1 รองเท้าที่หายไป (4)
“เอ่อ รู้แล้วน่า ไม่ต้องย้ำ” นลินบอกด้วยน้ำเสียงขุ่นก่อนกดวางสายดื้อ ๆ
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน สมองปวดหนึบขึ้นมากะทันหัน เพราะเพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองก่อเรื่องซะแล้ว แถมเป็นเรื่องใหญ่ซะด้วย! ก็ใครจะไปรู้ล่ะ... เธอคิดว่า ‘น้าวาฬ’ ที่รักษ์สิกาเรียกติดปากจะเป็นคุณน้าผู้หญิงใจดีซะอีก ที่ไหนได้...
เอาเถอะ ยังไงเธอต้องอาศัยที่นี่ซุกหัวอีกเกือบสัปดาห์ ทำตัวน่ารักตอนนี้ก็ยังไม่สาย ดังนั้นนลินจึงเดินเข้าไปหาน้าชายของเพื่อนด้วยท่าทีที่สงบเรียบร้อย และเป็นมิตรกว่าเดิม
“โทรศัพท์ค่ะ น้าวาฬ”
ดวงตาดำสนิทมองนิ้วเรียวที่ยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้านิดหนึ่ง ปวาฬรับโทรศัพท์มาด้วยท่าทางไม่ใส่ใจอะไรนัก ซึ่งพฤติกรรมของชายหนุ่มสร้างความอึดอัดให้นลินมากกว่าเดิมอีก
“สิกาบอกว่า... คุณ เอ่อ น้าวาฬเป็น...”
ยังพูดไม่จบ ชายหนุ่มที่นั่งชันเข่าเล่นกับแมวก็ลุกขึ้นเต็มความสูงพร้อมจ้องมองหญิงสาวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก สายตาของเขาทำให้นลินชักเท้ากลับโดยปริยาย
“ฉันไม่ใช่น้าของเธอ ไม่ต้องลำดับญาติกับฉัน!”
น้ำเสียงเรียบสนิททำเอานลินปั้นหน้าไม่ถูก ติดจะอึ้งด้วยซ้ำที่ได้ยินประโยคนี้จากเจ้าของบ้าน
เอาแล้วไง... พ่อโจรกำมะลอแผลงฤทธิ์ให้แล้ว
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้ม ดวงตากลมโตมองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง เพราะความที่ไม่เคยยอมใคร พอเลือดขึ้นหน้านลินก็ลุยดะลูกเดียวนั่นล่ะ
ต่อให้เป็นน้าแท้ ๆ ของเพื่อน หรือต่อให้เป็นเจ้าของเรือนแพหลังนี้ก็ตาม เธอไม่สนใจหรอก เขาน่าจะมีไมตรีมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ควรทำตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดี นี่อะไรก็ไม่รู้ เจอหน้ากันครั้งแรกถึงขนาด ‘ต้อนกลับขับส่ง’ แทนการ ‘ต้อนรับขับสู้’
บ้าเอ๊ย!
“ใช่ คุณไม่ใช่ญาติของฉัน ถ้าไม่ให้เรียกน้า จะให้เรียกว่าลุงหรือไง?”
“ไอ้นาว!” เสียงปรามนั้นมีความไม่พอใจปนมาด้วย แต่นลินไม่สนใจ
“ฉันชื่อมะนาว กรุณาสุภาพด้วยค่ะ คุณน้าวาฬ”
ชายหนุ่มเหยียดมุมปากนิดหนึ่ง จ้องมองร่างแบบบางที่สูงเพียงไหล่ “จะไปรู้เหรอ ได้ยินยัยสิกาเรียกเธอแบบนี้”
“กรุณาเรียกให้ถูกต้องด้วย ฉันไม่ใช่เพื่อนคุณ ดังนั้นไม่ต้องมาตีสนิท!!”
เอากับเขาสิ! เจอลูกย้อนเข้าไปปวาฬถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาเจอเพื่อนของหลานสาวมาก็มากมาย มีครั้งนี้ล่ะ ที่เขาต้องมารับมือกับผู้หญิงที่... ที่....
เฮ้อ... ไม่รู้จะหาคำอะไรมาบรรยายสรรพคุณของเจ้าหล่อน
“อ้อ อีกอย่าง หากคุณจะกรุณา ขอความเป็นส่วนตัวให้ดิฉันด้วยนะคะคุณเจ้าของบ้าน เพราะฉันต้องการพักผ่อน” พอพูดจบนลินก็รีบอุ้มเจ้าซ่าหริ่มกลับเข้าบ้านโดยไม่สนใจอะไรอีก
“เดี๋ยวก่อน!” ปวาฬเรียก แต่คนถูกเรียกก็ไม่ยอมหยุด
ปวาฬรู้ว่าแขกของเขารายนี้ได้ยิน แต่หล่อนดื้อไม่ฟังมากกว่า ดังนั้นนลินจึงไม่เห็นสายตาหงุดหงิดที่มองตามมา
“ยัยเปรี้ยวเอ๊ย!” ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างระอา ก่อนก้มเก็บโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวใส่กระเป๋าเสื้อแล้วไปพิงหลังกับต้นเสา ความเงียบสงบกลับมายังเรือนแพอีกครั้งเมื่อต่างฝ่ายต่างปิดปากเงียบ
ลมเย็นฉ่ำพัดผ่านกายหนาของปวาฬไป เส้นผมยาวรุงรังสะบัดไหวไปตามลม ระหว่างจมอยู่ในภวังค์ วงหน้าหวานเปื้อนรอยยิ้มของหญิงสาวที่เขาพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นในหัว สตรีผู้งดงามดุจดวงดาว... ผู้ซึ่งกุมหัวใจของเขาเอาไว้
แต่อีกไม่นานเธอคนนี้จะเข้าสู่ประตูวิวาห์!!
ปวาฬไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘ดาริกา’ หญิงที่เขาแอบมีใจให้นั้นไปคบหากับ ‘ภาณุมาศ’ ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอตอนไหน เขาพยายามถามถึงเหตุผลของงานวิวาห์สายฟ้าแลบเมื่อได้รับการ์ดเชิญ แต่ดาริกาทำได้เพียงยิ้มเศร้า ไม่พูดอะไร แล้วเธอก็ยุติความสัมพันธ์ทั้งหมดด้วยการหยุดติดต่อเขาทุกช่องทาง
‘เราต้องแต่งงาน มางานแต่งงานเราให้ได้นะ’
ปวาฬยังจำคำพูดของดาริกาได้ดี หลังจากนั้นหญิงสาวก็หายไปจากชีวิตของเขา…
ในสมองของชายหนุ่มอัดแน่นด้วยคำถามมากมาย เกิดอะไรขึ้นกับดาริกา หรือตลอดเวลาที่ศึกษานิสัยใจคอกันมาไม่มีความหมายสำหรับเธอเลย... สุดท้ายคำตอบของปวาฬก็คือ ‘มืดแปดด้าน’ อย่างเดิม
นี่ละน้า จิตใจผู้หญิงหยั่งลึกไม่ถึง
