บทที่ 3 รถม้าปริศนา (1)
ต้นยามโฉ่ว
เสียงลมโกรกหวีดหวิวดังอยู่ข้างหู สตรีสองนางจับจูงมือกันมุ่งหน้าอยู่บนเส้นทางอันมืดมิด แขนขาทั้งสองข้างเริ่มอ่อนล้าไร้กำลังลงทุกขณะ
“คุณหนู เราจะไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ” โปหรานหน้าซีดขาวเหงื่อเปียกโซมเต็มแผ่นหลัง
“อาหรานเราแยกกันตรงนี้เถิดนะ เจ้ากลับบ้านเดิมของเจ้า แล้วนำเงินก้อนนี้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”
โปหรานจับมือไป๋เฉินเซียงแน่นพลางส่ายหน้าระรัวเร็ว ดวงตาแดงก่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำตา “คุณหนูบ่าวเป็นห่วงท่าน ท่านจะไปที่ใดให้บ่าวไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ”
ดวงตาสุกสกาวฉายแววความเอื้ออาทร เพราะไป๋เฉินเซียงเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากที่ตรงไหน เดิมทีไป๋เฉินเซียงถูกเลี้ยงดูให้อยู่ติดในจวน ทว่าครั้งหนึ่งนางเคยขึ้นเขาไปไหว้พระขอพรที่วัดเฉินหลิงกับมารดาในตอนที่มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่
ไป๋เฉินเซียงเล่นซ่อนแอบกับเด็กชายคนหนึ่ง ดูเหมือนเขาก็มาที่นี่กับมารดาเช่นเดียวกัน ตอนนั้นนางและเขาต่างก็เด็กด้วยกันทั้งคู่ แม้อีกฝ่ายดูโตกว่าแต่นั่นนับเป็นเรื่องเมื่อชาติก่อน ไป๋เฉินเซียงจำหน้าค่าตาของเขาไม่ได้แล้ว
วิ่งเล่นกันไปมาไป๋เฉินเซียงก็หลงเข้าไปในอารามด้านใน จึงได้เห็นว่าที่วัดเฉินหลิงไม่ใช่เพียงวัดเก่าที่อยู่บนเนินเขาทึมทึบธรรมดา ทว่ากลับเป็นถึงสำนักศึกษาของหมอหัตถ์เทวดาที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แม้ตอนนั้นไป๋เฉินเซียงอายุเพียงไม่กี่หนาว แต่นางก็พอรู้ความบ้างแล้ว
ไป๋เฉินเซียงเคยนึกสงสัยมาโดยตลอด หากมารดาของนางอยากไหว้พระขอพรไยต้องตรากตรำเพียงนี้ ทั้งที่วัดในเมืองหลวงก็มีตั้งมาก ทว่ากลับเลือกบากบั่นเพื่อมาขอพรยังวัดเก่าคร่ำคร่าที่ไร้ผู้คน หนำซ้ำบรรยากาศยังวิเวกวังเวงประหนึ่งวัดร้าง หากไม่มีองค์พระพุทธรูปตั้งอยู่ และมีนักพรตอาศัย ไป๋เฉินเซียงคงคิดว่าที่นี่เป็นเพียงซากปรักหักพังแห่งหนึ่งเท่านั้น
แท้ที่จริงมารดาของไป๋เฉินเซียงก็เป็นลูกศิษย์ของนักพรตที่นี่ มารดาของไป๋เฉินเซียงมีนามว่า เยว่ซิน นางคือหมอหญิงหัตถ์เทวดาผู้เก่งกาจ ซ้ำยังเติบโตที่วัดเฉินหลิงตั้งแต่แบเบาะ
เยว่ซินเป็นเด็กกำพร้า อยู่มาวันหนึ่งนางได้พบเข้ากับชายบาดเจ็บโดยบังเอิญที่ตีนเขา เยว่ซินตัดสินใจช่วยชีวิตเขาไว้จนเกิดมีใจให้กัน ผู้ใดจะทันคาดคิดว่าหมอหญิงผู้ปราดเปรื่องจะส่งตัวเองไปลงนรก ณ จวนสกุลไป๋ เพราะคำว่ารักบังตาคำหวานของบุรุษลวงใจทำให้นางแต่งเข้าจวนสกุลไป๋เงียบ ๆ
เยว่ซินร่ำลาอาจารย์เพื่อออกเดินทางไปยังจวนสกุลไป๋พร้อมกระเตงท้องที่เริ่มโตขึ้นทุกวันไปด้วย กระนั้นเมื่อไปถึง เยว่ซินจึงได้รู้ว่าบุรุษที่นางมอบทั้งตัวและใจให้เขามีฮูหยินและลูกรออยู่ที่จวน นางจึงเป็นได้เพียงอนุผู้ต่ำต้อย หลังให้กำเนิดไป๋เฉินเซียงจนนางอายุครบห้าหนาว เยว่ซินก็ด่วนจากไปด้วยไข้ใจอันเรื้อรัง
มิน่าเล่าไป๋เฉินเซียงจึงชอบศึกษาเกี่ยวกับตำราพืชสมุนไพร นางสามารถจดจำรายละเอียดเรื่องการรักษาโรคต่าง ๆ ได้ แม้จะลอบเรียนรู้ด้วยตนเองก็ตาม แต่ก็นับว่าไป๋เฉินเซียงเรียนรู้ได้ไวอย่างยิ่ง อาจเพราะนางได้รับสืบทอดจิตสำนึกการเป็นหมอผ่านสายเลือดมาจากมารดาเต็มตัว
ตอนไป๋เฉินเซียงอายุได้เจ็ดหนาว นางยังเคยร้องขอบิดาเพื่อร่ำเรียนเกี่ยวกับการแพทย์ ทว่าไป๋จื่อเหิงกลับไม่เห็นด้วย หยางปิ่งอี้ก็ขัดขวาง ไป๋เฉินเซียงจึงได้ร่ำเรียนแค่เพียงการเย็บปักถักร้อย วาดภาพ เล่นดนตรีเฉกเช่นสตรีทั่วไป ต่อให้เป็นเช่นนั้นนางก็ยังลอบเข้าหอตำราของสกุลไป๋อยู่บ่อยครั้งโดยไม่มีผู้ใดจับพิรุธได้
ในชาตินี้ไป๋เฉินเซียงพบทางสว่างของตนแล้ว หากนางเลือกเดินไม่ผิด นางจะขอเป็นหมอหญิงหัตถ์เทวดาเฉกเช่นมารดาของตน การตายอย่างอยุติธรรมของไป๋เฉินเซียงในชาติก่อนต้องได้รับการสะสางจนสิ้น
เพียงแต่ไป๋เฉินเซียงไม่อาจเดินดุ่ม ๆ เข้าไปยังจวนสกุลหลาน แล้วยกเอาอดีตที่ผันผ่านมาเรียกร้องหาความยุติธรรมให้ตนได้ ไป๋เฉินเซียงจำเป็นต้องมีความสามารถเพียงพอที่จะต่อกรกับพวกเลวทรามไร้หัวใจก่อน เพราะหากใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ก็รังแต่เป็นการขุดหลุมฝังตนเช่นเดิม
เรื่องแก้แค้นทวงคืนความเป็นธรรมหากยังมีลมหายใจ สิบปีก็ยังไม่สายมิใช่หรือ
“อาหราน หากเราเดินทางไปด้วยกันต้องถูกท่านพ่อเจอตัวแน่”
แม้ไป๋จื่อเหิงเป็นเพียงขุนนางขั้นหก เขาก็มีอำนาจเพียงพอจะส่งเรื่องขอตรวจสอบคนเข้านอกออกในกำแพงเมืองได้ ดังนั้นไป๋เฉินเซียงจำเป็นต้องเดินทางออกจากเมืองให้ทันก่อนฟ้าสาง
คาดการณ์จากท้องนภาในยามนี้ อีกไม่กี่ชั่วยามพระอาทิตย์ก็คงโผล่มาแทนที่ นางต้องเร่งฝีเท้าอีกหน่อย ไม่เช่นนั้นจุดจบต้องไม่พ้นชะตาชีวิตเดิม
ไป๋เฉินเซียงตรองอยู่นาน เสียงใสเอ่ยเพื่อประโลมจิตใจโปหราน “อาหราน ข้าสัญญาว่าจะรักษาตัวเองให้ดี และข้าก็หวังว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ได้แต่งงานกับคนที่รัก มีครอบครัวสุขสันต์ และได้ใช้ชีวิตดั่งใจปรารถนา”
โปหรานน้ำตาไหลพรากร้องไห้โฮดั่งทำนบแตก “ฮึก…ฮื่อ…คุณหนู บ่าวไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูจึงเลือกเส้นทางนี้ แต่ในเมื่อเป็นความตั้งใจของท่าน เช่นนั้นบ่าวจะไม่ขวาง คุณหนูรักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ”
ไป๋เฉินเซียงยกมือลูบหลังโปหราน นางเองก็ชอกช้ำไม่ต่าง แต่ก็ไม่อาจฉุดใครให้มาเสี่ยงกับแผนการของตนได้ “ข้าเชื่อว่าเราจะต้องได้พบกันอีก อาหราน รักษาตัวด้วย” เสียงใสอ่อนโยนคล้ายสายน้ำเย็นที่อาบชโลมจิตใจซึ่งอ่อนล้า ไป๋เฉินเซียงดึงปิ่นปักผมอันล้ำค่าลงมา จากนั้นก็ยัดเข้าไปในมือโปหราน
โปหรานไม่รับ นางส่ายหน้าและยื่นมันคืนให้ไป๋เฉินเซียง ไป๋เฉินเซียงยิ้มอ่อน “เจ้ารับไว้ ข้าจะได้สบายใจ เอามันไปขายรวม ๆ กับเงินในนั้นคงพอให้เจ้าได้มีที่พักดี ๆ จนกว่าจะหาหนทางของตนเจอ”
โปหรานยิ้มขื่นขม นางพูดไม่ออกพลางกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่กลางลำคอลงไป ท้ายที่สุดโปหรานก็ยอมกำปิ่นนั้นเอาไว้แล้ว
โปหรานพยักหน้าหงึกหงัก “เจ้าค่ะคุณหนู ท่านเองก็รักษาตัวด้วย”
ไป๋เฉินเซียงพยักหน้า ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำพราวระยับ ไม่นานทั้งสองก็เลือกผละจากกันอย่างสุดอาลัยและมุ่งหน้าออกเดินทางไปคนละทิศ
เชิงอรรถ
^ ยามโฉ่ว (丑:chǒu) เริ่มนับตั้งแต่เวลา 01.00 – 03.00 น.
