไปด้วยจุดด่างดำเต็มกรอบหน้า รวมถึงอาภรณ์ชมพูอ่อนที่หานซืออินสวมใส่
เสี่ยวปิงและเสี่ยวจูถึงกับตัวแข็งทื่อ ลมหายใจของทั้งคู่เริ่มสะดุดขาดห้วง พวกนางไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า มันอาจจุดไฟโทสะของผู้เป็นนายขึ้นมาก็ได้ คาดว่าอีกไม่นานนี้พวกนางต้องถูกลงโทษเป็นแน่
ขณะเดียวกัน ก็ปรากฏร่างเล็กของเด็กน้อยวิ่งตรงเข้ามา ตามด้วยเสียงตื่นตระหนกของแม่นมจางที่กำลังวิ่งตามมา
“ตายแล้วคุณชายน้อยเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ” หญิงวัยสามสิบปีร้องห้ามอย่างตื่นตระหนก นางตั้งใจจะรั้งแขนนายน้อยของตนไว้ ทว่าหานซืออินได้ยกมือห้ามปรามเสียก่อน
แม่นมจางจึงต้องหยุดชะงักยืนตัวแข็งทื่อเพราะเกรงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกคนต่างก็รู้ว่าฮูหยินคนใหม่ ไม่ได้มีใจรักเด็กเลยสักนิด พบเห็นคุณชายน้อยหรือลูกหลานใครเข้ามาในเขตเรือนเมื่อใด นางเป็นได้สั่งลงโทษโดยไม่ฟังเหตุผลทุกครา
เพราะหานซืออินถือว่าตนได้สั่งห้ามเอาไว้ตั้งแต่นางแต่งเข้ามาในจวนนี้แล้ว ซึ่งทุกคนรู้และทำตาม ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ไม่มีใครอยากยุ่งวุ่นวายกับนางด้วย บุตรหลานของคนในจวน จึงไม่เคยย่างกลายเข้ามาที่นี่ เว้นแต่คุณชายน้อยเท่านั้น
แม้จะมีคนมากมายสั่งห้ามและเอ่ยกำชับเรื่องนี้อยู่หลายครา ทว่าคุณชายน้อยของจวนก็ยังแอบเข้ามาที่นี่อยู่ดี
อาจจะเป็นเพราะเด็กน้อยเข้าใจว่าหานซืออินคือมารดาของตนกระมัง เพราะใคร ๆ ต่างก็บอกเช่นนั้น ด้วยความไม่ประสาเด็กน้อยจึงคิดว่าการที่ตนเข้ามาเล่นในเรือนมารดานั้นไม่ผิด
ที่สำคัญโจวซีเหยียน มักจะเอ่ยว่าอยากให้มารดาอุ้มและพาตนไปเดินเล่นในสวน เฉกเช่นมารดาคนอื่น ๆ ที่เขาทำกัน
ทว่าความเป็นจริงมันต่างไปจากที่เด็กน้อยคิดนัก…
มารดาที่เขาเข้าใจ มิใช่มารดาแท้ ๆ ผู้ให้กำเนิด ยิ่งไปกว่านั้นหานซืออินผู้นี้ก็ไม่เคยมีใจรักหรือเมตตาต่อเด็ก ไม่ว่าจะเป็นบุตรใคร หากพลัดหลงเข้ามา นางเป็นได้สั่งลงโทษทุกครั้งไป
และบัดนี้…คุณชายน้อยทำผิดมากนัก ใบหน้าแสนงามของนางเปื้อนเปรอะเป็นดวงจนดูไม่ได้ สตรีใจร้ายผู้นี้ คงไม่ออกคำสั่งแค่ขังคุณชายน้อยเช่นเคยเป็นแน่
หากไม่รีบไปตามฮูหยินใหญ่มาช่วยหลาน คงไม่มีใครห้ามปรามมารดาเลี้ยงใจร้ายผู้นี้ได้อีกแล้ว คิดได้เช่นนั้นแม่นมจางก็รีบเดินออกไป เพื่อตามเจ้านายในเรือนใหญ่ เพราะลำพังแค่นางผู้เดียวคงมิอาจช่วยนายน้อยได้สำเร็จ
ก่อนหน้านี้…คุณชายน้อยแอบเข้ามา ก็ถูกขังไว้ในห้องเก็บฟืน ส่วนแม่นมจางก็ถูกเฆี่ยนจนนอนซมไปหลายวัน
ด้านซืออินมองตามร่างอวบที่วิ่งออกไปไม่บอกกล่าวก็พาให้ฉงน ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้ห้ามปราม
เพราะมีบางสิ่งที่ดึงดูดความสนใจได้มากกว่า
นั่นคือ…เด็กน้อยที่ยังคงยืนก้มหน้าอยู่ข้างมุมโต๊ะ ไม่แม้แต่จะขยับเพื่อหาทางหนี ทั้งที่ดูหวาดกลัวมากแต่ก็ไม่ยอมขยับ
“กำมือแน่นเชียว กลัวมากสินะ” ซืออินนึกในใจ เมื่อเห็นท่าทางหวาดหวั่นของเด็กน้อยที่ไม่ยอมเงยขึ้นมาเลย
“เด็กคนนี้...บุตรชายท่านโหวสินะ วันนั้นเห็นหน้าไม่ชัด นึกไม่ถึงว่าจะน่ารักขนาดนี้” ริมฝีปากอิ่มเผยยิ้ม ทว่าเพียงครู่มันกลับหุบลง “หานซืออิน เธอฆ่าเด็กน่ารักแบบนี้ลงได้ไง ใจร้ายที่สุด”
ซืออินค่อย ๆ เอื้อมมือออกมารั้งแขนน้อยที่แนบอยู่ข้างลำตัวซึ่งบัดนี้ ท่าทางของโจวซีเหยียน ไม่ต่างจากทหารในยุคปัจจุบัน ยามที่ต้องฝึกยืนนิ่งต่อหน้าผู้บังคับบัญชา
“ไม่ต้องกลัว…ข้าไม่ทำอันใดเจ้า” นางเอ่ยเสียงอ่อน ทว่าเด็กน้อยยังคงขืนตัวเอาไว้ด้วยความกลัวที่ยังคงมีอยู่ในใจ
“ฮูหยิน…” สาวใช้อ้าปากหมายจะท้วงติง ทว่าเมื่อเห็นแววตาของผู้เป็นนายที่จ้องมา ทั้งคู่ก็จำต้องรีบหุบลง แต่แววตายังคงหวาดหวั่น เกรงผู้เป็นนายจะลงโทษเด็กที่ไม่ประสาอีก
หานซืออินจึงหันมารั้งเอาเจ้าก้อนกลมขึ้นมานั่งบนตัก และคุณชายน้อยก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยสักนิด ได้แต่นั่งก้มหน้าไม่เอ่ยปากอันใด เพราะเขารู้ดีว่ามารดาเลี้ยงไม่ชอบเสียงเด็ก หากเขาเผลอร้องหรือขัดขืน มารดาอาจไม่พอใจได้
“เจ้าเป็นบุตรของผู้ใดกัน ไยจึงมาดื้อซนแถวนี้ฮึ” นางถามเพราะยังไม่แน่ใจว่าเด็กน้อยจะใช่บุตรของท่านโหวหรือไม่
ทว่าถามไปก็ไม่มีการตอบรับ ซืออินจึงเอ่ยขึ้นอีก
“เช่นนั้นเด็กน้อยผู้นี้มีนามว่ากระไรหรือ ไหนลองบอกมาซิข้าจะได้เรียกเจ้าถูก” ซืออินยังคงถามเสียงอ่อนโยนเช่นเคย พร้อมกันนั้นนางก็ใช้นิ้วจิ้มหมึกที่มันหกเลอะบนโต๊ะแต้มที่จมูกอมชมพูของเจ้าก้อนกลมด้วย โทษฐานทำนางเลอะเทอะไปทั้งตัว
ทว่าเด็กน้อยยังคงอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบอันใด ซีเหยียนยังคงหลุบตาต่ำไม่กล้าเงยขึ้น เพื่อสบตากับมารดาผู้ที่มีน้ำเสียงอ่อนโยนต่างไปจากแต่ก่อนมาก ปกติยามพบหน้ากัน นางมักจะแผดเสียงก่นด่าเขาทุกรอบ มิเคยเอ่ยดีดีเช่นนี้เลย
ทว่าหนนี้…เหตุใดมารดาเขาถึงได้ดูอ่อนโยนนักนะ
sds
