บทที่ 3.3
ทรงฉัตรประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นทนายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องทำงานด้วยรอยยิ้มแห่งความเป็นมิตร ปกติแล้วพฤกษ์แทบจะตัวติดกับภรรยาในนามของเขาราวกับเป็นคนเดียวกัน เรียกว่าเห็นอรพิมที่ไหนต้องเห็นพฤษ์ที่นั่น แล้ววันนี้ลมอะไรหอบทนายฝีปากดีมาถึงที่นี่ได้
“สวัสดีครับคุณทรงฉัตร” พฤกษ์เป็นฝ่ายทักทายเจ้าของห้องก่อน เขาเห็นแววตาแห่งความประหลาดใจของอีกฝ่าย แต่ไม่พูดอะไรเพราะเดาออกได้ว่าทรงฉัตรคิดอะไรอยู่ในใจกับการที่ตนเข้ามาที่นี่ในวันนี้
“มีอะไรหรือเปล่าคุณพฤกษ์ เชิญนั่งก่อนสิครับ” เจ้าของเชื้อเชิญด้วยมารยาท
“ผมแค่จะแวะมาถามว่า วันศุกร์นี้คุณฉัตรจะไปค้างที่บ้านคุณพิมด้วยหรือเปล่า ผมจะได้สั่งให้แม่บ้านจัดเตรียมอาหารไว้ให้” พฤกษ์พูดหน้าตายและแอบสังเกตท่าทีอีกฝ่ายว่ามีปฏิกริยาใดๆ ต่อคำถามนี้หรือไม่
“ไปค้างงั้นหรือ” ทรงฉัตรทำหน้างง เรื่องนี้ไม่เห็นอรพิมเคยบอกว่าจะกลับไปค้างบ้านตัวเอง หรือว่ามีอะไรอีก
“คุณพิมบอกผมว่าจะกลับบ้านไปตรวจเอกสารสำคัญ ต้องใช้สมาธิมากในการอยู่กับกองเอกสารพวกนั้น ผมเดาว่าคุณทรงฉัตรต้องไม่รู้แน่เลย เพราะว่าเอกสารพวกนั้นผมเพิ่งเอามาให้คุณพิมเมื่อกี้ เลยแวะมาถามว่าคุณสองคนจะไปช่วยกันดูเอกสารด้วยกันหรือเปล่า”
“เอกสารอะไร” ทรงฉัตรถามด้วยความสนใจ มีเอกสารอะไรที่ต้องให้อรพิมตรวจเป็นพิเศษงั้นหรือ
“เอกสารเกี่ยวกับบัญชีครับ แต่ผมไม่รู้ว่าข้อมูลในเอกสารคืออะไร นี่คุณพิมก็กำลังประชุมเรื่องนี้อยู่”
“ถ้าสำคัญขนาดนี้รบกวนคุณพฤกษ์ช่วยส่งเอกสารมาให้ผมที และคงไม่ต้องรบกวนไปตรวจงานถึงบ้านของอรพิมหรอกครับ ห้องทำงานบ้านผมกว้างพอที่จะเก็บเอกสารทั้งบริษัทได้” ทรงฉัตรไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้คลาดสายตาแน่ มันสำคัญมากขนาดที่ต้องย้ายที่ทำงานกันให้วุ่นวายเลยงั้นหรือ งานนี้ ขอดูหน่อยว่าเจ้าหล่อนกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่
“ได้ครับ งั้นผมให้เด็กเอามาไว้ในห้องคุณฉัตรเลยแล้วกัน และฝากส่งต่อให้คุณพิมด้วย” พฤกษ์ได้โอกาสสั่งการให้พนักงานยกเอกสารทั้งหมดมาไว้ที่ห้องของทรงฉัตรทันที
ทรงฉัตรแปลกใจว่าทำไมอรพิมจึงเรียกดูบัญชีอะไรมากมายขนาดนี้ เขาหยิบเอกสารบางแผ่นมาอ่านถึงทำให้รู้ว่าเธอกำลังตรวจสอบเรื่องโปรเจคที่มีปัญหา
“ผมฝากคุณฉัตรด้วย คุณพิมชอบทำงานจนลืมกินข้าวบางทีก็ปวดท้องโรคกระเพาะกำเริบบ่อยๆ อ้อ คุณพิมแพ้กุ้งนะครับ เธอทานกุ้งไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ทนายหนุ่มทิ้งท้ายไว้ก่อนจากไป
ทรงฉัตรเพิ่งรู้ว่าเมียแต่งคนเก่งที่พ่อชมนักชมหนา มีโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคฮิตของคนทำงานที่ไม่รู้จักแบ่งเวลา และรู้เพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า แพ้กุ้ง ซึ่งต่อไปเขาจะกลับไปสั่งให้แม่ครัวที่บ้านทำอาหารที่ไม่มีกุ้ง เพื่อให้อรพิมกินอาหารได้อย่างสบายใจ
อรพิมไม่ได้กลับบ้านตามที่ตั้งใจไว้ เพราะคุณทรงพุ่มต้องการให้เธอและทรงฉัตรช่วยเป็นตัวแทนไปบริจาคเงิน ให้กับมูลนิธินิสิตนักศึกษาที่ตนเป็นประธานทุกปี
แม้จะไม่อยากไปสักเท่าไรแต่อรพิมก็ตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดี เธอแต่งตัวด้วยชุดราตรีสีเขียวอ่อนเปิดไหล่เนียนเล็กน้อยและสวมเครื่องประดับเข้าชุดกัน มาดบุคลิกผู้บริหารที่เห็นทุกวันในชุดสูทสีดำถูกลบไปอย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญทำให้ทรงฉัตรถึงกับตาค้างเมื่อเห็นศรีภรรยาเยื้องกรายลงมาจากด้านบน
ทรงฉัตรบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงได้ชำเลืองมองคนข้างกายตลอดเวลา คืนนี้อรพิมสวยเสียจนเขาไม่อาจจะละสายตาไปจากเธอได้ ท่วงท่ารอยยิ้มดั่งนางพญาที่เคยตำหนิกลับสะกดทุกสายตาของชายหนุ่มไว้ รวมถึงทำให้เกิดความภาคภูมิใจด้วยว่า ผู้หญิงข้างกายคนนี้ไม่ธรรมดาเสียจริง
และก็เป็นจริงอย่างที่ทรงฉัตรคิดไว้ไม่ผิด อรพิมเป็นดาวเด่นของงานที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชมและอยากรู้จัก ไม่ใช่แค่แขกที่ได้พบเท่านั้นแม้แต่มุกดาราที่มาร่วมงานในคืนนี้ ก็ยังอดชื่มชมและออกปากกับทรงฉัตรด้วยความจริงจากใจเลยว่า
“คุณพิมสวยจังเลยค่ะ สวยเหมือนนางพญาเลย” มุกดารากล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมจริงๆ
“ขอบคุณครับมุก คืนนี้มุกก็สวยนะ” ทรงฉัตรชมนางเอกสาวกลับ
“แหม สวยอย่างไรก็ไม่สู้คุณพิมหรอกค่ะ แล้วฉัตรจะไม่แนะนำให้มุกรู้จักหน่อยเหรอ”
“แน่ใจนะว่าอยากรู้จัก”
“แน่ใจสิคะ ไปเร็ว มุกอยากรู้จักเธอ” มุกดาราเดินตามทรงฉัตร ซึ่งเดินมาหาอรพิมที่กำลังพูดคุยกับผู้ใหญ่ของงานในคืนนี้
อรพิมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่พบมุกดาราในคืนนี้ แต่เมื่อนางเอกสาวแนะนำตนเองพร้อมกับบอกว่ามาร่วมงานคืนนี้เพื่อช่วยรับบริจาค อีกทั้งท่าทีเป็นมิตรที่แสดงความจริงใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อรพิมรู้สึกดีกับมุกดารามากขึ้น
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เสียดายวันแต่งมุกติดงานโชว์ตัวเลยไม่ได้ไปร่วมยินดีด้วย” มุกดารายิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง
“ขอบคุณสำหรับของขวัญนะคะ”
อรพิมจำได้ว่ามุกดาราส่งของขวัญมาร่วมอวยพรในงานวิวาห์ที่เพิ่งผ่านไป แต่เพราะรู้จากพฤกษ์ว่านางเอกสาวคือคู่ควงของทรงฉัตร ก่อนที่จะต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับตน ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าแสดงความชื่นชมกลับไปในตัวนางเอกสาว เพราะไม่รู้ว่าสถานความสัมพันธ์ของมุกดาราและทรงฉัตรเป็นเช่นไร
อรพิมเห็นพฤกษ์อยู่ในงานด้วยแล้วจึงโบกมือให้รู้ว่าตนอยู่ตรงไหน เพียงแค่เห็นพฤกษ์เท่านั้นอารมณ์ที่แสนดีของทรงฉัตรก็เปลี่ยนไปทันที ยิ่งเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของศรีภรรยาที่ดูจะดีใจเหลือเกิน กับการที่พฤกษ์มาร่วมงานครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้ทรงฉัตรรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแทน
“ใครคะ ฉัตร เพื่อนคุณพิมเหรอ” มุกดารากระซิบถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นท่าทีสนิทสนมกันของพฤกษ์และอรพิม
“ชื่อพฤกษ์เป็นทนายของบริษัท และเป็นคนดูแลพิมทุกอย่าง” ทรงฉัตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือย
“มิน่าดูสนิทกัน” นางเอกสาวพยักหน้าเข้าใจ
“อืม สนิทกันมาก” ทรงฉัตรเน้นเสียงด้วยความหงุดหงิด
อรพิมแนะนำพฤกษ์ให้มุกดารารู้จักในฐานะเพื่อนของทรงฉัตร ทนายหนุ่มทำความรู้จักนางเอกสาวโดยไม่บอกให้รู้ว่า ตนมีข้อมูลใดมาก่อนหน้าและคอยจับตาดูท่าทีของมุกดาราไว้เป็นข้อมูลในหัวตลอดเวลา รวมถึงสังเกตพฤติกรรมของทรงฉัตรและอรพิมว่าเป็นอย่างไรบ้าง
แม้พฤกษ์และมุกดาราจะไม่ค่อยได้พูดกันมากนัก แต่นางเอกสาวรู้สึกได้ถึงท่าทีแปลกๆ โดยเฉพาะสายตาที่มองจ้องเหมือนจับผิดของทนายหนุ่ม ซึ่งทุกครั้งที่สบตากันโดยบังเอิญจะปรากฏแววตาเช่นนี้เสมอ แต่ที่ทำให้ใจนางเอกสาวติดลบก็คือ รอยยิ้มที่มุมปากอันแสนยียวนกวนประสาทของพฤกษ์ ที่ทำให้มุกดาราคิดได้ว่า พ่อเจ้าประคุณมีอะไรในใจแน่
“มุกกลับก่อนนะคะ ฉัตร” มุกดาราไม่อยากทนเห็นสายตาประหลาด ที่มองทีไรก็รู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มเยาะตนในเรื่องที่ไม่ทราบแน่ชัด แต่ที่แน่ๆ คือไม่เป็นมิตร
“ไม่อยู่จนงานเลิกเหรอ” ทรงฉัตรอยากมีเพื่อนคุยต่อ เพราะอรพิมถูกใครต่อใครดึงตัวไปทำความรู้จัก แน่นอนว่าเขาได้แต่มองอย่างชื่นชมอยู่ห่างๆ และมีมุกดาราคุยเป็นเพื่อนในบางโอกาส
“ไม่ดีกว่าค่ะ ไม่อยากเห็นหน้าคนโรคจิต”
“มุกว่าไงนะ” ทรงฉัตรได้ยินไม่ถนัด
“ไม่มีอะไรค่ะ มุกบอกว่าเหนื่อยนิดหน่อยอยากกลับไปพัก แล้วเจอกันนะคะฉัตร” นางเอกสาวกล่าวลาอีกครั้ง
