หัวใจที่ยังเต้นแรง - 1
ทันทีที่รัญชิดาก้าวลงจากรถ หัวใจของเธอยังเต้นแรงกับถ้อยคำสุดท้ายของชายหนุ่ม เธอสูดหายใจเข้าลึก พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะก้าวเข้าไปในร้านคาเฟ่ที่เธอทำงานอยู่
ผู้จัดการชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ เห็นเธอกลับมาก็รีบก้าวออกมาหา ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“คุณธีรภัทร์เป็นอย่างไรบ้าง” เขาเอ่ยถามทันทีด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“คุณหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมากค่ะ แค่แผลน้ำร้อนลวกเล็กน้อย ได้ทำแผลกับทายาเรียบร้อยแล้ว”
ผู้จัดการพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าคลายกังวลลงเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบสายตามองรัญชิดาอย่างพิจารณา “ดีแล้วที่คุณธีรภัทร์ไม่เป็นอะไรมาก…” เขาหยุดเล็กน้อย “คราวหน้าต้องระวังมากกว่านี้นะรัน” ผู้จัดการเอ่ยเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคมกริบจ้องมองเธอจนรัญชิดาใจหายวาบ
“ค…ค่ะ” เธอตอบเบา ๆ
“ครั้งนี้ทำกาแฟหกใส่ลูกค้า ถึงคุณธีรภัทร์จะไม่ว่าอะไร แต่ร้านเราก็เสียภาพลักษณ์ไปแล้ว เข้าใจใช่ไหม” น้ำเสียงจริงจังบ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
รัญชิดากัดริมฝีปากแน่น พยักหน้าเงียบ ๆ
ผู้จัดการถอนหายใจ ก่อนเอ่ยคำตัดสินเด็ดขาด “งั้นเดือนนี้ ฉันจะหักเงินเดือนเธอเพื่อไม่ให้คนอื่นมองว่าลำเอียง จำไว้ให้ดีนะรัน งานแบบนี้พลาดบ่อย ๆ ไม่ได้”
รัญชิดาก้มหน้าลงต่ำทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เสียงในอกเหมือนถูกกดทับแน่น เธอรู้ตัวดีว่าความผิดครั้งนี้เกิดจากความสะเพร่าเอง จะโทษใครไม่ได้เลย
“ค่ะ ผู้จัดการ” เธอตอบเสียงแผ่ว พยายามควบคุมไม่ให้น้ำเสียงสั่นเครือ “รันจะระวังมากกว่านี้ค่ะ”
มือเล็กกำชายผ้ากันเปื้อนแน่นจนข้อนิ้วซีด เธอเลือกที่จะไม่แก้ตัว ไม่โต้เถียง ยอมรับโทษทุกอย่างโดยไม่บ่ายเบี่ยง เพราะในใจรู้ดี…นี่คือความรับผิดชอบของเธอ
หลังเลิกงาน รัญชิดาเดินออกมาจากร้าน แสงไฟตามถนนใหญ่เริ่มพร่ามัวเมื่อเธอเลือกจะเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ เพื่อกลับบ้าน ระยะทางสองกิโลเมตรดูไม่ไกลนัก แต่สำหรับหญิงสาวที่ทำงานมายาวนานทั้งวัน ขาของเธอเริ่มล้าแทบจะยกไม่ไหว ทว่าเธอก็ยังยิ้มบาง ๆ ให้ตัวเอง เพราะอย่างน้อยการเดินกลับก็ช่วยประหยัดค่าโดยสารที่เธอไม่กล้าฟุ่มเฟือย
บ้านที่รัญชิดาอาศัยอยู่เป็นบ้านเช่าครึ่งปูนครึ่งไม้สองชั้นเล็ก ๆ ในซอยแคบ ๆ เพื่อนบ้านรอบข้างล้วนเป็นคนหาเช้ากินค่ำ เสียงทีวีจากบ้านข้าง ๆ ดังลอดออกมาเป็นระยะ กลิ่นแกงส้มและปลาทอดลอยมาตามลม แต่ในกระเป๋าของเธอกลับมีเพียงขนมปังราคาไม่กี่บาทที่ตั้งใจซื้อกลับไปให้น้องชาย
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เธอเงยหน้ามองผนังไม้ที่เก่าและเริ่มผุพังบางส่วน แสงไฟสลัวจากชั้นบนทำให้รู้ว่าแม่เลี้ยงของเธอยังไม่เข้านอน รัญชิดาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
นี่คือบ้าน…บ้านที่ไม่ใช่ของเธอแท้ ๆ แต่เธอก็ไม่มีที่อื่นให้กลับไป เธออาศัยอยู่กับพ่อแท้ ๆ ของเธอ แม่เลี้ยง และน้องชายต่างแม่ แม้พ่อจะรักเธอ แต่สายตาที่แม่เลี้ยงใช้มองเธอมักเต็มไปด้วยความรำคาญ และน้องชายที่กำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อก็มักทำตัวมีปัญหาอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่ก้าวเท้าเข้าบ้าน รัญชิดารู้สึกเหมือนแบกความกดดันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งก้อนบนบ่า แต่เธอก็ต้องกัดฟันอดทน เพราะเธอไม่มีสิทธิ์เลือก
เมื่อรัญชิดาเปิดประตูเข้ามา กลิ่นอาหารที่ยังอุ่น ๆ ลอยมาแตะจมูก เธอเห็นพ่อกำลังนั่งรออยู่ตรงโต๊ะไม้เก่า ๆ ในห้องโถงเล็ก ๆ ใบหน้าที่เริ่มมีร่องรอยความชราของท่านยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นเธอก้าวเข้ามา
“รัน กลับมาแล้วเหรอลูก เหนื่อยมั้ย วันนี้ทำงานหนักหรือเปล่า” เสียงทุ้มอบอุ่นถามอย่างห่วงใย
รัญชิดาฝืนยิ้ม หย่อนกระเป๋าสะพายลงข้างเก้าอี้ “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะพ่อ รันโอเคค่ะ” ถึงแม้ในความจริงเท้าของเธอแทบจะหมดแรงก็ตาม
“แล้ววันนี้ทำไมพ่อกลับเร็วจังเลยคะ” รัญชิดาเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา เมื่อเห็นพ่อนั่งอยู่บนโซฟา ทั้งที่เวลานี้ตามปกติแล้ว เขาควรจะยังอยู่บนท้องถนนกับงานขับแท็กซี่
สุรพลยกยิ้มบาง ๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับคล้ายซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้ “พ่อรู้สึกเพลียนิดหน่อย เลยตัดสินใจไม่ฝืน…อยากกลับมากินข้าวกับลูก ๆ กับแม่ที่บ้านบ้าง” เสียงทุ้มที่ออกมาช่างอบอุ่น แต่ก็ฟังดูโรยแรงในที
ในใจของรัญชิดาเจ็บหน่วงขึ้นมา เธอไม่อยากเห็นพ่อแบกรับความเหนื่อยยากเช่นนี้เลย หากไม่ติดเรื่องค่าใช้จ่ายและภาระที่กองอยู่ตรงหน้า เธออยากให้พ่อได้พักอย่างสบาย ไม่ต้องขับรถรอนแรมดึกดื่นทุกวัน
“รัน กลับมาแล้วเหรอ มากินข้าวเถอะ แม่ทำไว้รอแล้ว” เสียงสมพรดังมาจากครัว
รัญชิดาฝืนยิ้ม เดินไปล้างมือแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ข้าวสวยร้อน ๆ กับแกงจืดหมูสับวางเรียงราย ถึงแม้จะเป็นอาหารเรียบง่าย แต่สำหรับเธอแล้ว มันคือความสุขเล็ก ๆ ที่ทำให้ลืมความเหนื่อยล้าจากทั้งวันได้ชั่วขณะ
“แล้วน้องล่ะค่ะ ไม่มาทานข้าวหรือ” เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ทานไปแล้วล่ะ เห็นว่าไม่สบายเลยขอตัวขึ้นไปนอนแล้ว” พ่อของเธอตอบ พลางถอนหายใจเบา ๆ ราวกับยังเป็นห่วงลูกทั้งสองอยู่ แม้จะเหนื่อยล้าจากงานทั้งวัน
รัญชิดามองอาหารตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ ในใจอดเป็นห่วงพ่อไม่ได้ไม่อยากให้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป แต่ก็ทำอะไรได้เพียงแค่เฝ้ามองและฝืนยิ้มไปพร้อม ๆ กับพยายามกลั้นความห่วงใยเอาไว้
เมื่อทานข้าวกันได้ครู่ใหญ่ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่เหมือนจะสงบก็เริ่มเปลี่ยนไป
“รัน…” สมพร แม่เลี้ยงวางช้อนลงช้า ๆ ก่อนถอนหายใจ “ค่าใช้จ่ายในบ้านมันเยอะขึ้นทุกวัน ไหนจะค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่าบ้าน ค่าเรียนน้องอีก”
รัญชิดาชะงัก ก้มหน้าลงทันทีเหมือนเด็กที่ถูกตำหนิ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามา เธอรู้ดีว่าเงินที่เธอหามาจากการทำงานพิเศษยังไม่พอ แม้จะพยายามแล้วก็ตาม
สุรพลเห็นสีหน้าลูกสาวก็รีบเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พอแล้ว ไม่ต้องพูดตอนนี้ ให้รันกินข้าวให้เสร็จก่อน”
“ฉันจะพูดตอนนี้ คุณเงียบไปเลยนะ!” สมพรหันไปว่าให้สามีตัวเอง พร้อมกับจ้องตาเขม็ง
สุรพลเงียบไป แต่อึดอัดกับสายตาที่จ้องเขม็งมา รู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับผิดทุกความคิด
รัญชิดาก้มหน้าลง พูดเบา ๆ “ไม่เป็นอะไรค่ะพ่อ” ก่อนจะเปิดกระเป๋าสตางค์ และหยิบธนบัตรส่งให้ผู้เป็นมารดา
นางสมพรรับมา นับเงินแล้วถอนหายใจ
