บทที่ 2.2
“ผมต้องขอโทษมุกสำหรับเรื่องวันนี้ทั้งหมด” ทรงฉัตรเอ่ยด้วยความเกรงใจ
เขาขับรถมาส่งนางเอกสาวที่คอนโดหลังจากที่ทำให้คุณทิพย์สบายใจได้บ้างแล้ว มุกดาราเห็นสีหน้าของชายหนุ่มก็รู้ว่าเรื่องไม่สบายใจยังคงอยู่ จึงชวนขึ้นมานั่งเล่นที่ห้องเผื่อผ่อนคลายความเครียด
“ขอโทษเรื่องอะไรคะ” มุกดาราเอ่ยถามพร้อมกับวางแก้วน้ำลงที่ข้างตัวชายหนุ่ม
“ทำไมทำหน้าไม่สบายใจแบบนั้น อย่าคิดมากในสิ่งที่คุณแม่พูดเลย ทำทุกอย่างให้เป็นปัจจุบันและดีที่สุดดีกว่า ไม่แน่นะ บางทีคุณแม่ได้รู้จักกับคุณอรพิมอะไรนั่น อาจจะชอบและถูกคอกันก็ได้” หญิงสาวมองโลกในแง่ดี
“ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้น” ทรงฉัตรถอนหายใจดังๆ อีกครั้ง
“ถึงผมจะไม่รู้สึกอะไรกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่ก็ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องหย่าหรือเลิกราอะไรทั้งนั้น ถ้าอรพิมไม่ทำตัวแย่มากนัก ก็ไม่แน่ว่าเราอาจจะอยู่ด้วยกันได้นานหน่อย แต่ถ้าหากว่า...” ชายหนุ่มเว้นวรรคไว้เล็กน้อย
“ถ้าหากว่าอะไรคะ” มุกดาราถามต่อ
“ถ้าหากว่าศรีภรรยาของผม ไม่เลิกทำตัวเป็นนางพญาไม่เห็นหัวคนเชิดหน้าไม่มองคนอื่น ก็คงจะเร็วหน่อย”
“แหม ฉัตรก็พูดไป ขนาดนั้นเชียวหรือคะ” นางเอกสาวอมยิ้ม
“อย่าให้ผมพูด” ทรงฉัตรส่ายหน้า เขาคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่พบหน้าอรพิมครั้งแรก ท่าทีของเจ้าหล่อนเดาได้ไม่ยากเลยว่านิสัยจะเป็นอย่างไร ทรงฉัตรอดคิดไม่ได้ว่าหากต้องแต่งงานกันจริงๆ แล้ว ไอ้ท่าทางนางพญาของเมียแต่งคนนี้ จะสร้างความปวดหัวให้กับตนมากน้อยแค่ไหน
“ยังไม่ทันแต่งแม่ก็เร่งให้เลิก ดีนะพ่อไม่เร่งให้มีหลานอีกคน ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ ว่าจะเอาไงกับเด็กนั่น” ชายหนุ่มเปรยเบาๆ ด้วยสีหน้าอึดอัดใจอย่างเห็นได้ชัด
“เท่าที่รู้เจ้าสาวฉัตรก็ไม่ขี้เหร่ การศึกษาก็โอเค ฐานะไม่ต้องพูดถึง อายุก็ยังไม่มากบางทีถ้าแต่งไปฉัตรอาจจะแฮปปี้ก็ได้นะคะ” มุกดารามองในแง่ดี
“แฮปปี้กับผีอะไร แค่วันนี้เจอหน้าครั้งแรกเด็กบ้านั่นก็ทำผมแสบแล้ว” ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ
“แรกๆ ก็ทะเลาะกันก่อน สักพักพระนางก็รักกันเหมือนในละครที่มุกเล่นเลยค่ะ” มุกดาราเย้า
“ผมไม่อินกับนิยายหรือละครน้ำเน่าหลังข่าวหรอกนะ ชีวิตจริงมันคงไม่ง่ายแบบนั้น เด็กนั้นทั้งแสบทั้งปากจัดแล้วยัง...” เขาเว้นไว้ไม่พูดต่อ
“แล้วยังอะไรคะ” ดาราสาวสงสัย
“เปล่า ไม่มีอะไร ผมว่าไม่ต้องมีใครมากะเกณฑ์ให้เลิกกันหรอก รับรอง ไม่เกินสามวัน ไม่เด็กนั่นก็ผมคงได้ประสาทกินกันไปข้างหนึ่งแน่”
“ฉัตรมองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่ใช่ฉัตรคนเดียวนะคะที่ถูกบังคับให้แต่งงาน บางทีเจ้าสาวของฉัตรก็อาจจะกรณีเดียวกันก็ได้”
มุกดาราคิดว่าเป็นเช่นนั้นและเอ่ยต่อไปอีกว่า
“คิดดูนะคะ ถ้าหากว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมาแต่งงานกับฉัตรเพราะเรื่องผลประโยชน์ในธุรกิจ ว่าไปเธอก็น่าสงสารเหมือนกันนะคะและตอนนี้ก็คงจะอยู่ไม่เป็นสุขแน่ เพราะไม่รู้ว่าว่าที่สามีอย่างฉัตรนิสัยใจคอดีหรือร้าย”
“มุกมั่นใจได้เลยว่า ผมคงร้ายน้อยกว่าเด็กคนนั้นแน่ และไม่ว่าทางโน้นจะกังวลอะไรก็คงแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือต่างคนต่างอยู่ อย่ามีเรื่องกันดีที่สุด” ทรงฉัตรปลงกับโชคชะตาที่กำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ จะหมู่หรือจ่าก็ต้องไปว่ากันในอนาคต
“แล้วคุณแม่ล่ะคะ ฉัตรจะทำอย่างไรต่อ” นางเอกสาวห่วงคุณทิพย์มากกว่า ท่าทางนางจะไม่ยอมรับศรีสะใภ้ที่จะเข้ามาอยู่ร่วมชายคาในอีกไม่กี่วันนี้แน่ และทรงฉัตรคงต้องปวดหัวกับปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ไปอีกนานอย่างไม่ต้องเดาเลยก็ได้
“ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้คุณแม่สบายใจ ดีที่สุดคือคุณแม่ทำใจซะ เพราะเรื่องนี้คงเป็นไปตามที่คุณแม่ต้องการไม่ได้ง่ายๆ” ทรงฉัตรรู้ดีกว่า หากสักวันตนกับอรพิมไปไม่รอด บิดาสุดที่รักคงไม่เห็นด้วยกับง่ายๆ กับการที่ทั้งสองจะเซ็นใบหย่าเพื่อเป็นอิสระต่อกัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถ้าวันนั้นมาถึงทางออกของเรื่องนี้คืออะไร
“ฉัตรคะ” มุกดาราเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่ม “ฉัตรคิดว่า สักวันหนึ่ง จะรักคุณอรพิมอย่างสามีรักภรรยาได้หรือเปล่า” คำถามของ
มุกดาราทำให้ทรงฉัตรนิ่งไปเล็กน้อย รักงั้นหรือ รักในฐานะสามีภรรยา คำนี้ดูไกลจากหัวใจอย่างไรไม่รู้ ทรงฉัตรยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คำว่ารัก ในการแต่งงานครั้งนี้สะกดอย่างไร
“ไม่ไป ยังไงพิมก็ไม่ไปอยู่ที่บ้านนั้น” อรพิมตะโกนลั่นห้องทำงาน เมื่อพฤกษ์บอกว่าเธอควรย้ายข้าวของเข้าไปที่เรือนหอสักที เพราะอีกสองวันจะเป็นวันแต่งงานแล้ว
“เบาๆ สิ คุณพิมที่นี่ออฟฟิศนะ ทำไมต้องโมโหขนาดนี้” พฤกษ์แกล้งทำเสียงดังกลับบ้าง
“พฤกษ์ พิมจะคุยกับน้ายาต่อสายเดี๋ยวนี้เลย” อรพิมเสียงแข็งใส่ เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด ทำไมต้องให้ย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ที่นั่นด้วย ใจคอทุกคนไม่คิดเลยใช่ไหมว่า เธอจะอยู่ร่วมบ้านกับคนที่ไม่รู้จักได้อย่างไร
“คุณยาไม่รับโทรศัพท์ตอนนี้ ถ้าจะคุยเดี๋ยวผมทิ้งแมสเสจไว้ให้ท่านโทรกลับ” ทนายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ
“อะไรนะ อย่าบอกว่าน้ายาจะไม่มางานแต่งด้วย” อรพิมมองหน้าทนายหนุ่มราวกับจะร้องไห้ งานสำคัญของหลานสาวสุดที่รัก
ดลยากลับยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา
“ตั๋วเต็มท่านมาไม่ทัน แต่บอกว่าให้คุณพิมทำตัวเป็นเจ้าสาวที่น่ารักและมีหลานให้ท่านไวๆ” พฤกษ์ถ่ายทอดสิ่งที่คุณดลยาสั่งมา
“อะไรนะ มีหลานเหรอ” คราวนี้อรพิมอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ
แต่งงานก็พอทน แต่ถ้าต้องให้มีหลานซึ่งเป็นตัวแทนเชื่อมคนสองคนไว้ตลอดชีวิต อรพิมขอยกเลิกงานแต่งงานเดี๋ยวนี้เลยจะได้ไหม นี่เกิดอะไรขึ้นกับน้าสาวสุดที่รัก ทำไมถึงได้คิดอะไรแปลกๆ แบบนี้
“ต้องมีหลานอีกใช่ไหม น้ายาต้องการแบบนั้นใช่ไหม” ปลายเสียงอรพิมสั่นเครือเล็กน้อย
“คุณพิม” พฤกษ์เข้าใจอารมณ์ของอีกฝ่าย แต่เขาก็สุดปัญญาจะทำอะไรได้มากไปกว่า ทำตามคำสั่งของดลยาเท่านั้น
“เรื่องลูกเอาไว้ก่อนก็ได้ แต่ตอนนี้คุณพิมควรไปจัดเรือนหอก่อน อีกสองวันจะวันงานแล้วยังทำอะไรไม่เสร็จเลย” น้ำเสียงพฤกษ์ลดลงมาเป็นปกติ ความเห็นใจเข้ามาร้อยเปอร์เซ็นต์ และยิ่งสงสารเมื่ออรพิมโผเข้ากอดเพราะความเสียใจ
“คุณพิมใจเย็นๆ” ทนายหนุ่มปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน อรพิมสะอื้นเบาๆ ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาให้หมด
หลายครั้งที่อกแกร่งนี้เป็นที่รองรับน้ำตาของหญิงสาว ชีวิตอรพิมไม่มีใครนอกจากน้าสาวสุดที่รักและพฤกษ์อีกคนเท่านั้น เขาคือลูกน้องในฐานะพนักงานบริษัท แต่สำหรับอรพิมแล้วคือเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข คือพี่ในยามอ่อนล้าและต้องการการปกป้อง
“ทำไมน้ายาทำแบบนี้กับพิม ให้พิมแต่งงานแต่ไม่ยอมกลับมางานของพิม ทำเหมือนจะไล่พิมให้ไปอยู่กับคนอื่น” หญิงสาวสะอื้น
