บทที่ 4
ในขณะที่สองหนุ่มสาวกำลังประลองฝีปากโดยไม่มีใครยอมใครกันอยู่นั้น จ่าสิงห์หันไปกระซิบกับจ่ายอด
“สงสัยว่างานนี้คุณป่านคงเจอคู่ปรับคนสำคัญเข้าแล้ว”
“นั่นสิแกว่าใครจะเป็นผู้ชนะวะไอ้สิงห์”
“พูดยาก...ยังตอบไม่ได้ในตอนนี้ต้องดูกันยาวๆ”
“จริง! คุณป่านเองก็ฝีปากใช่ย่อยอยู่เมื่อไร แต่สารวัตรของเราท่าทางก็ไม่ยอมเพลี่ยงพล้ำง่ายๆ สนุกแน่งานนี้”
ในช่วงจังหวะนั้นเองมีเสียงวอรายงานเข้ามาว่า มีคนพบศพหญิงสาวไม่ทราบชื่อถูกนำมาทิ้งไว้อยู่ในพงหญ้า ทำให้ภาคภูมิเลิกสนใจหญิงสาวตรงหน้า และหันไปสั่งลูกน้องทุกคนให้ตรงไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที ปวริศาได้ยินข้อมูลทุกอย่างชัดเจน เธอเลือกที่จะเดินออกไปจากสถานีตำรวจ เพื่อตรงไปยังสถานที่ที่มีคนพบศพหญิงสาวนิรนามคนดังกล่าว
“ตอนแรกแค่จะมาทำความรู้จักสนิทสนมกับสารวัตรคนใหม่ที่จะย้ายมาประจำที่นี่เท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจะได้ข่าวเด็ดติดมือกลับไปด้วย”
นักข่าวสาวพูดด้วยรอยยิ้มที่สดใส ถึงแม้ในวันนี้จะมีเรื่องที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เช้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสื้อผ้าที่เปื้อนโคลนเพราะคนขับรถไร้จิตสำนึก แถมยังต้องมาประชันฝีปากกับนายหน้าหนวดสารวัตรคนใหม่ของสถานีตำรวจท้องที่นี้ ก็ยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้เธอเป็นสองเท่า แต่อย่างน้อยเธอก็จะได้งานติดไม้ติดมือกลับไปด้วยนับได้ว่ามาไม่เสียเที่ยว
ฉับพลันสายตาของเธอก็หันไปเห็นรถสปอร์ตเจ้าปัญหาคันเมื่อเช้าของคู่กรณี ที่ขับโดยไม่ระมัดระวังทำให้น้ำโคลนกระเซ็นมาโดนเสื้อผ้าของเธอ ปวริศาจำได้ไม่ผิดคันแน่นอนเธอเดินวนรอบรถคันดังกล่าว เมื่อเห็นทะเบียนรถคันนั้นก็สามารถยืนยันได้ว่าความคิดของเธอนั้นถูกต้อง เพราะหญิงสาวจดจำทะเบียนรถที่สาดโคลนใส่ตัวเธอได้ขึ้นใจและมันก็ตรงกับทะเบียนรถคันนี้ การที่ได้เจอรถของคู่กรณีทำให้ปวริศาของขึ้นจนลืมสิ่งสำคัญที่จะต้องทำไปชั่วขณะ
“อย่าให้รู้นะว่าใครเป็นเจ้าของรถคันนี้แม่จะสั่งสอนซะให้เข็ด ทีหน้าทีหลังจะได้ขับรถแบบมีมารยาท และระมัดระวังคนเดินถนนมากกว่านี้”
สุดท้ายหญิงสาวก็ได้รับคำตอบว่าใครคือเจ้าของรถคันดังกล่าว เพราะทันทีที่พูดจบเธอก็ได้ยินเสียงรีโมทเปิดประตูรถดังขึ้น จึงรีบหันกลับไปมองด้วยความอยากรู้ว่าใครคือคนขับรถที่ไม่มีมารยาทคนนั้น
“เป็นเขาอีกแล้วหรือ”
แม้เธอจะรู้สึกไม่พอใจเมื่อรู้ว่าภาคภูมิคือคนที่ทำให้เสื้อผ้าของเธอเปื้อนโคลน แต่จะมามัวโอ้เอ้อยู่ไม่ได้เพราะชายหนุ่มเดินขึ้นรถไปแล้ว ปวริศาถือวิสาสะเดินไปเปิดประตูรถด้านข้างเขาและขึ้นไปนั่งโดยมิได้รับเชิญ
“เฮ้ย! ขึ้นมาทำไม...ผมกำลังรีบไม่มีเวลามาทะเลาะกับคุณตอนนี้หรอกนะ...ลงไป...เร็วเข้า”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งเฉยราวกับรูปปั้น ทำให้สารวัตรหนุ่มต้องเอื้อมมือไปเปิดประตูด้านที่หญิงสาวนั่งเพื่อให้เธอลงจากรถ แต่หญิงสาวดื้อแพ่งให้ตายเธอก็จะไม่ยอมก้าวลงจากรถคันนี้เด็ดขาด ปวริศาเอื้อมมือปิดประตูรถอีกครั้งพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยแถมยังออกคำสั่งให้เขารีบออกรถ
“ชักช้าอยู่ทำไมออกรถไปสิ...รีบมากไม่ใช่หรือ”
สารวัตรหนุ่มมาดเท่ส่ายหัวไปมา ก่อนจะตัดสินใจขับออกไปด้วยความเร็วสูง ตามสไตล์คนทื่ชื่นชอบความเร็วเป็นชีวิตจิตใจ ปวริศาตวัดสายตากลมโตมองหน้าภาคภูมิอยู่หลายครั้งด้วยความขุ่นเคืองใจ
‘นึกว่าใครที่ขับรถโดยไม่มีมารยาททำให้เราได้รับความเดือดร้อน ที่แท้ก็เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้นี่เอง’ ปวริศาได้แต่นึกอยู่ในใจ
“คุณจ้องหน้าผมทำไมหรือว่าติดใจในความหล่อของผม”
“หนวดเคราอย่างกับมหาโจรแบบนี้ยังจะกล้าพูดว่าตัวเองหล่อได้อีก” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ
“นินทาอะไรผมได้ยินนะ”
“ใครว่าป่านนินทาคุณป่านชมคุณต่างหากว่าคุณหลงตัวเอง”
“แน่ใจนะว่านั่นคือคำชม”
“ยิ่งกว่าแน่ใจ”
“ชอบผมก็พูดออกมาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม ผมเข้าใจดีว่าหน้าตาของผมมันหล่อเร้าใจซะจนทำให้คุณหัวใจสั่นไหว”
“ป่านจะบอกอะไรให้คุณฟังอย่างหนึ่ง ตั้งใจฟังให้ดีนะคุณจะได้ไม่เข้าใจอะไรผิดๆ สำหรับผู้หญิงคนอื่นคุณอาจจะเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์เร้าใจ มากพอที่จะมีอิทธิพลกับหัวใจของพวกเธอเหล่านั้น แต่สำหรับป่านคุณเป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาๆ ที่รูปร่างหน้าตาจัดได้ว่าแย่ แถมยังชอบเลี้ยงน้องหมาไว้ในปาก คุณสมบัติเหล่านี้ของคุณหรือเสน่ห์ที่คุณมั่นใจว่าเคยมี มันยังไม่มากพอที่จะมีอิทธิพลกับหัวใจของป่านหรอกค่ะ คุณคงต้องใช้ความพยายามอีกนาน”
แทนที่ภาคภูมิจะโกรธที่อีกฝ่ายพูดเหมือนสบประมาทเรื่องความหล่อของเขา แต่เขากลับรู้สึกทึ่งที่ผู้หญิงคนนี้กล้าพูดและกล้าวิจารณ์ออกมาตรงๆ ตามที่ใจคิด โดยไม่ต้องเสียเวลาปั้นแต่งคำพูดเพื่อมาเอาใจเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่เขาเคยพบ นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงวิจารณ์เรื่องรูปร่างหน้าตาของเขาในทางลบ นอกจากจะวิจารณ์รูปร่างหน้าตาของเขาที่จัดได้ว่าแย่แล้ว เขายังถูกต่อว่ากลายๆ อีกด้วยว่าเป็นผู้ชายปากเสีย หรือจะพูดภาษาชาวบ้านก็ต้องใช้คำว่า “ปากหมา” ถ้าเขาเป็นผู้ชายปากเสียเธอก็คงจะเป็น...
“ผู้หญิงปากร้าย” ประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของเขา
“พูดขอโทษมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“คุณให้ผมพูดขอโทษคุณเรื่องอะไร เรื่องที่ผมหลุดปากว่าคุณเป็นผู้หญิงปากร้ายน่ะหรือ”
“ป่านไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
“แล้วคุณหมายถึงเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่คุณเคยทำผิดกับป่านไว้เมื่อเช้านี้ไง”
เมื่อปวริศาเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความไม่เข้าใจของเขาทำให้เธอพูดขยายความ
“คุณเห็นรอยเปื้อนเหล่านี้ไหม” หญิงสาวพูดพร้อมกับชี้ไปที่เสื้อของตนเอง
“เห็นแล้วไง”
ภาคภูมิตอบกลับไปด้วยมาดกวนๆ เขารู้สึกสนุกที่ได้พูดจากวนประสาทเธอ การที่ได้เห็นเธอหัวเสียหรือแสดงอาการหงุดหงิดกับคำพูดของเขามันทำให้เขารู้สึกมีความสุข
“มันเป็นฝีมือของคุณ ไม่ต้องมาทำหน้ามึนงงเลย เพราะการขับรถโดยไม่มีมารยาทของคุณทำให้น้ำโคลนมันกระเซ็นมาโดนเสื้อผ้าของป่าน พอป่านจะเตือนให้คุณขับรถอย่างมีมารยาท และใส่ใจคนเดินถนนให้มากกว่านี้คุณก็ไม่ฟังแถมยังรีบขับรถหนีอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นพูดขอโทษมาเดี๋ยวนี้เลย”
เมื่อปวริศาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ และกล่าวหาว่ามันเป็นความผิดของเขา ก็ทำให้ภาคภูมิจำหญิงสาวได้
“อย่าบอกนะว่าคุณคือสาวโรคจิตที่มาเคาะกระจกรถผมเมื่อเช้า”
“สาวโรคจิตอย่างนั้นหรือ...คุณนี่มันปากดีไม่เลิกจริงๆ...ขอโทษมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ถ้าผมพูดขอโทษคุณจะทำให้คุณสบายใจขึ้นใช่ไหม”
“ขอโทษมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ถึงผมจะขอโทษก็ไม่ทำให้เสื้อผ้าของคุณหายเปื้อนได้หรอกจริงไหม”
“แต่คุณก็ควรจะเอ่ยปากขอโทษ”
ภาคภูมิโน้มใบหน้าเข้าไปจนเกือบจะชิดแก้มนวลจนปวริศาถึงกับต้องถอยห่าง
“จะทำอะไรน่ะนายหน้าหนวด”
“ผมแค่อยากจะขอโทษคุณแบบเอ็กซ์ครูซีฟเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะปล้ำคุณซะหน่อย”
“ถอยไปห่างๆ เลย” หญิงสาวพูดพร้อมกับผลักใบหน้าของเขาออกไปให้ห่างจากตัวเธอ
สารวัตรหนุ่มรูปหล่อมาดเท่ยอมถอยห่างออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบคำว่าขอโทษที่ข้างหูเธอ พร้อมกับหลิ่วตาให้เป็นของแถม ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ ทำให้ภาคภูมิจับได้ว่าเธอกำลังรู้สึกเขินอาย เขาจึงเอาแต่จ้องมองหน้าเธอ
“มองอะไรขับรถไปสิ”
ภาคภูมิชี้ไปที่สัญญาณจราจร “คุณจะให้ผมขับรถฝ่าไฟแดงอย่างนั้นหรือ ผมเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นะครับจะให้ผมทำผิดกฎได้อย่างไร”
ปวริศาตวัดสายตาคมค้อนเขาก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง เพื่อจะได้ไม่ต้องทนมองใบหน้ากวนโอ๊ยของอีกฝ่าย นี่ถ้าไม่ติดว่าอยากจะได้ข้อมูลสำหรับรายงานข่าวละก็อย่าหวังว่าจะได้ใกล้ชิดกันแบบนี้ เมื่อสัญญาณไฟเขียวภาคภูมิก็ออกรถไปด้วยความเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่ได้รับแจ้งว่ามีคนพบศพสาวนิรนาม
