บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

“อื้อ...กลับมาแล้วไปกินอาหารเกาหลีกันนะ”

“เอาเข้าไป! ไปเกาหลีแท้ๆ พอกลับมายังจะชวนไปกินอาหารเกาหลีอีก” ปิติญาดาเอ่ยอย่างปลงๆ คนอะไรจะเกาหลีฟีเว่อร์ขนาดนั้น ขนาดไปเกาหลีกลับมายังจะชวนเธอกินอาหารเกาหลีอีก สองสาวพูดคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่สักพักก็วางสาย ก่อนที่ปิติญาดาจะไปอาบน้ำเพื่อเข้านอน ไม่นานก็หลับสนิทในห้วงนิทรา

แต่ช่วงดึกของคืนนั้น หญิงสาวกลับนอนกระสับกระส่ายไปมา เหงื่อซึมไปทั่วใบหน้า มือไม้ยกขึ้นทำท่าปัดป้องบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอกลัว

“อย่าเข้ามานะ” ปิติญาดาเพ้อ ส่ายศีรษะไปมาจนผมยาวๆนั้นสยายเต็มหมอน แต่ยังไม่ยอมตื่นจากความฝันที่กำลังเผชิญ อยู่ๆ เธอกลับตะโกนออกมาสุดเสียง

“ไม่!!!” หญิงสาวที่ฝันร้ายสะดุ้งตื่นลุกขึ้นนั่งบนเตียงแทบจะทันที ก่อนจะยกมือขึ้นจับตำแหน่งหัวใจที่ตอนนี้เต้นแรงมาก ปิติญาดาหอบจนตัวโยนพร้อมทั้งยกมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผมจนชื้นไปหมด

“ฝันบ้าอะไร น่ากลัวชะมัด” แค่พูดภาพในความฝันเมื่อครู่ก็ย้อนเข้ามาในความทรงจำทันที มันชัดเจนแบบนั้นใครจะลืมได้ลง

ปิติญาดาส่ายหน้าไล่ภาพในความฝันบ้าๆ ออกไปจากสมอง ทำไมเธอถึงฝันว่าไปอยู่ในป่าได้ รอบข้างมีแต่ต้นไม้น้อยใหญ่เต็มไปหมด ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยสักคน

ขณะที่เดินอยู่นั้นสายตากลับมองไปเห็นงูตัวใหญ่ พอเห็นเธองูตัวนั้นก็เลื้อยตรงมาหา ปิติญาดาพยายามขู่ปนไล่ ใจอยากหมุนตัวกลับเพื่อวิ่งหนี แต่เท้าเจ้ากรรมไม่ขยับตามใจสั่งเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นเธอกลัวมากจนตัวสั่นเทาไปหมด อีกนิดเดียวก่อนที่งูตัวนั้นจะถึงตัวเธอ อยู่ๆ งูอีกตัวที่ใหญ่กว่าก็หล่นจากต้นไม้ใส่ตัวเธอแบบเต็มๆ จนทำให้หญิงสาวล้มไปกองกับพื้น จากนั้นงูก็เริ่มรัดรอบๆ ตัวจนแน่นหายใจแทบไม่ออก พอคิดว่าตัวเองต้องขาดอากาศหายใจแน่แล้ว หญิงสาวก็สะดุ้งตื่น

“ฝันร้ายจะกลายเป็นดี สาธุ สาธุ!” ปิติญาดาพนมมือท่วมหัว ยังคงกลัวความฝันเมื่อครู่อยู่ เพราะเธอไม่ชอบงูมาแต่ไหนแต่ไร อยู่ๆ ต้องเจอพร้อมกันถึงสองตัว แถมตัวสุดท้ายนี่หล่นใส่เธอเต็มๆ จนล้มไม่เป็นท่า แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ยังดีที่เป็นแค่ความฝัน ถ้าเป็นเรื่องจริงต้องตายแน่ๆ

คนฝันร้ายขนลุกขนพองกับฝันที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ โดยไม่รู้ความหมายของฝันที่เกิดขึ้นนั้นแต่อย่างใด ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง แต่คืนนั้นหญิงสาวก็นอนแบบหลับๆ ตื่นๆ กระทั่งเช้า

ครอบครัวอารายานนท์และครอบครัวภูมิภักดีเกียรติ นัดเจอกันในวันรุ่งขึ้นเพื่อพูดคุยเรื่องงานแต่งงานแบบจับคลุมถุงชน ระหว่างลูกๆ ของพวกเขา แผนการมีขึ้นอย่างเป็นขั้นตอนเพื่อให้งานนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี เริ่มแรกของเรื่องราวไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการที่พ่อแม่อยากให้ลูกมีความสุข และทั้งสองครอบครัวก็สนิทสนมกันเป็นอย่างดีตั้งแต่สมัยวัยรุ่น จึงอยากให้ลูกของทั้งสองฝ่ายรักและสร้างครอบครัวขึ้นมา

ยิ่งวันก่อนได้รู้ว่าปิติญาดานั้นจะเข้ามาทำงานที่บริษัทเต็มตัวหลังจากไปทำงานหาประสบการณ์กับบริษัทภายนอกมาได้หลายปี ศรชัยก็ต้องรีบจัดการตามแผนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เพราะถ้าลูกสาวได้เข้าไปที่บริษัทเรื่องจะยุ่งยากมากกว่านี้

ทั้งสี่คนชนแก้วฉลองให้กับความสำเร็จล่วงหน้าเสียแล้ว ก่อนที่ศรชัยจะเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุขทั้งสีหน้าและแววตา

“อีกไม่ถึงปี เราต้องได้อุ้มหลานแน่นอน” พูดจบก็ยื่นแก้วไปชนกับมงคล บิดาของคณินเสียงดังแกร๊ง! ก่อนจะยกแก้วดื่มฉลอง ก่อนที่มงคลจะเอ่ยเออออตามไปอีกคน

“หลานคนแรก ชักอยากจะให้ถึงวันนั้นเร็วๆ แล้วสิ”

“ใช่ๆ” หนุ่มใหญ่ทั้งสองคนพูดจาเออออกันเป็นเรื่องเป็นราว ความที่สนิทสนมกันมาหลายปีจึงพูดคุยหารือกันได้ทุกเรื่อง มีปัญหาต่างก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างช่วงแรกๆ ที่ครอบครัวภูมิภักดีเกียรติเริ่มต้นธุรกิจด้านสถาปนิกตกแต่งภายในครบวงจร เริ่มแรกแค่ในประเทศ แต่ตอนนี้ลูกชายเขานั้นขยายกลุ่มลูกค้าไปยังต่างประเทศแล้ว แต่หนึ่งคนที่ลืมไม่ได้ นั่นคือคนที่ให้ทุนทางด้านการเงินแก่มงคลในครั้งแรกที่ตัดสินใจทำ จะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากศรชัย แถมไม่คิดดอกเบี้ยเสียด้วยทั้งๆ ที่เงินนั่นไม่ใช่น้อยๆ เลย

ทั้งสองครอบครัวซื้อใจกันและกันด้วยความซื่อสัตย์ ไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นกัลยาณมิตรที่ดี คอยสนับสนุน และให้คำปรึกษา ภรรยาของพวกเขาเองก็ด้วย คู่สามีสนิทกันแค่ไหน คู่ของภรรยาย่อมสนิทมากกว่า นี่ก็นัดแนะกันไปตัดชุดไว้เรียบร้อยว่าจะเป็นร้านไหน รูปแบบที่อยากได้เป็นยังไง เมื่อคิดถึงงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งสี่คนก็ดูจะมีแต่รอยยิ้มโดยบางครั้งก็ลืมนึกถึงความรู้สึกของคนเป็นลูกไปชั่วขณะ

ปิติญาดานั่งทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ด้วยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสินค้าต่างประเทศ หญิงสาวเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลอารายานนท์ ครอบครัวเธอประกอบธุรกิจด้านพลังงานพร้อมให้เข้าไปบริหารได้ทุกเมื่อ แต่หญิงสาวกลับมองว่าตัวเองยังขาดความสามารถที่จะแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ ทั้งเรื่องงานและเรื่องบุคลากรนั่นไว้บนบ่า

พอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจึงขอบิดาออกมาทำงานหาประสบการณ์จากบริษัทภายนอกก่อน พร้อมๆ กับเรียนปริญญาโทด้านบริหารควบคู่กันไปด้วย ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างกำลังลงตัว ว่างจากงานบริษัทที่ทำงานอยู่ก็เข้าไปศึกษางานบริษัทของครอบครัว และเธอก็ได้เปรยกับบิดาแล้วว่าอีกสองสามเดือนข้างหน้าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทให้เต็มตัว

เสียงเคาะประตูห้องทำงานที่ดังขึ้นทำให้ปิติญาดาหยุดความคิดไว้ แล้วเหลือบหันไปมองนิดหน่อยก็เห็นเลขาถือแฟ้มเข้ามา แต่เธอยังไม่มีเวลาจะพูดด้วยเพราะติดสายลูกค้าคนสำคัญอยู่ อันที่จริงสร้อยสุดาจะวางแฟ้มไว้ แล้วกลับออกไปก็ยังได้ แต่หญิงสาวมีเรื่องจะพูดกับผู้จัดการที่เธอรักและเคารพคนนี้ เมื่อเห็นว่าปิติญาดาวางสายไปแล้ว เลขาสาวจึงเอ่ยขึ้น

“เอกสารที่ต้องเซ็นค่ะพี่น้ำมนต์” แฟ้มสีดำถูกยื่นมาให้คือเอกสารสำคัญเรื่องการนำเข้าสินค้าที่ต้องให้ปิติญาดาเซ็นรับทราบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel