บทที่ 3 รถม้าปริศนา (2)
ไป๋เฉินเซียงกระชับห่อผ้ามุ่งหน้าไปต่อ ทางสายนี้เลือกแล้วไม่อาจย้อนกลับ ไป๋เฉินเซียงแหงนมองผืนฟ้าก็เห็นว่าเริ่มย้อมด้วยสีทองเรือง ๆ แล้ว บรรยากาศเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางหวาดกลัวที่สุด ดูเหมือนว่าจะเข้าถึงช่วงปลายยามอิ๋นแล้ว เกรงว่าไม่นานบิดาของนางจะต้องล่วงรู้เรื่องที่นางหนีออกมา
ไป๋เฉินเซียงสับเท้าด้วยความเร่งร้อน หางตาของนางเหลือบเห็นร้านขายอาภรณ์แห่งหนึ่งเปิดพอดี ไป๋เฉินเซียงลดสายตามองอาภรณ์ที่สวมใส่ก็นึกบางอย่างออก
มิสู้เปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายบุรุษน่าจะคล่องตัวและปลอดภัยกว่า
ไป๋เฉินเซียงรอบคอบเสมอ นางหยิบผ้าแพรออกมาผูกเพื่อใช้บดบังใบหน้าครึ่งล่าง ขาเสลาเหยียบเข้าไปในร้านพลางกวาดสายตาสำรวจหาสิ่งที่ตนต้องการ
“คุณหนู ออกจากเรือนแต่เช้าเลยหรือขอรับ”
ไป๋เฉินเซียงพยักหน้า หลงจู๊ที่มาต้อนรับหน้าเจื่อน เขาแอบเห็นห่อผ้าในมือของนาง ไป๋เฉินเซียงรู้ว่าถูกจับตามองก็ซ่อนห่อผ้าไว้เบื้องหลัง
หลงจู๊ผู้นี้คิดว่าไป๋เฉินเซียงเป็นคนต่างถิ่น เขาจึงอยากนำเสนอสินค้าสุดพิเศษ ทว่ามือของนางกลับชี้ไปยังอาภรณ์บุรุษตัวหนึ่ง
หลงจู๊นิ่งไปพักหนึ่ง พริบตาก็ยิ้มจนตาหยี “คุณหนูท่านตาถึงยิ่งนัก นี่เป็นสินค้าตัวใหม่จากทางร้านเลยขอรับ แม้จะไม่ได้ตัดเย็บโดยเฉพาะแต่เนื้อผ้าละเอียดมาก ไม่ทราบว่าจะนำไปเป็นของฝากให้...”
ไป๋เฉินเซียงตัดบท “ลองได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ขอรับ ว่าแต่…” หลงจู๊ชะเง้อคอยาว เพราะหากจะลองก็ต้องให้บุรุษมาลองไม่ใช่หรือ
“ข้าจะลองเองเจ้าค่ะ บังเอิญว่าพวกเรารูปร่างไม่ต่างกันนัก”
“อ้อ…อย่างนี้นี่เอง เชิญ เชิญขอรับ”
พริบตาไป๋เฉินเซียงก็ออกมาพร้อมเครื่องแต่งกายบุรุษทะมัดทะแมง ผ้าที่นางเลือกสวมใส่มองดูให้ความรู้สึกสบายตา เป็นการปักลายก้อนเมฆคล้อยนภาสีคราม อีกทั้งไป๋เฉินเซียงยังเกล้าผมใหม่และสวมกวานหยกเอาไว้ดูสะอาดสะอ้านดั่งคุณชายน้อย หากนางไม่บดบังใบหน้าครึ่งล่างไว้ เกรงว่าสตรีใดได้พบก็ต้องมองตาค้างกันเลยทีเดียว
“งดงามมากขอรับ”
“ข้าเอาชุดนี้” ไป๋เฉินเซียงวางก้อนตำลึงเงินลงไป
“ขอบคุณขอรับ” หลงจู๊หลุบตามองก้อนตำลึงเงินบนโต๊ะ เขาง่วนหาเงินทอนสักพัก “จะห่อด้วยหรือไม่ขอรับ” ครั้นยืดตัวขึ้น ไป๋เฉินเซียงก็จากไปไม่เห็นแผ่นหลังเสียแล้ว
“อะ...อ้าว เงินทอนก็ไม่เอา ห่อก็ไม่ห่อ นี่นางจะสวมอาภรณ์บุรุษไปทั้งอย่างนั้นเลยรึ” หลงจู๊เกาศีรษะแกรกกราก
ไป๋เฉินเซียงกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ประตูทางออกตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่กี่อึดใจก็จะถึง ไป๋เฉินเซียงมือสั่นเบา ๆ นางยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเม็ดละเอียดที่ซึมออกมากลางหน้าผาก
“นี่พวกเจ้า เห็นคุณหนูคนนี้หรือไม่” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง
ไป๋เฉินเซียงใจกระตุกวูบ ยามนี้ผู้คนเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอยแล้ว ไป๋เฉินเซียงไม่คิดเลยว่าเรือนสกุลไป๋จะอยู่ห่างตัวเมืองถึงเพียงนี้ นางต้องใช้เวลาแทบทั้งคืนกว่าจะถึงที่หมาย
นายตรวจการเดินเทียบภาพวาดกับเหล่าสตรีบนทางเท้าไปเรื่อย ๆ ไป๋เฉินเซียงหลั่งเหงื่อเย็นออกมาจนโซมแผ่นหลัง นางเผลอเกร็งหัวไหล่โดยไม่รู้ตัว
ไป๋เฉินเซียงซุ่มหลบอยู่ด้านหลังชายผู้หนึ่งอย่างแนบเนียน ประหนึ่งว่านางร่วมเดินทางมากับเขา นัยน์ตาหงส์ลอบมองภาพที่นายตรวจการผู้นั้นถืออยู่ ก็พบว่าเป็นใบหน้าของตนเด่นหราอยู่กลางกระดาษ
จมูกไวเพียงนี้เชียว ฟ้าเพิ่งสางไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ บัดซบ!
เพราะตามท้องถนนผู้คนเริ่มออกมาสัญจรจนคลาคล่ำ มีทั้งเดินเท้าทั้งรถม้าที่ขับเคลื่อนไปมาก็รู้สึกตาลาย บรรดานายตรวจการทั้งหลายแยกย้ายเพื่อตามหาตัวไป๋เฉินเซียงอย่างขมีขมัน พวกเขาแทบไม่ปล่อยผ่านแม้แต่บุรุษ
ก่อนที่นายตรวจการจะเข้าถึงตัวไป๋เฉินเซียง นางก็เหลียวไปเห็นรถม้าคันหนึ่ง ลักษณะน่าเกรงขามประหลาดตาไม่คล้ายรถม้าทั่วไป สิ่งที่ดึงความสนใจของไป๋เฉินเซียงได้มากกว่าอื่นใดก็คือ รถม้าคันนี้กำลังมุ่งหน้าออกจากตัวเมืองเป็นคันแรก
ไป๋เฉินเซียงมองเห็นแสงสว่างอยู่รำไร เท้าเล็กเริ่มสลับขึ้นลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จวบจนเข้าใกล้เป้าหมาย มือเรียวก็คว้าเสาต้นหนึ่งไว้ได้
ในขณะที่สารถีไม่ทันรู้ตัว ร่างระหงก็โยนกายตนเองขึ้นไป เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากทำให้ไป๋เฉินเซียงทรงตัวไม่อยู่ กายของนางกลิ้งหลุน ๆ เข้าไปด้านในสุด
ไป๋เฉินเซียงพบว่าตนนอนพังพาบอยู่ตรงปลายเท้าของใครบางคน นางแหงนหน้าขึ้นแช่มช้าก็เกิดผงะแทบหยุดหายใจ เพราะตนกำลังถูกปลายมีดคมกริบสีเงินสะท้อนแสงวาววับยื่นจ่อเอาชีวิตที่กลางหน้าผาก
“เจ้าเป็นใคร ไยอาจหาญรุกล้ำรถม้าของข้า” เสียงทุ้มเอ่ยเย็นยะเยือก แววตาของเขาแข็งกระด้างดั่งไร้จิตวิญญาณ
เชิงอรรถ
^
ยามอิ๋น (寅:yín) เริ่มนับตั้งแต่เวลา 03.00 – 05.00 น.
^
หลงจู๊ หมายถึง ผู้จัดการ
