4.ต่างจากเดิม
เสี่ยวจูได้แต่ยืนนิ่งงันมองดูผู้เป็นนายปีนป่ายขึ้นต้นพุทราโดยมิได้ร้องห้ามแม้แต่น้อย ใช่ว่านางอยากให้ทำ
นางกำลังตกตะลึงอยู่ต่างหาก จึงมิได้ร้องห้าม
“เสี่ยวจูเจ้ารับนะ” เสียงจากผู้เป็นนายดังมาเตือนสติ สาวใช้ที่ยืนเหม่อ จึงรีบทำตามคำสั่งอย่างเร่งรีบ
“ฮูหยินระวังด้วยนะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง เพราะผู้เป็นนายปีนป่ายไปตามลำกิ่งไม่กลัวตกสักนิด
เมื่อเสี่ยวปิงเดินกลับมาก็ถึงกับมึนงง และยืนอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา พอ ๆ กับบ่าวในเรือนที่กำลังยืนมองจนไม่เป็นอันทำงาน หากเป็นแต่ก่อนพวกเขาคงถูกผู้เป็นนายลงโทษไปแล้ว
ทว่า...ในขณะที่พวกเขากำลังตะลึงงัน เสียงเล็กใสของคุณชายน้อยก็ดังขึ้นที่ใต้ต้นไม้ โดยที่ไม่มีใครคาดคิด
“ท่านแม่ ขอซีเอ๋อร์กินด้วย” คุณชายน้อยโจวซีเหยียนเอ่ยบอกมารดาเลี้ยงที่นั่งหย่อนขาอยู่บนกิ่งไม้ ซึ่งอันที่จริงซืออินเห็นเจ้าเด็กน้อยวิ่งเข้ามาตั้งแต่อยู่ที่หน้าประตูแล้ว
“ตายแล้วคุณชายน้อย ถอยออกมาเจ้าค่ะ รีบกลับเรือนเราดีกว่านะเจ้าคะ” แม่นมจางรีบตรงเข้ามาอุ้มนายน้อยของตน พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงติดขัด “ขออภัยฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ” สิ้นคำ นางก็รีบหอบเอาคุณชายของตนกลับออกไป
ซืออินได้แต่อ้าปากค้าง พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความมึนงง “อะไรของเขา แล้วเด็กนี่เป็นใครกัน เอ๋! หรือจะเป็นลูกชายของท่านโหว เด็กน้อยที่หานซืออินจับกดน้ำ” นางพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะกระโดดลงมาจากต้นไม้อย่างชำนาญ
แต่พอถึงพื้น บ่าวทั้งหลายกลับพากันนั่งคุกเข่าแล้วหมอบลง ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมาแม้เพียงนิด
คิ้วสวยผูกกันเป็นปมอีกหน ‘อะไรกัน คงไม่ใช่กลัวเราจะลงโทษหรอกนะ’ นางนึกในใจเมื่อเห็นท่าทางของบ่าวไพร่
“พวกเจ้าคุกเข่ากันทำไม ลุกขึ้นมา เอาพุทราไปล้างเสีย แล้วก็เตรียมวัตถุดิบไว้ให้ข้าด้วยนะ” ซืออินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยบอกว่าตนต้องการสิ่งใดบ้าง
บ่าวไพร่จึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง
“เอา ยืนงงกันอยู่ได้ รีบไปทำตามคำสั่งสิ” สุดท้ายซืออินก็ต้องใช้เสียงดุกับคนเหล่านี้ จึงได้ยอมขยับกัน “เห้อ อะไรของพวกเขาเนี่ยะ พูดดีด้วยกลับไม่ฟัง ต้องให้เสียงดังจึงจะยอมลุก”
นางทอดถอนใจ ก่อนจะหันมาหาบ่าวที่คอยรับใช้ใกล้ชิดตน “เสี่ยวจู เสี่ยวปิง เด็กคนเมื่อครู่ ใช่บุตรชายท่านโหวหรือไม่”
ทั้งคู่มองหน้ากันเล็กน้อยแล้วจึงหันมาตอบ
“ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินจำคุณชายน้อยไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“ข้าเคยพบเด็กคนนี้หรือ” คำถามของนางทำให้ทั้งคู่เงียบงันทันที “ทำไมล่ะ หรือว่าก่อนหน้าข้าเคยรังแกบุตรท่านโหว” เมื่อเริ่มนึกได้ว่าเจ้าของร่างไม่ชอบเด็ก ซืออินก็คาดการณ์ตามที่ตนเข้าใจ ซึ่งมันไม่ผิดไปจากที่คิดเลยสักนิด
“ห้าวันก่อน คุณชายน้อยแอบเข้ามาที่เรือน พอฮูหยินเห็น ก็สั่งให้บ่าวจับคุณชายน้อยขังไว้ในห้องฟืนเจ้าค่ะ”
“หา! ข้าน่ะหรือ สั่งขังเด็กตัวแค่นี้ไว้ในห้องฟืน” ซืออินร้องเสียงหลง นางนึกไม่ถึงว่า เจ้าของร่างจะใจอำมหิตถึงเพียงนี้ “สมควรแล้วที่ถูกประหารอย่างทรมาน เด็กตัวนิดเดียวยังรังแกได้” นางนึกในใจอย่างเคืองแค้น แทนเด็กน้อยผู้น่าสงสาร
“แล้วเจ้าพอจะรู้หรือไม่ เหตุใดคุณชายน้อยถึงยังแอบมาที่นี่อีก เขาไม่กลัวถูกลงโทษอีกหรือ” ซืออินมองหน้าทั้งคู่สลับกัน ท่าทางอึกอักของพวกนางยิ่งทำให้ผู้เป็นนายอยากรู้มากขึ้นไปอีก”
“เอ่อ เรื่องนี้บ่าวก็ไม่ทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ อาจเป็นเพราะคุณชายน้อยเสียมารดาตั้งแต่เด็ก ก็เลย” เสี่ยวจูเงียบเสียงลง
“ก็เลยคิดว่า ข้าน่าจะเป็นแม่ให้ได้สินะ” ซืออินเอ่ยในสิ่งที่บ่าวของตนไม่กล้าพูด พร้อมกับนึกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของยุคนี้ สตรีใดแต่งเข้าเป็นภรรยาเอก ก็เท่ากับต้องเป็นมารดาของบุตรอนุทุกคน และมันก็เป็นธรรมดาที่คุณชายน้อยจะเข้าใจว่านางคือมารดาเขา เพราะคนในเรือนน่าจะสอนเรื่องนี้ไว้ เด็กน้อยจึงแอบย่องมาที่เรือนนี้ทุกครั้งยามผู้ดูแลเผลอ
‘เด็กบริสุทธิ์ขนาดนี้ เธอยังเอาชีวิตได้อีกนะ หานซืออิน’ นางต่อว่าเจ้าของร่างในใจ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับบ่าวที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่
“ลุกขึ้นมาได้แล้ว ไม่เมื่อยหรือรีบไปเตรียมสำรับเถิด กินเสร็จข้าจะทำแยมพุทรา ส่วนเรื่องวาดภาพ เอาไว้ทำเสร็จแล้วค่อยว่ากัน ถ้าข้าไม่เหนื่อยจะวาดให้แล้วกันนะเสี่ยวจู” เอ่ยต่อรองกับบ่าวที่ยังไม่ได้ภาพ ตามมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ทำเอาบ่าวทั้งสองถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนที่เสี่ยวจูจะรีบรับคำเมื่อนางตั้งสติได้ เพราะหากช้ากว่านี้อาจทำให้ผู้เป็นนายเคืองขุ่นใจ จากนั้นทั้งคู่ก็แยกตัวออกไปจัดการอาหารตามคำสั่ง
ส่วนซืออินยังคงครุ่นคิดเรื่องบุตรของสามี ดวงตาใสแป๋วคู่นั้น ช่างน่ารักเหลือเกิน ทำไม? เจ้าของร่างถึงได้เอาชีวิตลง
มาบัดนี้ นางเริ่มเชื่อแล้วว่าประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้เป็นเรื่องจริง หานซืออินคือสตรีชั่วหาที่เปรียบมิได้จริง ๆ
“เราจะต้องเปลี่ยนทุกอย่างให้ได้” นางพึมพำอย่างแน่วแน่
sds
