11. ภาพล้ำค่า
“โจวเป่ยโหวคงไม่รู้ว่าภาพนี้มันสำคัญแค่ไหน ไม่งั้นเขาคงไม่แขวนมันไว้อย่างโจ่งแจ้ง เรือนนี้ก็ไม่มีคนเฝ้าอีก” นางพึมพำอยู่หน้าภาพวาด ก่อนจะมองจุดสีแดงที่ถูกแต่งแต้มไว้ตามจุดต่าง ๆ
ด้านล่างจะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษแบบย่อเขียนกำกับไว้ด้วย ซึ่งซืออินเข้าใจความหมายของตัวย่อเหล่านี้เป็นอย่างดี เพราะบิดาในยุคปัจจุบัน คือนักธรณีวิทยาที่ออกสำรวจแหล่งแร่ให้รัฐบาล เมื่อค้นพบ…บิดานางจะมาพูดและสอนให้จดจำเสมอ
จึงไม่แปลกที่ซืออินจะจำลักษณะเหล่านี้ได้
นางมองภาษาอังกฤษที่เป็นแบบตัวเขียนพรางยกยิ้ม มันไม่แปลกที่คนยุคนี้จะไม่เข้าใจ เพราะลวดลายอักขระมันสวยงามไม่ต่างจากลายเส้นของบุปผา หากคนไม่เคยเรียนหรือสัมผัสย่อมไม่มีทางรู้แน่ว่าลวดลายนี้สื่อถึงสิ่งใด ซึ่งมันก็ไม่แปลก…ที่คนยุคนี้จะไม่รู้จักภาษาอังกฤษ เพราะเท่าที่นางศึกษามา ชาวต่างชาติจะเข้ามามีอิทธิพลในแคว้นต่าง ๆ ยังต้องรอไปอีกห้าร้อยปี
“จากบันทึกที่อ่านมา ฉีอ๋องใช้อาวุธที่ทำจากเหล็กกล้าและอาวุธร้ายที่กำจัดคนได้นับสิบบุกเข้าชิงบัลลังก์ ซึ่งเขาทำมันได้ง่ายดายมาก หรือเรื่องทั้งหมดที่ถูกบันทึกไว้ มันเกี่ยวข้องกับภาพผืนนี้ เอ๊ะ! ที่เขาส่งหานซืออินเข้ามาขโมยภาพ ก็เพราะรู้ประโยชน์ของมันกระนั้นหรือ” หญิงสาวพึมพำ ก่อนจะชะงักนิ่งแล้วเอ่ยอีก
“เอ๋! แล้วเขาเข้าใจความหมายของภาพได้ยังไง หรือเขาเกิดใหม่เหมือนเรา หรือเป็นเขาเองที่วาดภาพ ไม่สิ…ไม่น่าใช่ ถ้าเขาเป็นคนวาด ก็ไม่จำเป็นต้องส่งเรามาขโมยสิ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เขาวาดขึ้นมาใหม่ก็ได้แล้ว” ซืออินยังคงถกเถียงกับตนเอง
เพราะที่มาที่ไปในประวัติศาสตร์มันไม่ได้ระบุให้รู้เลยว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ฉีอ๋องสามารถก่อกบฏได้มาจากสิ่งใด
ในบันทึกกล่าวเพียงว่า…หลังจากฉีอ๋องก่อกบฏได้สำเร็จ แคว้นอู่โจวก็มีการค้นพบแหล่งแร่มากมาย ทว่ามันกลับทำให้ผู้คนลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะราษฎรชั้นล่าง สาเหตุก็เป็นเพราะฮ่องเต้องค์ใหม่เกณฑ์ชาวบ้านที่เป็นชายไปทำงานในเหมืองกันหมด และพวกเขาก็ไม่เคยได้รับค่าตอบแทนเลย
ทว่าความยากลำบากของเหล่าประชา กลับคงอยู่ไม่นานมันก็สิ้นสุดลง หลังจากฉีอ๋องขึ้นครองบัลลังก์ได้เพียงหนึ่งเดือน ตำแหน่งฮ่องเต้ของคนชั่วผู้นี้ก็ต้องสั่นคลอน ด้วยน้ำมือชินอ๋อง
นำพาให้ฉีอ๋องและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดต้องโทษประหารกันถ้วนหน้า รวมถึงซืออินและคนสกุลหาน ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่ถูกประหารอย่างทรมาน ก่อนจะถูกกลบฝังในสุสานทาส พร้อมกับคำสาปแช่งมากมาย ซึ่งมันส่งผลทำให้คนจากยุคปัจจุบันต้องกลับมาแก้ไขความผิดพลาดที่เจ้าของร่างก่อเอาไว้นั้นเอง
“น่าแปลก ทำไมเขาถึงเข้าใจความหมายของภาพกันนะ หรือข้างกายมีคนที่วาดภาพนี้ขึ้นมาได้ แต่เผอิญผิดใจกัน อีกฝ่ายจึงหนีออกมาพร้อมภาพ เอ๋…หรือมันจะเป็นอย่างนี้จริง ๆ”
“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา ออกไป!”
ร่างเล็กที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันมาแผดเสียงใส่เขาคืน “โอ๊ย! จะตวาดทำไม พูดดีดีก็ได้ ตกใจหมด” ว่าพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบอกตนเองเบา ๆ ทว่าเมื่อนึกได้ว่าตนไม่ควรเสียมารยาทกับอีกฝ่ายซืออินจึงเผยยิ้มแหย
อวิ้นหลางมองฮูหยินของตนนิ่ง เขายังคงมองนางด้วยแววตาแข็งกร้าวเช่นเคย แม้ใจจริงอยากทำมากกว่านี้ นั่นคือการจับนางโยนออกไป ทว่าหากทำเช่นนั้นเขาก็ต้องแตะตัวนาง
ซึ่งข้อนี้…อวิ้นหลางจะไม่มีวันทำมันเด็ดขาด
“ต่อไปห้ามเจ้าเข้ามาที่นี่อีก!” ยังมิวายย้ำคำเสียงเข้ม แววตาที่มองนางยังคงดุดันราวกับคนโกรธแค้นกันมาสิบชาติ
ใช่…อวิ้นหลางทั้งโกรธและแค้นหานซืออิน เพราะนางทำร้ายบุตรเขา มิหนำซ้ำเรื่องของนางกับฉีอ๋อง ยังลือกระฉ่อนมาถึงที่นี่ ทำให้เขาได้รับความอับอายเป็นอย่างมาก
เป็นเช่นนี้จะไม่ให้เขาเกลียดชังนางได้เยี่ยงไร และจนถึงตอนนี้ แม้แต่หน้างาม ๆ ของนาง เขาก็ยังไม่อยากมอง
ทว่าสตรีที่เขาเกลียดชัง บัดนี้กลับยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น แต่มิใช่ว่าซืออินจะตื่นตระหนกที่เขาออกปากไล่ เพราะมันสมควรแล้วที่อีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ แต่ที่นางนิ่งเป็นเพราะกำลังใช้ความคิด
‘ดูท่าเขาคงรังเกียจหานซืออินมาก ถึงกับไม่ยอมมองหน้ากันเลย ไม่ได้! เราจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้ ต้องทำให้ความสัมพันธ์มันต่างไปจากแต่ก่อน ทุกอย่างมันถึงจะไปได้ดี ไม่เกิดเหตุซ้ำรอยเหมือนในประวัติศาสตร์อีก’ คิดได้ดังนั้น ร่างอรชรก็เดินเข้าไปหา ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าอีกฝ่ายแล้วเงยขึ้นมองเขา
ทว่าทันทีที่นางโผล่หน้าเข้ามาในระยะสายตา โจวเป่ยโหวกลับผงะก้าวถอยหลังอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อตั้งสติได้เขาก็จ้องนางกลับทันที ทว่าจู่ ๆ ใจแกร่งกลับวูบไหว เพราะผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้ามีใบหน้างดงามนัก ดวงตาของนางกลมโตรับกับแพขนสีดำที่งอนเรียงตัวกันเป็นอย่างดี จมูกเรียวโด่งได้รูป เหมาะกับปากกระจับอวบอิ่มสีแดงเรื่อเป็นอย่างมาก รูปร่างก็อรชรอ้อนแอ้น ยิ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวนางยิ่งน่ามองไม่ต่างจากนางสวรรค์
เสียก็แต่สตรีนางนี้ร้ายกาจ ใจเหี้ยมใจอำมหิต กับเด็กตัวน้อย ๆ ก็ยังสั่งลงโทษได้ นึกมาถึงตรงนี้ แววตาที่วูบไหวเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาอีก เพราะมันมิใช่แค่เรื่องนี้ที่เขานึกถึง มันยังมีเรื่องที่นางมีใจให้บุรุษอื่นก่อนแต่งกับเขาด้วย
บุรุษที่นางพึงใจเรียกว่ามีฐานะสูงส่งพอสมควร และคนผู้นั้นยังเป็นถึงผู้ครองเมืองทางทิศใต้ เป็นบุรุษที่น่ายกย่อง สตรีทั่วหล้าล้วนแต่อยากครอบครองเขา หนึ่งในนั้นคงมีหานซืออินด้วย
ในทุกวันนี้…อวิ้นหลางก็ยังคงแปลกใจ เหตุใดนางถึงยอมตกลงแต่งกับเขา ทั้งที่ในใจมีบุรุษอื่นอยู่แล้ว
ทว่าพอแต่งเข้ามากลับไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อย่างที่ควรจะเป็น มิหนำซ้ำแม้แต่เขตเรือนก็ไม่ยอมให้เหยียบย่างเข้าไป
ทว่าวันนี้นางกลับมาที่นี่เสียเอง และยามนี้นางยังมายืนจ้องหน้าเขาอีก ท่าทางเช่นนี้มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน
“อะไรของเจ้า! ถอยออกไปให้ไกลข้า” น้ำเสียงเขายังคงห้วน เพราะสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองเขา มันเหมือนเด็กน้อยที่กำลังอยากได้บางสิ่ง ท่าทางเช่นนี้เขาไม่คุ้นเลย อวิ้นหลางรู้สึกว่าสิ่งที่นางเป็นอยู่ มันดูอันตรายยิ่งกว่ายามที่นางทำตัวร้ายกาจเสียอีก
ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกเลยสักนิด มิหนำซ้ำนางยังย่อตัวให้ แล้วเอ่ยกับเขาว่า
“ขออภัยที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตเจ้าค่ะ ข้าน้อยคิดว่าท่านโหวอยู่ที่นี่ จึงตั้งใจจะมาหาเพื่อปรึกษาบางอย่าง”
อวิ้นหลางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่ไม่กี่อึดใจต่อมาเขาก็เรียกสติกลับคืนมาได้ จึงเอ่ยถามนางด้วยเสียงเข้มเช่นเดิม
“มีอะไรก็พูดมา ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมารอฟังคำพูดของเจ้าหรอกนะ” น้ำเสียงเขายังคงเย็นชาไม่เปลี่ยน พร้อมกับตั้งท่าจะเดินหนีไปที่โต๊ะทำงาน ทว่ามือเล็กกลับดึงชายเสื้อเขาไว้
“ภาพนี้ท่านโหวควรเก็บรักษามันไว้ให้ดี เพราะมันมีค่ามหาศาล” เอ่ยจบนางก็ปล่อยมือจากชายผ้าเขา เพราะยามนี้สามีถลึงตาใส่แล้ว หากเขมือบศีรษะได้ เขาคงทำมันทันที
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้ากลับไปเสีย” อวิ้นหลางหาได้แยแสคำพูดของนางไม่ เพราะเขาเชื่อว่าหานซืออินมีแผนอยู่ในใจ นางกำลังยื้อเวลาอยู่ที่นี่เสียมากกว่า และเขาไม่มีทางเปิดโอกาสให้แน่ ไม่ว่าเหตุผลที่นางมา จะทำเพื่อสิ่งใดก็ตาม
แหนะ! เมียเตือนก็ไม่ฟังนะโหว
sds
