บทที่ 5
สองหนุ่มสาวรีบก้าวลงจากรถและเดินตรงไปยังสถานที่ดังกล่าว ภาคภูมิแสดงตัวว่าเขาเป็นตำรวจจึงได้เข้าไปในพื้นที่ที่ถูกกันไว้เพื่อไม่ให้คนนอกเข้า โดยมีปวริศาเดินติดตามไปด้วยไม่ยอมห่าง
“คุณเข้ามาในพื้นที่นี้ได้อย่างไรเขาห้ามคนนอกเข้า”
“คนนอกที่ไหนกันละคะสารวัตรมีแต่คนกันเองทั้งนั้น เอาน่าป่านรับปากว่าจะไม่ก้าวก่ายการทำงานของสารวัตร เพราะฉะนั้นให้ป่านเข้าไปด้วยนะคะ”
ปวริศาพูดพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอน ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างระอาก่อนจะเดินตรงไปถามลูกน้อง
“ได้ความว่าไงบ้างจ่า”
“สันนิฐานเบื้องต้นว่าผู้ตายน่าจะเสียชีวิตมาก่อนที่จะถูกนำศพมาทิ้งไว้ที่นี่ครับ เพราะตรวจไม่พบร่องรอยของการต่อสู้โดยรอบบริเวณนี้” จ่าสิงห์ตอบ
สารวัตรหนุ่มสวมใส่ถุงมือก่อนจะนั่งลงข้างศพหญิงสาวนิรนาม จากนั้นก็หันไปสั่งให้ลูกน้องให้พยายามหาเบาะแสให้ทั่วบริเวณนั้น เผื่อว่าจะเจออะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ชายหนุ่มหันไปถามแพทย์ที่มาช่วยชันสูตรพลิกศพในสถานที่เกิดเหตุ ถึงสาเหตุการตายของหญิงสาวนิรนามคนดังกล่าว
“จากการตรวจสอบขั้นต้นผู้ตายน่าจะเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่าสี่สิบแปดชั่วโมง สาเหตุการตายเกิดจากการถูกรัดคอด้วยเชือกขนาดใหญ่จนขาดอากาศหายใจ สังเกตได้จากรอยช้ำที่รอบบริเวณลำคอ และเท่าที่ดูจากบาดแผลบนใบหน้าและตามลำตัวนั้นน่าจะเป็นบาดแผลที่เกิดจากสารเคมีบางอย่าง สันนิฐานว่าผู้ตายอาจจะโดนสาดน้ำกรดก่อนที่จะถูกฆ่ารัดคอ สำหรับรายละเอียดอื่นๆ คงต้องตรวจพิสูจน์กันอีกครั้ง”
“ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล”
“ใครกันนะที่โหดร้ายถึงเพียงนี้ อันที่จริงสถานที่ตรงนี้ก็เคยเกิดคดีฆ่าข่มขืนมาแล้วหลายครั้ง” จ่ายอดเอ่ย
ในช่วงจังหวะนั้นเองจ่าสิงห์ได้เดินเข้ามารายงานเกี่ยวกับร่องรอยที่พบในที่เกิดเหตุ
“สารวัตรครับพบรอยรองเท้าผ้าใบขนาดใหญ่อยู่ทางด้านโน้น คาดว่าน่าจะเป็นขนาดของผู้ชาย” ภาคภูมิพยักหน้ารับรู้ก่อนจะสั่งให้ลูกน้อง ช่วยกันเก็บเบาะแสทุกอย่างกลับไป เพื่อส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจเช็คอย่างละเอียด
ณ ตรงจุดนี้เองที่ทำให้ปวริศาสัมผัสได้ถึงพลังงานลี้ลับอะไรบางอย่าง เธอมองไปที่ศพของหญิงสาวนิรนามแล้วรู้สึกขนลุกทั้งตัวโดยไม่มีสาเหตุ ฉับพลันเธอก็ได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้น
“ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย”
ปวริศาขยับไปชิดภาคภูมิโดยอัตโนมัติ ทันทีที่ได้ยินเสียงปริศนาของใครคนหนึ่งลอยมากระทบหู
“เป็นอะไรคุณ”
“พวกคุณได้ยินเสียงนั้นไหม”
“เสียงอะไรหรือครับคุณป่าน” จ่ายอดเอ่ยถาม
“ก็เสียงของผู้หญิงที่ร้องขอความช่วยเหลือนะสิจ่ายอด”
“เราไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนะครับ คุณป่านหูแว่วไปเองหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีใครได้ยินเสียงของผู้หญิงที่ร้องขอความช่วยเหลือบ้างเลยหรือคะ” ปวริศาถามย้ำอีกครั้ง
จ่ายอดกับจ่าสิงห์พากันส่ายหน้าแทนคำตอบ พวกเขาไม่ได้ยินเสียงแปลกปลอมของใครแต่อย่างใด
“สงสัยวิญญาณของผู้ตายคงจะต้องการมาร้องขอความช่วยเหลือจากคุณ คุณก็เลยได้ยินอยู่คนเดียว”
เมื่อภาคภูมิพูดเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้คนที่กลัวผีขึ้นสมองอย่างปวริศาถึงกับขนลุกซู่ทั้งตัวอีกครั้ง แต่ด้วยจิตวิญญาณของนักข่าวทำให้เธอพยายามข่มความกลัว และเก็บภาพรวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อที่จะกลับไปรายงานข่าว
จนกระทั่งมีการมานำศพกลับไป เพื่อให้ทางสถาบันนิติเวชชันสูตรพลิกศพอีกครั้งอย่างละเอียด ทันทีที่ศพของหญิงสาวนิรนามถูกเคลื่อนย้ายผ่านตัวปวริศาไปนั้น เธอก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นอีกครั้ง ในครั้งนี้มันชัดเจนและดังราวกับว่ามายืนพูดอยู่ข้างหู
“ช่วยด้วย...ได้โปรดช่วยฉันด้วย” หญิงสาวถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง
“เสียงนั่นมันดังขึ้นอีกแล้ว...พวกคุณได้ยินหรือเปล่า”
สามตำรวจหนุ่มต่างก็พร้อมใจกันส่ายหน้า
หมายความมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ปวริศารู้สึกกลัวและไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเธอจึงได้ยินเสียงปริศนานั้นแต่เพียงลำพัง
หลังจากที่ปวริศาได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงพลังงานลี้ลับบางอย่างที่อยู่รอบตัวเธอ แม้จะพยายามเรียกขวัญและกำลังใจของตนเอง แต่คนที่กลัวผีขึ้นสมองอย่างเธอก็ยังไม่วายที่จะวิตกจริต และรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อหันมองไปรอบๆ ตัวกลับไม่พบใครที่กำลังจ้องมองมาที่ตัวเธอ มันยิ่งทำให้ปวริศากลัวมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่ก็พยายามที่จะข่มความกลัวเอาไว้ และตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด เธอพยายามเก็บภาพในบริเวณนั้นอย่างละเอียด เผื่อว่าจะเป็นข้อมูลให้เธอใช้ในการรายงานข่าว เมื่องานทุกอย่างเสร็จสิ้นลงสารวัตรก็สั่งให้ลูกน้องทุกคนกลับไปที่โรงพัก
ในขณะที่ภาคภูมิกำลังจะเดินกลับไปขึ้นรถของตนเองนั้น เขาได้หันไปมองนักข่าวสาวฝีปากกล้าซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากตัวเขามากนัก เขาพบว่าเธอกำลังเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกับจะมองหาอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเอ่ยถามปวริศาว่าจะกลับไปที่สถานีตำรวจพร้อมกับเขาหรือไม่ หญิงสาวส่ายหน้าก่อนที่จะตอบ
“ไม่ค่ะป่านจะกลับไปที่ออฟฟิศ”
“ออฟฟิศของคุณอยู่ที่ไหน”
“ก็อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของสารวัตรนักหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งรถผมไปลงที่สน.แล้วคุณค่อยต่อรถไปที่ออฟฟิศของคุณ”
“ป่านไม่อยากรบกวนสารวัตรมากไปกว่านี้”
“ถ้าไม่ไปกับผมแล้วคุณจะกลับยังไง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงป่านหรอกนะคะสารวัตร ป่านหาทางกลับเองได้”
“ตกลงคุณจะกลับเอง”
“ค่ะ” ปวริศายังยืนยันคำตอบเดิม
“ทั้งที่หน้าของคุณซีดอย่างกับไก่ต้มแบบนี้”
ปวริศาพยักหน้าแทนคำตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ”
ภาคภูมิไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมถึงรู้สึกไม่สบายใจที่จะทิ้งเธอไว้ที่นี่เพียงลำพัง เมื่อชายหนุ่มก้าวเดินจากไป ความกลัวก็แล่นเข้ามาสู่หัวใจของเธออีกครั้ง เธอรู้สึกเหมือนมีใครมายืนอยู่ข้างตัวเธอแต่เมื่อหันกลับไปมองก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า ความรู้สึกนี้มันทำให้ปวริศาถึงกับก้าวหาไม่ออก ในช่วงจังหวะนั้นเองสารวัตรหนุ่มมาดเท่ก็เดินกลับมาฉุดมือเธอให้ก้าวเดินตามเขาไป
“สารวัตรมาฉุดมือป่านทำไมคะจะพาป่านไปไหน”
“ผมก็จะไปส่งคุณนะสิ”
เขาเดินไปเปิดประตูรถด้านคนขับ และหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้หญิงสาวขึ้นรถ
“ขึ้นรถสิ...เร็วเข้า”
ปวริศายอมก้าวขึ้นรถของเขาแต่โดยดีโดยไม่รอให้เขาต้องเอ่ยปากชวนซ้ำ ในครั้งนี้สารวัตรหนุ่มรู้สึกว่าหญิงสาวข้างกายเงียบผิดปกติ และเอาแต่คอยเหลือบมองกระจกด้านหน้ารถอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็เหลียวกลับไปมองที่นั่งด้านหลังด้วยความหวาดระแวง ภาคภูมิถามหญิงสาวว่ามองอะไรแต่เธอก็ไม่ตอบ จนกระทั่งเขาขับรถมาจอดหน้าอาคาร ซึ่งเป็นที่ทำการของหนังสือพิมพ์รายวันชื่อดัง “เดอะแบงค็อกไทมส์” แต่ปวริศาก็ไม่มีทีท่ารับรู้และยังคงนั่งนิ่งเฉย เหมือนตกอยู่ในภวังค์ทำให้ชายหนุ่มต้องเอ่ยถาม
“ไม่ลงหรือไงคุณถึงแล้วนะ”
“ถึงสน. แล้วหรือคะ” หญิงสาวถามพร้อมกับหันไปปลดเข็มขัดนิรภัย
“ออฟฟิศของคุณต่างหาก ใจลอยไปอยู่ที่ไหนถึงไม่รู้ว่าผมขับมาส่งคุณที่นี่”
ปวริศาก้าวลงจากรถโดยไม่ลืมที่จะขอบคุณสารวัตรหนุ่ม สำหรับความมีน้ำใจที่เขาอุตส่าห์ขับรถมาส่งเธอถึงออฟฟิศทั้งที่มันไม่ใช่ทางผ่าน
“ขอบคุณมากนะคะสารวัตรที่ขับรถมาส่งป่าน”
“ด้วยความยินดี” ภาคภูมิตอบก่อนจะออกรถไปด้วยความเร็วสูง
