บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 หลีกหนีดวงชะตา (1)

โจ๊กอั้นเซียงกลิ่นหอมกรุ่นถูกยกเข้ามาวางข้างหัวเตียง ไป๋เฉินเซียงปรายตามองด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย

“คุณหนูอาการเพิ่งดีขึ้น ทานโจ๊กสักหน่อยนะเจ้าคะ”

โปหรานตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งคำ จากนั้นเป่าเพื่อไล่ไอระอุที่พวยพุ่งขึ้นกลางอากาศจนเป็นควันสีขาวกระทั่งค่อย ๆ จางลง

“อาหราน ไม่เป็นไร ข้ากินเองได้”

“เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวช่วยนะเจ้าคะ” โปหรานวางช้อนกระเบื้องเคลือบลงในถ้วยดังเดิม จากนั้นเข้ามาช่วยประคองไป๋เฉินเซียงให้ขยับกายได้สะดวก ต่อมาก็คว้าถ้วยโจ๊กส่งให้ไป๋เฉินเซียง

“ขอบใจนะ”

มือเรียวหยิบช้อนขึ้นมา ไป๋เฉินเซียงคนอาหารเหลวในถ้วยเล็กน้อยเพื่อให้โจ๊กคลายความร้อนสักพัก ระหว่างนี้จิตใจก็ล่องลอยกระทั่งนึกถึงความเป็นอยู่ของตนเมื่อชาติก่อน

โจ๊กอั้นเซียงนับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศรสชาติไม่เลว ทว่าในยามนั้นที่นางเป็นอนุท้ายจวนหวังเหว่ยไป๋เฉินเซียงได้กินเพียงโจ๊กต้มเกลือกับผักลวกแสนจืดชืด ทั้งยังถูกฮูหยินใหญ่โขกสับประหนึ่งวัวม้าก็ไม่ปาน

กระทั่งวันหนึ่งฝนตกลมแรง ไป๋เฉินเซียงก็ยังถูกกดหัวใช้ให้ไปหาบน้ำเพื่อนำมาต้มให้ฮูหยินใหญ่ได้อาบ วันต่อมาไป๋เฉินเซียงก็เกิดล้มป่วย อาหารที่นางได้รับเพื่อใช้ประทังความหิวในยามนั้นก็คือ โจ๊กเปล่าอันแสนจืดจางหนึ่งถ้วยกับน้ำไม่กี่อึก

“คุณหนู”

“…”

“คุณหนูเจ้าคะ”

“…”

“คุณหนู”

ไป๋เฉินเซียงหลุดจากภวังค์ “ว่าอย่างไร”

โปหรานมองไปยังมือของไป๋เฉินเซียงที่ยังคงคนโจ๊กจนควันที่มีเริ่มจางลง ไป๋เฉินเซียงมองตามก็คลี่ยิ้มบาง “ข้าไม่ค่อยหิวเท่าใด”

อีกด้าน ณ โถงรับรองจวนสกุลไป๋

บุรุษร่างท้วมสวมอาภรณ์ตัวยาวลายต้นไผ่เขียวขจีเดินวนไปมาที่ด้านในโถงกว้าง สีหน้าคร่ำเคร่ง พลางยกมือลูบหนวดเครานับร้อยรอบ ดวงตากลอกไปมาจนไม่รู้จะไปวางความอึดอัดไว้ที่ใด

“ท่านพี่ เดินวนไปเวียนมาเช่นนี้จะช่วยอะไรเจ้าคะ นางก็แค่ความจำเสื่อม แต่ง ๆ ไปก็จบ ไม่เห็นมีสิ่งใดยากเลย”

ฮูหยินใหญ่นามว่าหยางปิ่งอี้เอ่ยพลางหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ ส่วนบุตรสาวที่นั่งขนาบข้างก็พยักหน้าหงึกหงักรอสำทับอยู่ไม่ห่าง

“เจ้าจะเข้าใจสิ่งใด เมื่อครู่ข้าเห็นแววตาแข็งกร้าวดื้อดึงของนาง เซียงเซียงดูเปลี่ยนไปมาก ไม่คิดเลยว่าตกน้ำพริบตาเดียวก็ท่าทางเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคน”

ไป๋อีถิงโพล่ง “นางอาจจะแสร้งผีเข้าก็ได้นะเจ้าคะ”

หยางปิ่งอี้ฉีกยิ้มเผล่ไม่ทุกข์ร้อน “ท่านบอกว่านางไม่ยินดีแต่งเป็นอนุท่านแม่ทัพชิงหลง ทว่าหากนางความจำเสื่อม ท่านพี่ก็ลองเกลี้ยกล่อมนางอีกสักครั้ง บางทีหนนี้อาจจะง่ายดายราวพลิกฝ่ามือก็ได้”

ไป๋จื่อเหิงยังคงหนักใจ ริมฝีปากเม้ม ๆ คลาย ๆ อยู่เช่นนั้น

“ท่านพ่อ ท่านคงไม่คิดจะส่งข้าไปแทนนางกระมัง ต่อให้เป็นแม่ทัพชิงหลงผู้เก่งกาจ แต่ข้าก็ไม่อยากเป็นอนุใคร อีกอย่างผู้คนล้วนโจษจันว่าฮูหยินเอกของเขาจูจวิ้นอี๋อะไรนั่นเหี้ยมโหดร้ายกาจ ข้าไม่มีทางยอมแต่งไปที่นรกขุมนั้นเป็นอันขาด” ไป๋อีถิงยืนกรานเสียงแข็ง

หยางปิ่งอี้ยกมือปิดปากบุตรสาวด้วยความร้อนใจ นางหันรีหันขวางด้วยความหวาดระแวง “พูดอะไรของเจ้า หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง สกุลหลานและสกุลจูใช่เจ้าจะกล่าวล่วงเกินได้”

แต่เดิมการแต่งอนุหนนี้ควรเป็นไป๋อีถิง ทว่านางคือบุตรสาวที่ถือกำเนิดจากฮูหยินใหญ่นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่นางจะยินยอมลดตัวไปเป็นอนุของใคร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหยางปิ่งอี้จะเห็นด้วยหรือไม่ นางย่อมไม่ยินดีอยู่แล้วหากลูกที่ตนดูแลทะนุถนอมดุจไข่ในหินต้องตกเป็นสองรองจากผู้อื่น ช่างดูต่ำต้อยด้อยค่ายิ่ง

หนำซ้ำแม่ทัพชิงหลงผู้นี้แม้ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยโดยตรง ทว่าหยางปิ่งอี้ย่อมรู้ว่าเขามีอุปนิสัยเช่นไร อนุล้นเรือนเพียงนั้นคงหลีกไม่พ้นเสเพลลุ่มหลงในอิสตรี เบื่อแล้วก็เขี่ยทิ้งอย่างไม่ไยดี หากลูกสาวของนางแต่งเข้าไปเป็นอนุของเขาก็รังแต่จะเป็นที่รองมือรองเท้าให้ภรรยาเอก จูฮูหยินผู้นี้ร้ายกาจยิ่งกว่าโผล่มาจากนรก

เช่นนั้นผู้ที่ถือกำเนิดจากครรภ์ของอนุแสนต้อยต่ำเช่นไป๋เฉินเซียงก็ควรต้องเป็นฝ่ายแบกรับเรื่องนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว

“หากท่านแม่ทัพรู้ว่าเราส่งเซียงเซียงไปทั้งที่ยังป่วย ระวังศีรษะของสกุลไป๋จะไร้ที่วาง” เพียงนึกถึงกระบี่ระดับพระกาฬของแม่ทัพชิงหลง ไป๋จื่อเหิงก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ ขนอ่อนลุกเกรียวไปทั้งร่าง

“ท่านพี่ แม่ทัพชิงหลงน่ากลัวเพียงนั้นเชียวหรือ จากที่ข้าได้ยิน แม่ทัพไร้พ่ายแท้จริงน่าจะเป็นน้องชายของเขากระมัง”

“เจ้าหุบปาก!” ไป๋จื่อเหิงตะคอกเสียงดัง

สองแม่ลูกสะดุ้งโหยงโผกอดกันกลม

แน่นอนว่าหยางปิ่งอี้กล่าวถูกต้อง เดิมทีแม่ทัพผู้น่าเกรงขามหาใช่แม่ทัพชิงหลงที่คว้าชัยชนะมาเพียงไม่กี่สมรภูมิ ทว่าผู้ที่น่ากลัวดั่งมัจจุราชถือกำเนิดแท้ที่จริงก็คือ แม่ทัพไป๋หู่น้องชายของเขา นามว่า หลานอี้ซิน

เชิงอรรถ

^ 王伟 หวังเหว่ย ยอดเยี่ยม ดีเลิศ หรือยิ่งใหญ่

^ ไป๋หู่ เสือขาว 白虎 พยัคฆ์ขาวเป็นเทพแห่งการปกป้อง การคุ้มครอง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel