บทที่2 พระศุกร์เข้า 2
หลังจากเปลี่ยนชุดกลับมาเป็นชุดนักเรียนมัธยมเป็นที่เรียบร้อยตฤณรดาก็คว้ากระเป๋านักเรียนเดินออกมารอคนเป็นพี่ที่หน้าโรงเรียนทันที นั่งลงได้ไม่นานก็มีรถยนต์สีขาวแล่นเข้ามาจอดตรงหน้า เด็กสาวไม่ได้ลุกขึ้นเดินไปหารถเพราะรู้ดีว่ารถคนนี้ไม่ใช่ของพี่ชายแน่นอนและก็ไม่นึกสงสัยด้วยคิดว่าคงเป็นผู้ปกครองสักคนของเพื่อนๆนักกีฬาโรงเรียน
เสียงประตูคนขับถูกเปิดออกเรียกตฤณรดาต้องหันมองแล้วก็ใจกระตุกวาบ ไม่ใช่เพราะคนที่ก้าวออกมาหน้าตาดี หรือเป็นคนดังหากแต่เพราะคนคนนั้นคือคนที่ทำให้เธอเกิดมาบนโลกนี้ผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่า...พ่อ
“ต้องตา ขึ้นรถซิ เดี๋ยวพ่อไปส่ง” เสียงอ่อนโยนถูกส่งมาให้ มันเป็นเสียงที่ตฤณรดาไม่ได้ยินมานานตั้งแต่ก้าวเข้าสู้รั้ววังสิราราช เสียงนั้นเด็กสาวเคยโหยหา เสียงนั้นเด็กสาวเคยต้องการ แต่นั่นมันก่อนที่เธอจะถูกหม่อมยายพาเข้าอยู่ในรั้วราชสกุลสิราราช นั่นมันก่อนที่คนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อจะมีลูกคนใหม่และภรรยาใหม่
“คงไม่รบกวนคุณชายหรอกค่ะ พี่ต้อมกำลังมารับแล้ว” เด็กสาวบอกราวกับคนตรงหน้าเป็นคนแปลกหน้ามันเป็นแบบนั้นเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจที่ว่า10ปีมานี่เขาไม่เคยโผล่หน้ามาให้เธอและพี่ได้เห็น แล้วจะมาทำไมตอนนี้ เธอไม่ได้ต้องการไออุ่นจากเขาแล้ว
“ต้อง ให้พ่อไปส่งนะ พ่อมีเรื่องอยากคุยกับหนูด้วย” หม่อมราชวงค์ปนัยภพเอ่ยบอกบุตรสาวที่เขาละเลยมาหลายปีด้วยน้ำเสียงวิงวอนจนคนเป็นลูกต้องยอมใจอ่อนยอมเข้าไปนั่งในที่นั่งข้างคนขับ
แม้จะยอมใจอ่อนแต่ก็หยิบโทรศัพท์มือถือมากดไลน์หาพี่ชายเพื่อบอกให้รู้ว่าไม่ต้องมารับแล้ว
“หนูกับพี่ต้อมสบายดีมั้ย” คุณชายปนัยภพถามเมื่อนำพารถขับเคลื่อนออกจากหน้าโรงเรียนได้ไม่ไกล
“สบายดีค่ะ หม่อมยายกับพ่อติณดูแลหนูกับพี่ต้อมเป็นอย่างดี” เด็กสาวตอบก่อนที่เน้นคำว่าพ่อติณชัด ๆ ก่อนจะพ้นลมหายใจร้อนๆออกมา “คุณมีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ แล้วก็รีบขับด้วยหนูเหนื่อยอยากพักแล้ว”
“เฮ้อ” สิ่งที่ตอบเด็กสาวกลับมาคือเสียงทอดถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มจนเด็กสาวเลิกคิ้วสูง แม้ว่าราชสกุลติวกุลร่ำรวยไม่น้อยหน้าสิราราช แต่ก็ตัดขาดกับคุณชายปนัยภพเพราะเรื่องภรรยาใหม่ของอีกฝ่ายทำให้หลังจากนั้นคุณชายปนัยภพจึงมีแค่ธุรกิจส่วนตัวที่ก่อร่างสร้างตัวมากับมารดาของเธอเท่านั้นที่เป็นของเขา ได้ยินเสียงเล่าลือว่าช่างนี้ธุรกิจนั้นกำลังเข้าขั้นวิกฤต ต้องกู้หนี้ยืมสิน ติดหนี้ธนาคารหลายแห่ง คงไม่ใช่เพราะกำลังจะหมดตัวล้มละลายจึงหวนกลับมาหาเธอกับพี่เหมือนในละครหรอกนะ
“ที่บริษัทมีปัญหา ท่านปู่กับหม่อมย่าของหนูท่านก็ไม่ช่วย พ่อเลยหยิบยืมเงินลงทุนจากคนรู้จักมาประคองบริษัท เขาไม่ต้องการเงินคืนทั้งหมด แต่เขาต้องการให้ลูกสาวของพ่อแต่งงานกับเขา” คนเป็นคุณชายของวังติวกุลเอ่ยบอกด้วยความลำบากใจ “พ่อมีลูกสาวแค่สองคน คือหนูกับน้องอาย น้องเพิ่งจะ15เท่านั้น”
“หึ” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นเบาๆจากลำคอของตฤณรดา เธอไม่ได้เย้ยหยันเขาแต่เย้ยหยันชะตาชีวิตตัวเอง คุณหญิงแม่เธอเสียตอนเธออายุ6ขวบแต่เธอมีน้องสาวที่อายุน้อยกว่า2ปี ใครฟังก็รู้ว่าเด็กคนนั้นเคยเป็นลูกนอกสมรสมาก่อน คนคนนี้นอกใจภรรยามานานไม่ต่ำกว่าห้าปี คงจะจริงที่หม่อมยายเคยบอกกับเพื่อนสนิทของท่านที่ว่าแท้จริงแล้วแม่ของเธอแอบตามสามีไปและได้พบกับลูกเมียที่สามีซุกไว้จนต้องขับรถออกจากบ้านภรรยาน้อยด้วยความเสียใจและเกิดอุบัติเหตุ
“ตอนนี้พ่อจำเป็นต้องยืมเงินเขาอีก พอดีกับที่เขาเจอหนูในงานการกุศลที่หนูไปกับหม่อมยาย เขาถูกใจหนูมาก อยากจะแต่งงานกับหนูให้เร็วที่สุด” คุณชายปนัยภพพูดพลางอดไม่ได้ที่จะกระดากปาก เขาผู้ละเลยลูกสาวคนนี้มา10กว่าปีกำลังขอความช่วยเหลือจากเธออย่างหน้าไม่อาย น่าละอายเหลือเกินแต่ก็ต้องทำ “หนูช่วยพ่อได้ไหมลูก พ่อหมดหนทางแล้ว นอกจากเขาไม่มีใครให้พ่อยืมเงินอีกแล้ว แล้วถ้าเราไม่ยอมเขาคงเล่นงานชื่อเสียงติวกุลแน่ ๆ”
“คุณยืมเขามาเท่าไหร่ และที่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้มันเท่าไหร่”ตฤณรดาเอ่ยถาม อย่างกับบทละคร หรือนวนิยายที่เคยอ่านขึ้นมาเรื่อยๆ คนที่ละเลยเธอเป็น10ปีกำลังมาขอให้เธอช่วยแต่งงานใช้หนี้ให้ และเพื่อยืมเพิ่ม ไหนจะมีชื่อเสียงราชสกุลเข้ามาข้องเกี่ยวอีก
“พ่อยืมเขามาร้อยล้าน และจะยืมอีกห้าสิบล้าน” สิ้นคำตอบของปนัยภพคนเป็นลูกก็ถามออกไปทันทีอย่างตกใจ “อะไรจะขนาดนั้น คุณจะยืมทำอะไร”
“เฮ้อ! นิรินติดการพนัน ตอนนี้เป็นหนี้บ่อน หล่อนทิ้งหนี้ไว้ให้พ่อแล้วหนีไปกับชู้แล้ว” น้ำเสียงนั้นปานจะร้องไห้ ใช่ว่าเป็นเพราะเสียใจที่ภรรยาใหม่หนีไปกับชายชู้แต่เสียใจที่เธอคนนั้นทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้เขากับลูกๆอีกสามคนต่างหาก คิดแล้วก็ไม่น่าเลย ถ้าเขาไม่เสียรู้ผู้หญิงคนนั้นป่านนี้ครอบครัวของเขาคงมีความสุขกว่านี้แน่
คนฟังนิ่งอึ่ง อยากจะสมน้ำหน้าก็สมน้ำหน้าได้ไม่สุด อยากจะสงสารก็ทำได้ไม่สุดอีกเช่นกัน
“ถ้าหนูไม่ยอมแต่งกับเขา เขาจะทำยังไง” ตฤณรดาเอ่ยถามหลังจากเงียบเสียงอยู่นาน
“เขาคงยึดบริษัทที่พ่อกับแม่ร่วมกันสร้างมา และเขาถูกใจหนูมาก ต่อให้หนูไม่ยอมเขาก็ต้องเอาตัวหนูไปให้ได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเรื่องนี้มันจะลามไปจนเสื่อมเสียชื่อเสียงติวกุล” คุณชายหนุ่มใหญ่บอกก่อนที่จะหยุดรถ ตอนนี้เขาไม่มีสมาธิพอจะขับรถอีกแล้ว ความตึงเครียดเกาะกุมส่วนสมองจนปวดหนึบ ต่อให้ตอนนี้เขามีเงินไปคืนก็ใช่ว่าเจ้าหนี้ของเขาจะหยุด คนคนนั้นต้องการทั้งตฤณรดาและธุรกิจของเขาเผลอๆอาจจะลามไปถึงหม่อมหลวงเนตรดาราหรือคุณอายบุตรสาวอีกคนที่อายุเพิ่งจะ15ด้วย เขาไม่อยากยอมหรอกนะแต่เขาในตอนนี้ไม่มีปัญญาไปต่อกรเลยสักนิด ต่อให้ท่านชายปนพผู้เป็นพ่อของเขาช่วยก็ยังไม่จบเรื่องอยู่ที่
ความตึงเครียดก่อความเจ็บปวดให้ปนัยภพจนคนเป็นลูกเริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติ หลังจากจอดรถสีหน้าของราชนิกูลจากสกุลติวกุลก็บิดเบี้ยวลงเรื่อยๆ
“คุณชาย คุณเป็นอะไร คุณพ่อ” เด็กสาวเอ่ยถามก่อนที่จะเรียกเสียงดังเมื่อคนเป็นพ่อทุรนทุรายจนสลบไปแล้ว ด้วยความที่ถูกสอนให้มีสติเด็กสาวรีบควานหาโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลและพี่ชายทันที
ไม่นานร่างไร้สติของม.ร.ว.วัยกลางคนก็ถูกนำเข้าห้องฉุกเฉินนางพยาบาลที่รู้จักกับครอบครัวของคุณชายปนัยภพโทรศัพท์หาน้องสาวของคนเจ็บและต่อจากนั้นไม่นานหม่อมราชวงค์หญิงประดับจันทร์ผู้เป็นน้องสาวคนเจ็บก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลพร้อมกับหม่อมหลวงเนตรดาราและหม่อมหลวงนภัทรหรือคุณอิฐ น้องชายวัย10ขวบ และ หม่อมหลวงนภพหรือ คุณอรรค น้องชายวัย8ขวบของเนตรดารา
คุณหญิงประดับจันทร์สอบถามอาการพี่ชายกับพยาบาลที่รู้จักก่อนที่จะสังเกตเห็นตฤณรดาซึ่งนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินพร้อมกับเตชินทร์
“คุณพ่อจะเป็นอะไรไหมคะคุณอาหญิง”เนตรดาราถามโดยไม่ได้มองสายตาของคุณอาที่จับจ้องไปที่ร่างของเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง
“อาบอกไม่ได้หรอกอาย เท่าที่อารู้พ่อหนูเป็นโรคหัวใจ อาคงบอกอะไรไม่ได้หรอก” คุณหญิงประดับจันทร์เอ่ยและแน่นอนว่าเตชินทร์และตฤณรดาก็ได้ยินด้วย แม้จะทำเหมือนไม่มีเยื่อใยแต่ยังไงทั้งคู่ก็รักปนัยภพไม่ต่างจากที่รักคนเป็นแม่
หากแต่ยังไม่ทันได้เอื้องเอ่ยอะไรตฤณรดาก็ต้องกำมือพี่ชายแน่นเมื่อนายแพทย์สองคนที่ทั้งคู่รู้จักพากันเข้าไปในห้องฉุกเฉิน “พี่ต้อม มะ เมื่อกี้นี้พี่หมอเพชรนิคะ เขา เขาจะเป็นอะไรไหม”
“ใจเย็น ๆ นะต้องตา น้องใจเย็นๆไว้ก่อน อย่าเพิ่งกังวลรอพี่ๆเขาออกมาก่อนเราก็รู้เอง” หม่อมหลวงเตวินทร์บอกน้องสาวทั้งที่เขาเองก็ไม่อาจสงบใจได้นายแพทย์เสษฏฐวุฒิ เป็นประสาทศัลยแพทย์ ถ้าเขาถูกเรียกตัวมามันหมายความว่ายังไงเตชินทร์ไม่อยากจะคิดเลย
สองพี่น้องจับมือกันแน่นก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นเมื่อร่างของคุณหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเนตรดาราและน้อง ๆ “เอ่อ เธอสองคน...”
“ผมเตชินทร์ครับ ส่วนนี้ก็น้องต้องตา ผมไม่อยู่ขวางหูขวางตาหรอก รู้ว่าเขาปลอดภัยเมื่อไหรผมก็จะพาน้องกลับ” เพราะแรงทิฐิทำให้เตชินทร์เอ่ยไปแบบนั้นแล้วไม่สนใจคนเป็นอาอีก
“ตาต้อม ตาต้อมของอา อาไม่ได้ว่าเราขวางหูขวางตานะลูก อาแค่จะถามว่าพวกเรามาได้ยังไง” ประดับจันทร์ชี้แจง เหมือนบ้านเธอตัดขาดกับบ้านอดีตพี่สะใภ้นับแต่นั้น แม้แต่ท่านพ่อและหม่อมแม่ก็ยังรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้าแม้จะคิดถึงหลานๆแต่ก็ไม่กล้าไปพบ เพราะรู้สึกผิดที่รู้ว่าพี่ชายมีเนตรดาราและนิรินซุกไว้แต่ก็ยังช่วยปกปิด
“เขาไปรับน้องต้อง บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย คุยกับน้องต้องอยู่เขาก็เป็นหมดสติ” เตชินทร์ตอบเสียงกระด้างแรงทิฐิทำให้เขาไม่อยากญาติดีกับคนที่เกี่ยวข้องกับปนัยภพสักคน
“คุณต้อม คุณต้องตา” เสียงเรียกจากหน้าห้องฉุกเฉินเรียกให้ทุกคนหันไปมอง
“เขาเป็นอะไรคะพี่หมอ” เด็กสาวถามในขณะที่พี่ชายคนรองของเพื่อนมีสีหน้าไม่สู้ดี
“มีโรคหัวใจ โรคเครียด และมีเลือดคลั่งในสมองด้วย ผลกระทบค่อนข้างรุนแรงต้องรีบผ่าตัด” เสษฏฐวุฒิเอ่ยบอกก่อนที่จะหันไปหาปานจันทร์ซึ่งมีหญิงวัยกลางคนอีกคนเดินเข้ามาสมทบ “เราไม่สามารถทำการผ่าตัดได้จนกว่าญาติจะเซ็นต์อนุญาต ไม่ทราบว่าญาติที่มีวุฒิภาวะที่สุดตรงนี้คือใครครับ”
"ฉันค่ะ ฉันเป็นน้องสาว แต่..." ประดับจันทร์พูดได้แค่นั้นก็เงียบลง ค่าผ่าตัดล่ะ ตอนนี้ท่านพ่อและหม่อมแม่ตัดขาดกับพี่ชายของเธอจนกระทั่งที่บอกว่าแม้ตายก็จะไม่เผาผี ในบัญชีของพี่ชายมีเงินพอจะผ่าตัดที่ไหนกัน ทรัพย์สินมีค่าผู้หญิงชั่วช้าที่ชื่อนิรินก็ขนหนีหายตามชายชู้ไปแล้ว ตัวเธอเองสามีก็ไม่ยินยอมให้ช่วยเหลือพี่ชายเพราะยังโกรธเรื่องแต่หนหลังที่พี่ชายนอกใจผู้เป็นญาติร่วมสายสกุลของเขา
“ไม่ต้องแต่แล้วพี่หญิงคะ เซ็นต์ ๆไปก่อน” คนมาสมทบใหม่เมื่อครู่เอ่ยบอก เธอคือหม่อมราชวงค์หญิงประดับดาวเป็นน้องสาวคนเล็กของปนัยภพที่ยังไม่แต่งงานยังอยู่ในปกครองของผู้เป็นพ่อและแม่ “ชีวิตพี่ชายสำคัญกว่า เร็วซิ”
“อือ” ประดับจันทร์ครางตอบก่อนที่จะเซ็นยินยอมในเอกสารที่พยาบาลนำมาให้ เสษฏฐวุฒิยิ้มอ่อนๆให้กำลังใจญาติคนไข้ก่อนที่จะกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินอีกครั้ง ครู่ใหญ่ร่างของปนัยภพจึงถูกย้ายไปยังห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว
“พี่หญิงจันทร์อยู่นี่นะคะ หญิงจะไปเรียนท่านพ่อ ถ้าท่านพ่อไม่ช่วยหญิงจะไปยืมเงินคุณนัท” ประดับดาวเอ่ยบอกพี่สาวแต่ก่อนที่เธอจะได้ออกไปตฤณรดาก็เดินเข้าไปขวาง
“คุณนัทคือคนที่เขาติดหนี้อยู่ใช่ไหม” เด็กสาวถามในขณะที่พี่ชายนั้นงุนงง
“ใช่ ถ้าตอนนี้ท่านชายปนพไม่ช่วย เขาคือทางออกเดียวตอนนี้ เธอเป็นใครฮะ มีปัญญาหาเงินมารักษาพี่ชายฉันรึไง ถ้าไม่มีก็อย่ามาขวาง” ประดับดาวเอ่ยบอกโดยไม่ได้สังเกตคนที่ยืนขวางหน้าให้ดี และถึงจะสังเกตดีก็คงจำไม่ได้เพราะครั้งล่าสุดที่เจอกันคือตอนที่ตฤณรดาอายุเพียงสามขวบ
“พี่ต้อม ผู้หญิงคนนี้ใครเหรอ?” แทนที่จะถอยให้ประดับดาวไปเด็กสาวกับหันไปถามพี่ชายแทน เตชินทร์นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ราวกับฟื้นความทรงจำก่อนที่จะตอบ “รู้สึกว่าจะชื่อคุณหญิงประดับดาว น้องสาวคนเล็กของเขา คุณหญิงประดับดาวไปเรียนต่อต่างประเทศตอนน้องอายุสามขวบมั้ง ไม่แปลกที่น้องจะจำไม่ได้ น้องหลีกทางให้เขาไปเถอะ มันไม่เกี่ยวกับเรา อยากเป็นหนี้ก็ช่างเขาประไร”
“ปากเสีย พี่หญิงคะ สองคนนี้ใครกัน ญาตินังสารเลวนิรินเหรอ"” ประดับดาวหันไปถามพี่สาวอย่างโมโห ด้วยมันจี้ใจกับคำว่าอยากเป็นหนี้ก็ช่างเขา ใครบ้างอยากจะเป็นหนี้เป็นสิน แต่มันจำเป็น พี่ชายเธอกำลังตกที่นั่งลำบาก ท่านพ่อก็ใจร้ายไม่เหลียวแล ตัวเธอเองก็ไม่มีทรัพย์พอยังต้องขอท่านพ่อใช้
“เอ่อหญิงดาว นี่ตาต้อมไง ตาต้อมกับต้องตา หลานๆที่เกิดกับพี่หญิงแต้ม” ประดับจันทร์เอ่ยบอกน้องสาวในขณะที่ตฤณรดายอมหลีกทางให้แล้วลากพี่ชายไปนั่งที่เก้าอี้ เล่าเรื่องที่ปนัยภพบอกในรถให้คนเป็นพี่ฟังโดยไม่สนใจสีหน้าตกใจของประดับดาว
“เป็นหนี้คุณนัทอะไรนั้นร้อยล้าน เมียสร้างหนี้พนันให้อีกห้าสิบล้าน แล้วจะไปหยิบยืมเงินคุณนัทนั่นมาใช่หนี้พนัน แลกกับการเสียทั้งบริษัทกับลูกสาว บ้าชัดๆ แล้วทำไมต้องเอาน้องเข้าไปเกี่ยวด้วย ลูกกับเมียจอมก่อเรื่องเขาก็มี มายุ่งอะไรในเมื่อตัดขาดกันไปแล้ว”คนเป็นพี่เอ่ยหลังจากฟังเรื่องบ้าบอยิ่งกว่านวนิยายที่น้องสาวเล่า เหมือนตอนนี้ตฤณรดาจะตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว ตอนเที่ยงเขาเพิ่งรับรู้เรื่องทวงหนี้เสี่ยวิชัยที่เกี่ยวกับน้องสาวเขา ชายหนุ่มก็คิดว่าเหมือนละครหลังข่าวมากไปแล้วแต่พอมาได้ยินเรื่องนี้ด้วยเขากลับยิ่งรู้สึกว่านี่มันยิ่งกว่าในละครหรือนวนิยายชีวิตดราม่าเกินไปแล้ว ตฤณรดากำลังตกอยู่ในสถานะลำบากใจที่สุดแล้ว อย่างเขาว่า คนมันจะซวยมันก็ซวยถึงที่สุดจริง ๆ ทำไมมีแต่คนหาเรื่องมาให้น้องเขาแบบนี้นะ
