บทที่ 3
“คุณไม่ควรที่จะวิจารณ์คนที่คุณยังไม่รู้จักตัวตนของเขาดีพอนะ”
ปวริศาหันกลับไปมองยังทิศทางของเสียงปริศนานั้น เธอพบผู้ชายหน้าหนวดกำลังยืนทำหน้าบึ้งตึงใส่เธอ แต่เธอหากลัวไม่นอกจากจะไม่กลัวแล้ว เธอยังกล้าที่จะต่อปากต่อคำกลับไปอีกต่างหาก หญิงสาวเดินไปยืนเผชิญหน้าเขา สองหนุ่มสาวต่างฝ่ายต่างก็จำกันไม่ได้ อาจเป็นเพราะตอนที่พบกันชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดบดบังใบหน้าเอาไว้ ส่วนภาคภูมิเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจที่จะจดจำใบหน้าของสาวโรคจิต ที่จู่ๆ ก็เดินมาเคาะกระจกรถของเขา
“ฉันจะพูดถึงใครหรือจะวิจารณ์ใครมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ”
“เกี่ยวสิทำไมจะไม่เกี่ยว”
“เกี่ยวกันยังไง คนที่ฉันกำลังพูดถึงคือสารวัตรคนใหม่ ที่เพิ่งจะย้ายเข้ามารับตำแหน่งที่นี่เมื่อสัปดาห์ก่อน แล้วมันไปหนักอวัยวะส่วนไหนของคุณมิทราบ ที่สำคัญฉันไม่ได้พูดกับคุณ” ปวริศาลอยหน้าลอยตาพูด
“ผมคือผู้ชายที่คุณกำลังวิจารณ์อย่างสนุกปาก ทั้งที่เรายังไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ”
ภาคภูมิเฉลยคำตอบถึงความเกี่ยวข้องที่อีกฝ่ายถามถึง แต่ปวริศาไม่เชื่อคำพูดของเขา
“เชอะ! นี่คุณกล้าสวมรอยเป็นสารวัตรตำรวจเชียวหรือ ระวังจะเจอข้อหาหนักนะ”
“ทำไมคุณถึงไม่เชื่อว่าผมเป็นสารวัตรของท้องที่นี้”
“หน้าอย่างคุณเหมาะที่จะเป็นคนร้ายซะมากกว่าเป็นตำรวจ นี่ถ้ามีใครบอกฉันว่าคุณเป็นหัวหน้าโจรฉันก็เชื่อนะ เพราะหน้าของคุณมันฟ้อง”
“คุณไม่ควรมองคนที่เปลือกนอก เพราะบางทีสิ่งที่คุณเห็นอาจจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา และถ้าคุณยังไม่รู้จักเขาดีพอก็ไม่ควรที่จะวิจารณ์เขาในทางที่เสียๆ หายๆ”
“คุณมีสิทธิอะไรมาสั่งสอนฉัน” หญิงสาวย้อนกลับไปด้วยความไม่พอใจ
“ทีคุณยังวิจารณ์ผมได้อย่างเสรีแล้วทำไมผมจะแนะนำสิ่งที่ดีดีให้กับคุณบ้างไม่ได้จริงไหม”
“การที่คุณจะแนะนำอะไรใคร ก็ควรที่จะต้องถามความเห็นของคนคนนั้นก่อนมิใช่หรือ ว่าเขาต้องการคำแนะนำอะไรจากคุณไหม เพราะฉะนั้นก่อนที่จะแนะนำอะไรฉันก็ควรที่จะถามฉันบ้างอะไรบ้าง ไม่ใช่นึกจะพล่ามอะไรก็ได้ตามใจชอบ”
“ในเมื่อคุณยังวิจารณ์ผมในแง่ลบได้เลยแล้วทำไมผมจะสั่งสอนคุณบ้างไม่ได้”
“นี่คุณจะให้ฉันเชื่อจริงๆ หรือว่าคุณเป็นสารวัตรคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาประจำที่สน.นี้”
“ใช่...มีปัญหาอะไรไหม” ภาคภูมิตอบกลับไปด้วยมาดกวนไม่แพ้กัน
“ฉันว่าคุณไปหลอกเด็กอมมือดีกว่านะ”
ปวริศาตอบกลับไปเช่นนั้นเพราะเธอไม่เชื่อถือคำพูดของเขา แต่เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของเขาแล้วมันทำให้เธอต้องหันไปหาคำยืนยันจากจ่ายอดและจ่าสิงห์ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากถามเพียงแค่หันกลับไปมองบุคคลทั้งสอง เธอก็เห็นจ่ายอดและจ่าสิงห์พยักหน้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เพื่อยืนยันคำตอบของสารวัตรมาดเท่ซึ่งเป็นเจ้านายคนใหม่ของพวกเขา
“หา! อะไรจะซวยปานนั้น ตั้งใจจะมาทำความรู้จักสนิทสนมกับเขา แต่ดันมาทะเลาะกับเขาซะนี่”
ปวริศารับรู้ถึงความผิดพลาดของตนเอง เธอพยายามที่จะปรับอารมณ์ความรู้สึก รวมถึงสีหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจในตัวสารวัตรหนุ่มมาเป็นใบหน้าที่เปื้อนยิ้มแทน ทั้งนี้เพื่อเห็นแก่หน้าที่การงานในอนาคตของตนเอง เพราะเธออาจจะต้องพึ่งพาข้อมูลจากสารวัตรมาดกวนที่ยืนอยู่ข้างตัว ดั่งคำพังเพยที่ว่า “น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” ฉะนั้นเธอจึงต้องเก็บความไม่พอใจเอาไว้ภายใน หรือที่โบราณว่าไว้ “น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก”
หญิงสาวหันกลับไปยืนเผชิญหน้าสารวัตรหนุ่มอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งกล่าวขอโทษอีกฝ่าย
“ขอโทษนะคะสารวัตรสำหรับคำพูดและกิริยาที่ไม่เหมาะสม หวังว่าสารวัตรคงจะไม่ถือสาหาความ”
“ผมไม่ถือสาหาความคนที่ทำผิดแล้วรู้จักสำนักตัวได้ว่าเคยทำผิดพลาดลงไปหรอกครับ และผมก็รู้สึกทึ่งที่คุณเปลี่ยนสีได้ไวเหมือนจิ้งจก ผมหมายถึงสามารถปรับตัวได้ดีในทุกๆ สถานการณ์”
ปวริศาโกรธที่ชายหนุ่มตรงหน้าถือโอกาสนี้หลอกด่าเธอแบบเนียนๆ แต่ก็ต้องพยายามข่มความโกรธของตัวเองเอาไว้ ทำได้แค่กระตุกยิ้มที่มุมปากเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากแนะนำตัวเอง
“ขออนุญาตแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ป่าน ปวริศาค่ะ นักข่าวสายอาชญากรรมของเดอะแบงค็อกไทมส์ยินดีที่ได้รู้จักกับสารวัตร...”
หญิงสาวละชื่อเขาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายแนะนำตัวเอง
“ผมชื่อภาคภูมิ”
“ภาคภูมิ” ปวริศาทวนชื่อของนายตำรวจหนุ่มหน้าหนวดอีกครั้ง
“สงสัยว่าตอนที่คุณแม่ของคุณตั้งท้องคุณ ท่านคงจะดีใจและภาคภูมิใจมากก็เลยตั้งชื่อคุณแบบนี้”
สารวัตรหนุ่มตวัดสายตาคมกล้ามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เมื่อเธอกล่าวพาดพิงถึงบุคคลสำคัญในชีวิตของเขา ปวริศาทำหน้าใสซื่อและแสร้งทำหน้าตกใจพร้อมกับยกมือปิดปากตนเอง
“อุ๊บส์! ป่านพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ ถ้าคำพูดของป่านทำให้สารวัตรไม่พอใจ หรือรู้สึกไม่สบายใจละก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ป่านไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดพาดพิงถึงบุคคลอันเป็นที่รักของสารวัตรหรอกนะคะ หวังว่าสารวัตรคงจะไม่ถือสาคำพูดของป่าน และยินดีที่ได้รู้จักกับสารวัตรภาคภูมิอย่างเป็นทางการ ขอให้มิตรภาพระหว่างเราดำเนินไปได้ด้วยดี”
ปวริศาพูดพร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าชายหนุ่ม โดยปกติแล้วเธอจะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าป่านกับคนที่สนิทสนมด้วยเท่านั้น แต่กับชายหนุ่มตรงหน้าเธอยกให้เป็นกรณีพิเศษ เพราะเธอต้องการสร้างความสนิทสนมกับเขา เผื่อว่าในอนาคตเธออาจจะต้องพึ่งพาอาศัยข้อมูลบางอย่างจากเขา จึงต้องเร่งทำความสนิทสนมกันไว้แต่เนิ่นๆ
ภาคภูมิยื่นมือออกไปสัมผัสกับมือเรียวบางของเธอพร้อมกับออกแรงดึง หญิงสาวไม่ทันได้ระวังตัวและไม่คิดว่าเขาจะทำเช่นนั้น เธอจึงเซถลาเข้าไปปะทะอกเขาอย่างง่ายดาย ใบหน้าของทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันมากจนจมูกของเขาแทบจะชนกับแก้มเนียนใสของเธอ ใบหน้าของปวริศาเริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อพร้อมกับใจที่เต้นแรง จนหญิงสาวเกรงว่าเขาจะได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจเธอ
“ครับผมเองก็ยินดีที่ได้รู้จักตัวป่วนของสน.”
ภาคภูมิปล่อยเธอให้เป็นอิสระเมื่อพูดจบประโยค คำพูดของเขาทำให้เธอหงุดหงิดและหัวเสียอย่างมาก “คุณพูดว่าป่านเป็นตัวป่วนของสน.นี้อย่างนั้นหรือ ป่านมาป่วนที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร ไหนล่ะหลักฐาน”
“ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผมนี่ไง”
“ป่านมาที่นี่ในฐานะพลเมืองดีนำอาหารเช้ามาฝาก ตำรวจที่คอยดูแลพวกเราแล้วมันผิดตรงไหน”
