บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

“นั่นน่ะสิคะ แต่สงสัยเนื้อคู่ของน้ำมนต์จะนั่งรถหวานเย็นมาอย่างแน่นอน ป่านนี้ยังไม่เห็นเงาเลย”

“เรื่องแบบนี้เดี๋ยวก็มาเอง ถึงวันนั้น ลูกนั่นแหละอย่าวิ่งหนีเชียว” ขณะพูดผกามาศก็สัมผัสหัวไหล่กลมกลึงของลูกสาวไปมาอย่างเอ็นดู พอไปงานแต่งงานเพื่อนกลับมาทีไร ปิติญาดามักจะจิตตกมาพูดแบบนี้จนเธอจับทางได้ ส่วนสามีอาจจะงง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยู่ฟังด้วย

“ใครบอก ถ้าเจอคนที่ใช่ขึ้นมา น้ำมนต์จะวิ่งเข้าใส่เขาต่างหากละคะ” ปิติญาดาเอ่ยให้ติดตลก เพราะรู้ว่าเรื่องแบบนี้เปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้นแทบไม่มี แต่ถ้ามี พอเอาเข้าจริง เธอทำไม่ได้แน่นอน วิ่งหนีคนแรกล่ะสิไม่ว่า

“เรื่องครอบครัว พ่อกับแม่สิต้องกลัว”

“กลัวอะไรคะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองหน้าพ่อ ไม่เข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่

“อ้าว! ก็กลัวว่าถ้าลูกมีคนรักแล้วจะลืมแม่กับพ่อนะสิ” ศรชัยแกล้งทำหน้าเศร้า ทำเอาภรรยาส่ายหน้าให้กับการแสดงอันสมบทบาทที่ได้เห็น

“ไม่มีทาง ถึงจะเป็นคนรัก แต่น้ำมนต์ก็ไม่รักเขาจนตาบอดแล้วลืมแม่กับพ่อได้หรอก สัญญาเลย” นิ้วก้อยเรียวสวยของปิติญาดาส่งมายังแม่เพื่อทำตามที่บอก

“จ้าสัญญา” สองแม่ลูกเกี่ยวก้อยกัน ก่อนที่หญิงสาวจะหันไปเกี่ยวก้อยกับคนเป็นพ่อด้วยอีกคน ศรชัยส่งยิ้มให้ลูกสาวที่เขารักอย่างไม่มีเงื่อนไขตรงหน้า

“ดึกแล้วน้ำมนต์ไปนอนดีกว่า ฝันดีนะคะแม่ ฝันดีนะคะพ่อ” ว่าแล้วก็โน้มตัวไปหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ ตามด้วยพ่ออีกคนก่อนจะเดินกลับห้อง ผกามาศมองตามลูกสาวไปจนประตูห้องนอนเธอปิดลง แล้วจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ถ้าลูกรู้เรื่องแผนของเรา จนถึงเรื่องคลุมถุงชนนั่นละก็ ฉันไม่อยากคิดเลยว่าแกจะร้องไห้เสียใจมากแค่ไหน” ถึงจะตกลงได้แล้วว่าจะเดินหน้าทำตามแผนต่อ แต่ผกามาศก็ยังหวั่นใจ กลัวว่าลูกสาวจะเสียใจหนัก ศรชัยขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ ก่อนจะรั้งร่างของภรรยาเข้าไปโอบหลวมๆ

“ที่เราทำไปเพราะรักลูก น้ำมนต์ต้องเข้าใจว่าพ่อกับแม่พยายามหาสิ่งที่ดีให้แกแล้ว” ผกามาศซบศีรษะลงไปบนหัวไหล่ของสามี ถอนหายใจออกมาเบาๆ หลายครั้ง เธอเฝ้าบอกตัวเองว่าต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น คณินนั้นเป็นผู้ชายที่ดีสามารถอยู่ดูแลลูกสาวของเธอไปจนแก่เฒ่าได้อย่างแน่นอน แม้จะไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน แต่ความรู้สึกบางอย่างของผกามาศบอกแบบนั้นจริงๆ และเธอก็เชื่อเสียด้วย!

เมื่อกลับเข้าห้องนอนตัวเอง ขณะที่กำลังถอดชุดซึ่งใส่ไปงานแต่งงานของภคมณอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์รุ่นใหม่กิ๊กของปิติญาดาก็ดังขึ้น หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปรับแต่ก็ถอดชุดไปในตัวด้วย ไม่นานบนร่างสมส่วนของวัยสาวที่เหมือนดอกไม้กำลังบานสะพรั่งไร้มลทินของหมู่ภมร ก็เหลือเพียงบราลูกไม้สีหวานกับบิกีนี่สวมเข้าชุดกันเพียงสองชิ้น

“ว่าไงแก โทรมาซะดึก” น้ำเสียงที่เอ่ยถามคล้ายจะแปลกใจ เพราะเธอพึ่งแยกกับเพื่อนไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง

“ตอนอยู่ในงานแต่งของหนูจ๋า ฉันลืมบอกแกไป” ปลายสายเอ่ยบอกเสียงใสเพราะนี่คือเรื่องสำคัญในชีวิตสาวหมวยหน้าจีนแสนเก๋อย่างเธอ

“อะไร แกจะตัดหน้าแต่งงานก่อนฉันงั้นเหรอ” คำถามของ ปิติญาดาทำเอาต้องหทัยหัวเราะร่วนออกมา เพราะพักนี้หัวข้อในการสนทนาของพวกเธอหนีไม่พ้นเรื่องแต่งงาน ก่อนจะปฏิเสธตามหลัง

“บ้า...แค่จะโทรมาบอก ว่าพรุ่งนี้ฉันจะบินไปเกาหลี เอาอะไรไหม”

“เกาหลีอีกละ ที่นั่นมีอะไรแกถึงไปได้ไปดี ไปทุกเดือนเลยมั้งเนี่ย” ขณะถามปิติญาดาก็ยืนหมุนตัวไปมา สำรวจร่างกายของตัวเองผ่านกระจกใบใหญ่ รูปร่างก็ถือว่าดีใช้ได้ ไม่มีไขมันส่วนเกินให้น่าหงุดหงิด ฟิตแอนด์เฟิมส์พร้อมแก่การเป็นแม่คน แต่กว่าจะถึงตอนนั้นจริงๆ คงต้องหาเชื้อของลูกให้ได้เสียก่อน คิดเรื่องนี้หญิงสาวก็หน้ายู่

“ตั้งเยอะแยะ”

“แล้วนี่ไปกันกี่คน”

“ทริปนี้ฉันมีแค่สามสี่คน ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นสาวกเกาหลีกันทั้งนั้น แต่ไปแบบแบคแพคนะ ไม่ได้ไปกับทัวร์” คนกำลังบินไปเกาหลียิ้มกว้าง ต้องหทัยนั้นชื่นชอบประเทศนี้มาก มากเสียจนถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากซื้อบ้านไว้ที่นั่นสักหลังเลยด้วยซ้ำ เพื่อนที่ไปครั้งนี้ก็เจอกันตอนไปครั้งแรกกับคณะทัวร์ ติดต่อกันมาเรื่อยๆ เป็นกลุ่มเพื่อนอีกกลุ่มก็ว่าได้

“อ้อ...แล้วคราวนี้จะไปกี่วัน ตามรอยซีรี่ย์เรื่องไรอีกยะคุณเพื่อน”

“เบื่อคนรู้ทันจริงๆ สงสัยต้องเลิกคบซะแล้วละมั้ง” ต้องหทัยเอ่ยประชดแบบไม่จริงจังนัก ก่อนจะยักไหล่ให้เพื่อนที่รู้ใจไปเสียทุกเรื่อง จะว่าไปอิทธิพลที่ทำให้เธอชอบประเทศเกาหลีจนต้องบินไปกลับมากกว่าประเทศบรรพบุรุษอย่างเมืองจีน เริ่มแรกก็มาจากการดูซีรี่ย์นี่แหละ จากนั้นก็บ้าเข้าขั้นแบบถอนตัวไม่ขึ้น ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ เธอนี่แหละแฟนพันธุ์แท้เกาหลีตัวยง!

“ตกลงจะไปกี่วัน” น้ำเสียงคนกึ่งเปลือยเอ่ยถามย้ำ ในคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ

“เดือนเดียว” ปลายสายเอ่ยเหมือนแค่ช่วงสั้นๆ

“ตั้งเดือน!” ปิติญาดาอุทานจนต้องทหัยยื่นโทรศัพท์ให้ห่างจากหูแทบไม่ทัน ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินประโยคต่อมา “งานการแกไม่คิดจะทำเลยใช่ไหมเนี่ย ป๊ากับม๊าแกไม่ปวดหัวกับลูกสาวที่บ้าเกาหลีเข้าขั้นโคม่าอย่างแกหรือไง หา ยายหมวย!”

“บ่นจริงแม่นางน้ำมนต์” ถึงจะพูดแบบนั้นต้องทหัยก็ยังนั่งยิ้มจินตนาการไปถึงเกาหลีเรียบร้อยโรงเรียนกิมจิ แต่คำทักท้วงของเพื่อนก็ทำเอาฝันแทบสลาย 

“เดี๋ยวๆ คราวนี้ไปตั้งเดือน แกจะไปงัดดั้งโด่งมาด้วยหรือเปล่า” คนถามทำหน้ายุ่ง เพราะไม่อยากให้เพื่อนสวยด้วยพลาสติกตามแฟชั่นนิยมของคนยุคนี้ 

“บ้า...ฉันกลัวเข็มจะตายแกก็รู้ ไม่ทำหรอก” 

“เหรอ...เจอกันเดือนหน้า ถ้าดั้งแกมาโด่ง ไม่เข้ากับตาอาหมวยชั้นเดียวของแกละก็ เจอดี!” ปิติญาดาเอ่ยขู่ ซึ่งคนฟังก็หัวเราะร่วนก่อนจะเอ่ยรับคำ 

“ย่ะ”

“ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน” แม้จะรู้ว่าต้องทหัยไปเกาหลีมาบ่อยแค่ไหน แต่ปิติญาดาก็อดเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ไม่ได้ ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ถึงจะไปบ่อยแค่ไหน ที่นั่นก็ไม่ใช่เมืองไทยเสียหน่อย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel