บทที่4 ทางออกที่ดีที่สุด 2
ครู่ต่อมาตฤณรดาจึงได้จรดปากกาลงบนทะเบียนสมรสซึ่งมีชื่อสิรดนัยอยู่ด้วย เตชินทร์เองก็เช่นกัน ตอนจดทะเบียนสมรสนี่เองเขาถึงได้สังเกตหญิงสาวที่ชื่อปานมุกใกล้ ๆ หลังจากเอกสารเรียบร้อยเตชินทร์ได้แต่คิดสงสัย ปานมุกคนนี้เป็นใบ้ใช่หรือไม่ เขายังไม่เห็นคุณเธอพูดอะไรกับใครเลย เมื่อเทียบกับสิรดนัยแล้ว สิรดนัยยังเปิดปากพูดบ้างเลย 'ตายๆไอ้ต้อม แกคงไม่ได้แต่งงานกับคนใบ้หรอกนะ'
“แล้ว...” หม่อมวรรณาที่นั่งฟังไม่ได้โต้แย้งใด ๆ มาสักพักส่งเสียงขึ้น “แล้วแม่อายล่ะคะ คุณแพรบอกว่าจะช่วยแม่อายด้วย ช่วยยังไงคะ”
“อย่างนี้ค่ะหม่อม แพรจะรับคุณอายเป็นลูกบุญธรรม แล้วหลังจากนั้นคุณอายจะต้องไปอยู่ที่บ้านสัตยบดินทร์หรือไม่ก็ไร่พยัคฆ์จนกว่าจะแต่งงานหรือบรรลุนิติภาวะค่ะ”คุณแพรวารินทร์เอ่ยบอก “ถ้าติวกุลไม่ขัดข้อง แพรอยากดำเนินเรื่องวันนี้เลย ติวกุลน่าจะปลอดภัยแต่สัตยบดินทร์ปลอดภัยกว่า และอีกอย่างจะดีกว่ากับคุณอายถ้าเธอไม่ต้องอยู่ในสังคมที่มองเธอเป็นลูกเมียน้อย”
“ตกลง” หม่อมเจ้าปนพพลที่เงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นหลังจากที่ฟังจบ ท่านชายวัยชราทรงเห็นด้วยกับคุณแพรวารินทร์ในเรื่องที่คนรุ่นลูกพูดออกมา เนตรดารานั้นความจริงท่านจะพาเข้าไปอยู่ในวังด้วยก็ได้แต่ลูกหลานคนอื่นและคนในวงสังคมก็ยังมองหลานคนนี้เป็นลูกเมียน้อยอยู่ดี การไม่ต้องอยู่ในสังคมนี้น่าจะดีกับหลานที่ท่านเมินมาตลอดมากกว่า “เราจะอยู่ในกรุงเทพต่อไหมเนตรดารา หรือจะไปที่ไร่พยัคฆ์ ฉันได้ยินว่าที่ไร่น่าอยู่และไม่มีใครกล้ายุ่งนะ”
“หนูไม่อยากอยู่กรุงเทพค่ะ ไม่อยากเรียนที่เดิมด้วย แล้วก็ไม่อยากไปอยู่กับคุณนัทด้วย จะให้หนูไปอยู่ที่ไหนก็ได้ หนูจะไป” เด็กหญิงเอ่ยบอกจากนั้นจึงมีการจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมและตกลงกันว่าจะให้เด็กสาวเปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่จะสวยงามกว่าที่ผ่านมา
สิรดนัยเลิกคิ้วสูงมองน้องสาวคนใหม่ก่อนที่จะมองหน้าน้องสาวแท้ ๆ ราวกับจะถามว่าคิดเหมือนกันหรือไม่ พลอยวารินทร์พยักหน้ารับก่อนที่สองพี่น้องจะลอบถอนหายใจพรืด จะมีใครรู้หรือไม่ว่าคุณแพรวารินทร์นั้นร้ายกาจไม่ได้หวังแค่คว้าหม่อมหลวงตฤณรดามาเป็นสะใภ้แต่ยังจับคู่ให้หม่อมหลวงเนตรดารากับเสือขี้โมโหที่ตอนนี้เป็นเจ้าของไร่พยัคฆ์อย่างสพลดนัยอีกด้วย หลังจากนี้สพลดนัยคงได้รับหน้าที่เลี้ยงดูเนตรดาราจนโตเลยล่ะ และอาจจะฟลุ๊คกลายเป็นความรักก็ได้
เกือบครบหนึ่งชั่วโมงแล้วที่ตฤณรดาตระหนักรู้ว่าตอนนี้เธอไม่ใช่หม่อมหลวงตฤณรดา สิราราช แต่เป็นหม่อมหลวงตฤณรดา สิราราช สัตยบดินทร์ภรรยาตามกฎหมายของนายสิรดนัย สัตยบดินทร์ เด็กสาวอยากจะแหกปากถามตัวเองดังๆว่านี่คือความจริงเหรอ เธอจดทะเบียนสมรสแล้วจริงน่ะเหรอ ตฤณรดาไม่อยากจะเชื่อแต่ต้องเชื่อว่าเธอมีสามีแล้วและสามีในนามตามทะเบียนสมรสของเธอก็ยังเป็นมนุษย์น้ำแข็งเสาไฟฟ้าหน้านิ่งที่เธอปรามาสไว้อย่างสิรดนัยอีกต่างหาก
คิดแล้วมันน่าน้อยใจในโชคชะตานัก จะมีสามีทั้งทีทำไม๊ ทำไม ตฤณรดาต้องมีสามีเป็นมนุษย์น้ำแข็งด้วย เอาหล่อทะเล้นแบบโอปป้าหรือซุปตาห์ไม่ได้รึไงนะ
ในนิยายหรือละครที่เคยดูเคยอ่านครอบครัวนางเอกเป็นหนี้ พระเอกไม่เจ้าหนี้ก็พระเอกขี้ม้าขาวมาช่วย ในชีวิตจริงตฤณรดาพยายามบอกตัวเองว่าเธอคงมีชีวิตแบบนางเอกในละครล่ะนะแต่หลังคิดแบบนั้นไปห้านาทีเธอก็ต้องยอมรับว่าบอกให้ตัวเองคิดแบบนั้นไม่ได้เพราะ... พระเอกขี้ม้าขาวของเธอนี่น่ะมนุษย์น้ำแข็งที่เย็นชาและนิ่งเงียบเอามาก ๆ ถ้าไม่สนิทอย่าคิดว่าจะมีครับ มีแทนตัวเองด้วยชื่อให้ได้ยินเลย
แต่ก็นะ ถ้าเทียบกับพี่สะใภ้หมาด ๆแล้วเธอว่าเธอโชคดีกว่าพี่ชายเยอะเลย ก็พี่ปานมุกคนนั้นพอจดทะเบียนสมรสเสร็จก็นิ่งเงียบตลอดจนกระทั่งลากลับ ยังไม่คุยกับสามีสักคำ น่าสงสารพี่ชายตัวเองจริง ๆ
‘เฮ่อ แต่ก็ดีกว่านัทกรหรือเสี่ยวิชัยล่ะ’
“พ่อเราอยู่ชั้นไหน” เสียงนิ่งๆถามมาทำให้เด็กสาวตื่นจากภวังค์ความคิด ในตอนนี้เธอและสิรดนัย คุณแพรวารินทร์ คุณพงศ์พยัคฆ์และพลอยวารินทร์รวมถึงพี่ชายอยู่ในลิฟต์ เจ้ากล่องโดยสารสี่เหลี่ยมนี่กำลังจะพาพวกเธอไปยังชั้นที่คุณชายปนัยภพพักอยู่ ส่วนน้องสาวและคนเป็นปู่ย่าและป้ากับอานั้นตามขึ้นมาด้วยลิฟต์อีกตัว
“ชั้น...”
ปิ๊ง
ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะได้บอกจบเสียงสัญญาณลิฟต์ก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูลิฟต์ที่เปิดออก
“อ้าว แม่แพรจะไปเยี่ยมคุณชายเหรอครับ พอดีเลย เพชรกำลังจะไปตรวจพอดี” คนยืนอยู่ด้านนอกของลิฟต์เอ่ยบอกยาวเยียดก่อนที่จะแทรกตัวเข้ามาในลิฟต์พร้อมกับหญิงสาวในชุดพยาบาล
“ทำไมต้องตรวจเวลานี้ล่ะคะพี่เพชร” แพรวารินทร์เอ่ยถามบุตรชายคนรองที่แทรกมายืนกลางจนทำให้สิรดนัยต้องขยับเข้าไปใกล้ตฤณรดาเพื่อหลบทางให้น้องชายและพยาบาล
“คุณชายรู้สึกตัวแล้วน่ะครับ เพชรเลยต้องหมั่นไปตรวจเพราะยังกังวลอาการแทรกซ้อน” หมอหนุ่มเอ่ยบอกหากแต่คนเป็นลูกสาวของคุณชายปนัยภพอย่างตฤณรดากลับฟังแทบไม่รู้เรื่องเพราะกำลังรู้สึกถึงอัตราการเต้นของหัวใจตัวเองมันช่างเต้นแรงกว่าปกติเหลือเกิน ให้ตายสิ เพราะสิรดนัยขยับเข้ามาใกล้จนแขนชนกันแท้ๆทำให้เธอรู้สึกประหลาดๆแบบนี้ กลิ่นโคโลนอ่อนๆโชยเข้าจมูกมันทำให้เด็กสาวคันจมูก
“ฮัดเชย!” สุดท้ายก็จามออกมาก่อนที่มือบางจะยกขึ้นถูกจมูก เธอไม่ชอบกลิ่นนี้เลยนะ ได้กลิ่นแล้วจามทุกที ปกติสิรดนัยก็ไม่ได้ใช้กลิ่นนี้ด้วย ทำไมวันนี้ต้องเปลี่ยนแล้วมายืนใกล้ด้วยเล่า
“สงสัยจะแพ้กลิ่นโคโลนใหม่ที่อาทรายซื้อให้พี่สิงโตแล้วล่ะมั้งพี่สะใภ้ของเพชร” หมอหนุ่มเอ่ยขำๆก่อนที่จะเอ่ยบอกกับพี่ชาย “ผมบอกแล้ว ว่าอาทรายน่ะไม่มีเซนส์เรื่องโคโลน น้ำหอม อย่ารับของจากอาทรายสุ่มสี่สุ่มห้าเชียว”
“ชู่! หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง อย่าดังไปพี่เพชร เดี๋ยวอาทรายรู้งอนตายเลยพี่ชายอาทรายก็ยืนอยู่นี่” แพรวารินทร์เอ่ยบอกอย่างมีอารมณ์ขันแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “หลังแต่งงานแม่แพรคงต้องกำชับอาทรายผู้ไม่มีเซนส์แล้วล่ะว่าอย่าส่งของขวัญกลิ่นนี้มาให้ลูกชายกับลูกสะใภ้แม่แพร”
“น้องแพร” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยแค่นั้นก็หลุดหัวเราะด้วยเห็นด้วยกับคำพูดภรรยา “น่าสงสารยัยตัวแสบแย่เลยแบบนั้น”
“หึ อาทรายมีเซนส์ดีมากนะครับแม่แพรพ่อเสือ เลือกน้ำหอมกับโคโลนได้ถูกใจสิงโตมากเลย” สิรดนัยบอกแล้วก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เจตนาไหมเด็กสาวไม่รู้แต่บอกเลยเธอคิดว่าสามีในนามหมาดๆจงใจและเจตนาหัวเราะที่เธอแพ้โคโลนกลิ่นนี้ของเขา ถ้าเธอเป็นผีสางสัมภเวสีมาขอส่วนบุญเขา เขาคงใช้โคโลนกลิ่นนี้เป็นยันต์กันผีเป็นแน่ หน่อยแหนะ
เด็กสาวทำหน้ายู่ก่อนที่จะทำไม่สนใจ อึดใจต่อมาประตูลิฟต์ก็เปิดออก คุณพงศ์พยัคฆ์และคุณแพรวารินทร์เดินออกไปพร้อมกับเสษฏฐวุฒิและพยาบาลตามด้วยเตชินทร์ โดยมีเธอและสิรดนัยเดินรั้งท้ายขบวน เด็กสาวมองไปรอบ ๆสถานที่ที่เธอออกจะไม่ชอบใจก่อนที่จะหันไปเห็นเงาจากประตูกระจกของแผนกหนึ่ง
คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อมองภาพนั้น ก่อนจะมองคนที่เดินเคียงมา
“พี่สิงโตคะ ช่วยขยับไปยืนห่างๆหน่อยได้มั้ย ต้องตาไม่ชอบแบบนี้” เสียงใสๆเอ่ยบอกทำให้สิรดนัยและคนอื่น ๆหยุดเดิน
“เป็นอะไรจ๊ะคุณต้องตา หรือว่าอึดอัด” แม่สามีหมาดๆของเด็กสาวถามอย่างสงสัย ทางเดินก็ไม่ได้แคบไม่น่าอึดอัด สิรดนัยก็ไม่ได้แกล้งอะไรด้วยทำไมต้องให้คนหล่อของเธอขยับห่างๆกันล่ะเนี่ย
“ต้องตาไม่ชอบแบบนี้ค่ะแม่แพร อยู่ใกล้พี่สิงโตแล้วต้องตารู้สึกว่า...” เด็กสาวเอ่ยบอกก่อนที่จะลดเสียงลงในประโยคสุดท้าย "ต้องตาดูเตี้ยไปเลย"
“ฮะฮะฮะ” เป็นเตชินทร์และหมอหนุ่มที่พากันขำออกมากับคำพูดนั้น ตฤณรดายื่นปากงอนๆ ได้แต่ถามตัวเองในใจ เขาจะสูงไปไหน แล้วเธอทำไมต้องเตี้ยกว่าขนาดนี้ ถึงว่าล่ะนะ เธอน่ะตอหม่อหลักกิโล เขามันเสาไฟฟ้า แต่เชื่อเถอะ เธอสูงได้อีก เธอจะทำให้ตัวเองสูงขึ้นไม่ดูเตี้ยแบบนี้เวลาเดินใกล้เขา
“ก็บอกแล้วไงชิสุน้อยว่ากลับวังให้กินนมเยอะๆ” คำตอกย้ำของสิรดนัยทำให้คนสูงน้อยกว่ากัดฟันกรอด
“หนูไม่ชอบคำว่าชิสุน้อย” คนโดนเรียกชิสุน้อยบอกแล้วก้าวเท้ายาวๆเดินนำหน้าคนอื่น ๆไปอย่างแสนงอน การไม่เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อของตฤณรดาคือการบอกว่าเธอกำลังงอนหนักไม่อภัยง่าย ๆแต่สิรดนัยยังมองตามแล้วส่ายหน้า “ขี้งอนเป็นเลโอนี่ไปแล้ว”
“เฮ้ยๆ พี่ชายของเพชรเอาเมียไปเทียบกับหมาแล้วครับแม่แพร” หมอหนุ่มเอ่ยอย่างขำขันเมื่อพี่ชายเอาภรรยาหมาดๆไปเทียบกับเลโอนี่ เจ้าชิสุแสนงอนที่พี่ชายเขาเลี้ยงไว้ ด้วยคิดว่าอีกเดี๋ยวคนโดนเรียกชิสุน้อยจะหายงอนเอง แต่ลึกๆแล้วเขาคิดอีกอย่างกับคำว่าชิสุน้อย พี่ชายเขาน่ะแม้จะเลี้ยงเพื่อนสี่ขาไว้หลายสายพันธุ์แต่เอาจริง ๆที่พี่ชายเขารักและชอบที่สุดก็คือเลโอนี่ เจ้าชิสุตัวน้อยขี้อิจฉานั่นล่ะ ก่อนหน้านั้นก็ดูจะชื่นชอบชิสุมากกว่าพันธุ์อื่น ๆ เรียกเด็กสาวด้วยสายพันธุ์สุนัขที่ตัวเองชอบที่สุดนี่มันมายความว่ายังไงล่ะเนี่ย
“อย่าเอาน้องไปเทียบกับตัวขี้อิจฉานั่นเชียวนะพี่สิงโต น้องยังเด็กมีแง่งอนน่ะธรรมดา เด็กขี้งอนแบบนั้นนะน่ารักลูก ถ้าได้เผลอรักล่ะก็จะทั้งรักทั้งหลง หวง หัวปักหัวปำเลย” คุณพงศ์พยัคฆ์เอ่ยบอกก่อนที่จะเดินต่อไปพร้อมกับภรรยาที่รักรวมถึงหมอหนุ่มและพยาบาล
“เหอๆ”คนเคยนิ่งหัวเราะหยันเบาๆ ทั้งรักทั้งหวงและหลงหัวปักหัวปำเหรอ ไม่ใช่เด็กขี้งอนอย่างตฤณรดาแน่ที่จะทำให้เขาเป็นแบบนั้น และไม่น่ามีใครทำได้ด้วย
