บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 ข้ามผ่านราตรีกาลอันแสนหนาวเหน็บ

บนผิวน้ำยามค่ำคืนมีแสงสาดสะท้อนจากดวงจันทร์ส่องกระทบลงมาดั่งเส้นทางปีนสู่สรวงสวรรค์ ยามที่น้ำเคลื่อนไหวเป็นคลื่นขนาดเล็กพลันบังเกิดประกายพราวระยับดุจหมู่ดาวดารดาษ

ทว่าแสงที่ฉาบเป็นเงาสะท้อนความงดงามกลับซ่อนเร้นความเลวร้ายภายใต้จิตใจของมวลมนุษย์ อากาศหนาวเหน็บของราตรีกาลประสานกับความเย็นเยียบของสายธารากำลังกัดลึกกร่อนกระดูกใครบางคนจนไหวสะท้าน

สตรีร่างระหงถูกหินก้อนยักษ์ถ่วงดุลกายไว้ใต้ผืนน้ำ สติที่คงอยู่ค่อย ๆ เลือนรางลงทุกขณะ เมื่อถึงคราวตายผู้ใดเล่าจะริอ่านฝืน หลังพยายามตะเกียกตะกายเพื่อคว้าอากาศเข้าปอดอยู่นานนางก็รู้สึกว่าไม่มีทางทวงชีวิตที่ปรโลกริบไปได้อีก นางยินยอมจำนนต่อชะตาอันเลวร้ายนี้แล้ว

หนาวเหลือเกิน…

ชั่วพริบตาลมหายใจก็มลายหายไปดั่งไม่เคยมี

.

.

“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”

มือเรียวกระดิกไหวเชื่องช้า แพขนตาหนาค่อย ๆ ขยับแผ่ว เปลือกตาบางแง้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีนิลดั่งไข่มุกยามราตรีกลอกสำรวจสรรพสิ่งรอบกายหน้าฉงน

ข้ายังไม่ตายหรือ ผู้ใดช่วยข้าไว้กันนะ

“คุณหนู ได้ยินบ่าวหรือไม่เจ้าคะ”

หญิงสาวเบนความสนใจไปยังต้นเสียงแช่มช้า โลหิตแล่นขึ้นใบหน้าจนสมองอื้ออึง

อาหราน? อาหรานมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

ดรุณีตรงหน้ามีนามว่าโปหราน นางเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนูรองไป๋ หรือไป๋เฉินเซียง

ไป๋เฉินเซียงจำได้ว่านางได้ก้มหน้ารับชะตา ยอมเชื่อฟังบิดาเพื่อไปเป็นอนุของแม่ทัพทัพชิงหลงนับปีแล้ว ส่วนโปหรานก็ถูกฮูหยินใหญ่นำตัวไปขายเป็นทาสให้จวนอื่น

ยามนั้นไป๋เฉินเซียงฟูมฟายอย่างหนัก เพราะเวทนาโปหรานจับใจ ไม่ว่านางจะวิงวอนเช่นไรใต้เท้าไป๋ก็ไม่ยินยอมให้โปหรานติดตามไป๋เฉินเซียงไปพร้อมขบวนเจ้าสาวด้วย

สตรีเมื่อออกเรือนก็เปรียบดั่งน้ำเสียที่ถูกสาดออกจากบ้าน เพราะไป๋เฉินเซียงเป็นคนหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายมาแต่ไหนแต่ไร เพื่อยกระดับขุนนางสุดต่ำต้อยที่ถือครองตำแหน่งเพียงขั้นหกที่กระหายในอำนาจเงินทอง ไป๋จื่อเหิงจึงยินยอมยกลูกสาวคนรองของตนให้เป็นน้อยผู้อื่นอย่างไม่มีหนังไม่มีหน้าผู้ที่นางเทิดทูนว่าคือบิดากลับผลักไสบุตรีลงนรกด้วยมือตนเอง

โปหรานมองท่าทีเฉยชาระคนงุนงงของไป๋เฉินเซียงก็รู้สึกไม่สบายใจ “คุณหนูไหวหรือไม่เจ้าคะ หรือว่ายังปวดหัวอยู่ หรือคุณหนูเจ็บคอจนพูดไม่ได้”

โปหรานหันรีหันขวางเร่งรินน้ำชาอุ่น ๆ ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบ จากนั้นก็ขยับตัวเพื่อช่วยพยุงร่างไป๋เฉินเซียงให้พิงกับหัวเตียงและสามารถเอนหลังได้สะดวก

“น้ำเจ้าค่ะ”

ไป๋เฉินเซียงกลายเป็นเบื้อใบ้ชั่วขณะ นางรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงตัดสินใจรับถ้วยชาและกระดกดื่มให้คอโล่งก่อน ต่อมาก็เอ่ยปากคำแรก

“อาหราน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ท่านพ่อไปพาเจ้ากลับมาหาข้าแล้วหรือ”

โปหรานฉงน บังเกิดเมฆหมอกแห่งความสงสัยปกคลุมเต็มศีรษะ “คุณหนูหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ บ่าวก็อยู่กับคุณหนูตลอดยังไม่ไปที่ใด ทว่าก่อนหน้าก็เพียงแวะไปหยิบขนมให้คุณหนูเท่านั้น กลับมาอีกทีคุณหนูก็ตกน้ำจนหมดสติ เรื่องนี้ต้องโทษบ่าว...เป็นเพราะบ่าวไม่ดีเองเจ้าค่ะ”

คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันเล็กน้อย ไม่นานก็ขมวดแน่น สีหน้าของโปหรานเศร้าสลดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อลองตรองถึงคำว่าตกน้ำศีรษะของไป๋เฉินเซียงก็ชาหนึบขึ้นมาเดี๋ยวนั้น

“คุณหนูปวดหัวหรือเจ้าคะ นอนพักก่อนนะเจ้าคะ บ่าวจะเร่งไปแจ้งนายท่านและจะตามหมอมาประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ คุณหนูรอบ่าวก่อนนะเจ้าคะ” โปหรานหมุนกายด้วยความเร่งร้อน ไม่ทันออกเดินแขนของนางก็ถูกคว้าเอาไว้

“อาหราน อย่าเพิ่งไป”

โปหรานยอบกายลงนั่งขนาบข้างผู้เป็นนาย “คุณหนูต้องการสิ่งใดเพิ่มหรือเจ้าคะ”

หลังจากเงียบเพื่อตรึกตรองซ้ำไปมาหลายหน ไป๋เฉินเซียงก็นึกบางอย่างออก คำว่าตกน้ำได้กระตุ้นความรู้สึกที่กดลึกอยู่ใต้จิตใจให้ปรากฏขึ้น

“อาหราน นี่เดือนใดหรือ”

โปหรานแทบร้องไห้โฮ ประเมินจากสายตาและอาการคุณหนูของนางแล้วประหนึ่งผู้ป่วยความจำเสื่อม แต่ยังโชคดีที่ไป๋เฉินเซียงนั้นเรียกชื่อของโปหรานถูก

“คุณหนู ท่านคงไม่ได้ความจำเสื่อมกระมังเจ้าคะ” โปหรานอึกอัก

คิ้วสวยเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง ไป๋เฉินเซียงกวาดสายตาเพื่อสำรวจความผิดปกติของบรรยากาศโดยรอบ ม่านแพรสีขาวปักลายมู่ตานที่นางทำเอง ยังห้อยระย้าตรงริมหน้าต่าง มองลอดออกไปด้านนอกยังเห็นยอดเขาสูงชันสุดลูกหูลูกตา

ที่นี่คือเรือนสกุลไป๋และเป็นห้องเดิมของนางไม่ผิดแน่ สิ่งที่น่าฉงนก็คือ นางกลับมาที่จวนสกุลไป๋ได้อย่างไร ในเมื่อไป๋เฉินเซียงแต่งงานออกไปครบหนึ่งปีแล้ว หนำซ้ำโปหรานยังเรียกนางว่าคุณหนูอีกด้วย

“คุณหนูเจ้าคะ นี่ซานเยว่แล้วเจ้าค่ะ ไม่นานก็จะเข้าซื่อเยว่”

เส้นโลหิตบนหน้าผากของไป๋เฉินเซียงกระตุกริก ๆ ไป๋เฉินเซียงเริ่มจะปะติดปะต่อบางอย่างได้แล้ว ในเมื่อนางแต่งงานไปตั้งแต่ต้นซื่อเยว่แล้วจะยังมานอนอยู่ที่ห้องเดิมของตนได้อย่างไร

ไป๋เฉินเซียงต้องการเวลาอีกหน่อย นางส่งยิ้มให้โปหรานเต็มดวงตา “เจ้าไปตามหมอมาเถิด”

ไป๋เฉินเซียงปล่อยมือ โปหรานเห็นใบหน้าที่ซีดขาวซับสีเลือดฝาดก็วางใจไปเปลาะหนึ่ง นางไม่อยากซักไซ้ต่อเพราะเกรงว่าไป๋เฉินเซียงอาจเกิดปวดศีรษะขึ้นกะทันหัน

คนเพิ่งฟื้นจากอาการจมน้ำ โปหรานคิดว่าสมองต้องได้รับความกระทบกระเทือนมาบ้างแน่ เพราะหากคนเราอยู่ใต้น้ำนาน ๆ ย่อมทำให้ขาดอากาศไปหล่อเลี้ยงส่วนของความนึกคิด จนสามารถทำให้ความทรงจำบางส่วนเลือนหาย

ไป๋เฉินเซียงมองตามแผ่นหลังสาวใช้คนสนิทจนลับตา ขาเสลาหย่อนลงจากเตียง ไป๋เฉินเซียงสำรวจขาของตน ก็ไม่พบร่องรอยบาดแผลที่เกิดจากโซ่ตรวนนั้นแล้ว

ข้ากลับมาแล้วจริง ๆ หรือ

ไป๋เฉินเซียงยกมือทั้งสองฝั่งของตนขึ้นมาสำรวจ ยามนี้ผิวกายของนางขาวผ่องและผุดผาดไร้ร่องรอยของการทุบตีและฟกช้ำ มุมปากของนางพลันกระตุกแผ่ว

โอกาสจากโชคชะตา นี่สวรรค์กำลังให้โอกาสข้า

ไป๋เฉินเซียงรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องสุดอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ เดิมทียามนี้นางควรไปข้ามแม่น้ำเหลืองเพื่อตัดสินความดีความชั่วและรอชดใช้กรรมที่สัมปรายภพ ทว่านางกลับมานั่งกระดิกขาที่ห้องตัวเองก่อนวันแต่งงานเพียงหนึ่งเดือน

ไป๋เฉินเซียงจำเรื่องราวทุกอย่างได้หมดแล้ว กระทั่งความเจ็บปวดแสนสาหัสที่นางได้รับในยามที่เป็นอนุท้ายเรือนของแม่ทัพใหญ่สกุลหลาน ความรู้สึกเหล่านั้นถาโถมเข้ามาดั่งสายน้ำคลั่ง ประดังประเดดุจพายุหมุน

ในตอนนั้นไป๋เฉินเซียงถูกภรรยาเอกของแม่ทัพชิงหลงใส่ความว่าคบชู้สู่ชาย จึงตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ใช้เหล็กร้อนดั่งเพลิงนรกทาบไปยังสองข้างแก้มของนางจนเนื้อพุพองไม่พอ ยังเฆี่ยนตี จองจำ และทรมานไป๋เฉินเซียงอย่างแสนสาหัส

สามีก็ทำราวกับนางเป็นเพียงของเล่นให้ภรรยาเอกตน เขาไม่ช่วยเหลือไม่ขัดขวาง เขาพูดเพียงคำว่า

เรื่องของเรือนหลัง ฮูหยินใหญ่เป็นคนจัดการ คนผิดก็ต้องลงโทษไปตามผิด

ไป๋เฉินเซียงนึกถึงคำคำนี้ก็เผยยิ้มเย็นออกมา ในตอนที่เขาต้องการนางก็ออกคำสั่งจนบิดาร้อนใจกระทั่งจับนางโยนเข้ากับดักสกุลหลาน เมื่อแม่ทัพใหญ่สมดังปรารถนาก็เขี่ยนางทิ้งประหนึ่งเศษซากสิ่งไร้ชีวิตที่ไม่ต้องการ

ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บแค้นอยู่ในใจ ไป๋เฉินเซียงปรายตามองใบหน้าซีดขาวของตนบนคันฉ่องไม่ไกลนัก มือเรียวยกขึ้นลูบสองข้างแก้มที่เคยอัปลักษณ์น่าเกลียด

ความสะสวยของนางกลับมาแล้ว นางได้ย้อนเวลากลับมาจริง ๆ ความรู้สึกอึดอัดในใจจางลงเล็กน้อย กลีบปากสีกุหลาบยกโค้งบางเบาทว่ากลับประหนึ่งหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม แม้ความเจ็บปวดทางกายจะเลือนหาย ทว่าความทรมานในใจนั้นยังคงอยู่

แอ๊ด…

เสียงประตูบานหนาเปิดออก ไป๋เฉินเซียงช้อนตามองไปข้างหน้า ชายร่างท้วมถลันเข้ามาด้วยความดีใจ

“เซียงเซียง!”

ชายวัยกลางคนสวมกอดบุตรสาวประหนึ่งรักใคร่ ทว่าความรักของบิดาผู้นี้ไป๋เฉินเซียงกลับไม่ได้ซาบซึ้งเลยสักกระผีกริ้น ไป๋จื่อเหิงแสดงท่าทีเช่นนี้คงเกรงว่าตนอาจขาดผลประโยชน์ที่เหลือเพียงหนึ่งไปเท่านั้น

ไป๋เฉินเซียงตัวแข็งทื่อไม่พูดจาใด ไป๋จื่อเหิงผละห่าง กวาดสายตาสำรวจเรือนร่างบุตรสาว “เซียงเซียง ไม่เป็นไรใช่ไหมลูก ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่”

ไป๋เฉินเซียงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ทว่ากลับซ่อนคมมีดเอาไว้เพื่อกรีดแทงใจคน “ดีที่ยังไม่ตายเจ้าค่ะ”

ไป๋จื่อเหิงผงะ ไป๋เฉินเซียงไม่เคยแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องต่อบิดาเช่นนี้มาก่อน ใต้เท้าไป๋ปรายตามองโปหรานด้วยความสับสน โปหรานเห็นท่าทีเย็นชาดั่งหุบเขาน้ำแข็งของไป๋เฉินเซียงก็รู้สึกฉงนไม่ต่างกัน นางฉีกยิ้มฝืดฝืนให้ผู้เป็นนาย ไป๋จื่อเหิงขมวดคิ้วแน่น

หรือว่านางความจำเสื่อมจริง ๆ แล้วพิธีวิวาห์จะทำอย่างไร

เชิงอรรถ

^ ชิงหลง มังกรคราม青龍 อสูรแห่งทิศตะวันออก

^ ไม่มีหนังไม่มีหน้า หมายถึง หน้าไม่อาย

^ 三月 ซานเยวฺ่ (sānyuè) มีนาคม

^ 四月ซื่อเยวฺ่ (sìyuè)เมษายน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel