บท
ตั้งค่า

บทที่ ๙ จัดการขั้นเด็ดขาด 1

นพนทีขับรถมุ่งหน้าไปตามทางด้วยความเร็วสูง เวลานี้เขายังคงหงุดหงิดอยู่มาก และเหตุผลไม่ใช่เพียงเพราะเบื่อหน่ายกับการกระทำแย่ๆ ของปุษยา แต่ยังเป็นเพราะเจ็บใจที่เธอทำเหมือนเขาเป็นตัวประหลาด ผู้ชายอย่างเขาขาดตกบกพร่องตรงไหนกัน ทำไมเธอถึงได้รังเกียจเดียดฉันท์นัก

ไม่อย่างแน่นอน...

สุดท้ายนพนทีก็สรุปเองว่าตัวเขานั้นไม่มีสิ่งใดที่บกพร่องเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ฐานะทางสังคมหรือครอบครัว ทุกอย่างสมบูรณ์แบบพอๆ กันกับเธอนั่นแหละ จริงอยู่ที่เมื่อก่อนเขาอาจจะทำตัวเละเทะไปบ้าง แต่บางช่วงชีวิตของคนเราก็สามารถมีเรื่องราวผิดพลาดกันได้ไม่ใช่หรือ

อย่างน้อยเขาก็คิดได้เร็วกว่าปุษยาหลายเท่าก็แล้วกัน...

“บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มสบถ มือหนารีบหักพวงมาลัยรถเบี่ยงไปทางเลนขวาอย่างรวดเร็ว เมื่อจู่ๆ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งแซงขึ้นมาตัดหน้าอย่างไร้มารยาท

นพนทีบีบแตรเตือนรถคันนั้นไปเล็กน้อย ก่อนจะเหยียบคันเร่งแซงขึ้นไปตามเดิม ทว่าดูเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะรถกระบะสี่ประตูสีดำก็ยังคงไล่บี้ตามขึ้นมาขนาบข้าง และก่อนที่นพนทีจะทันได้คิดอะไร รถคันนั้นก็แซงขึ้นโดยทิ้งระยะห่างเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็หักรถตัดหน้าพร้อมจอดขวางทางเอาไว้ในระยะประชิด ทำให้นพนทีต้องรีบกดเท้าเหยียบเบรกจนแทบมิด ศีรษะของเขากระแทกเข้ากับพวงมาลัยไม่เบานัก ส่งผลให้เหนือคิ้วมีเลือดไหลซึมออกมา แต่โชคยังดีที่รถคันหรูไม่ได้รับความเสียหายเสียแม้แต่น้อย

“เฮ้ย! ขับรถแบบนี้ได้ยังไงวะ!” นพนทีดึงเข็มขัดออกให้พ้นตัว แล้วเปิดประตูออกมาตะโกนด่าอีกฝ่าย

“หวัดดีเพื่อน เจอกันอีกแล้วนะ” เสียงนั้นทำให้ชายหนุ่มรีบเพ่งสายตามองฝ่าความมืดออกไป และเมื่อเห็นว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือพวกเดียวกับที่เคยทำร้ายเขาและศศิกานต์มาก่อน ทุกอย่างก็กระจ่างชัดทีเดียวว่านี่คือฝีมือของใคร

ปุษยาคงตั้งใจจะเอาเขาให้ถึงตายเลยสินะ...

“เจอกันอีกแล้วนะไอ้พวกหมาหมู่ วันนั้นฉันมัวแต่ห่วงความปลอดภัยของผู้หญิง แต่วันนี้ฉันไม่ยอมให้พวกแกชิ่งหนีง่ายๆ ได้อีกหรอก” ปากทำเป็นใจดีสู้เสือ ทั้งที่สายตามองไปยังท่อนเหล็กในมือของพวกนั้นอย่างใจหาย

“ฮ่าๆ ปากเก่งจริงโว้ย! แบบนี้อย่าชักช้าเลยดีกว่า ต้องขอบคุณถนนเส้นนี้นะที่เปลี่ยวตามความต้องการของพวกฉันพอดี”

หนึ่งในนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกย่างสามขุมตรงมาหานพนที แทนที่จะถอยหนีอย่างที่ควรทำ แต่ร่างสูงโปร่งก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มือทั้งสองข้างกำแน่น และยกขึ้นตั้งฉากกับลำตัวในท่าพร้อมสู้

“เอาวะ! ถึงฉันจะไม่ได้ใช้หมัดมานาน แต่วันนี้ลองเคาะสนิมหน่อยมันคงไม่ตายหรอก” นพนทีพยายามนึกถึงตอนที่ไปฝึกเรียนเทควันโดมาเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งตอนนั้นเขาและเพื่อนๆ ต่างก็แย่งกันตามจีบครูฝึกคนสวย ไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้งัดสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนตั้งแต่แรกมาใช้จริงๆ

“เฮ้ย! จัดการมัน!” ไอ้หน้าเหี้ยมสั่งลูกน้องอีกสามคนให้ลงมือได้

“ขอตัวต่อตัวก่อนไม่ได้เหรอวะ!” นพนทียังไม่วายต่อรอง ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

“ไอ้ไก่อ่อนเอ๊ย! เฮ้ย! จัดการมันเลย!”

หลังจากได้รับคำสั่งจากลูกพี่อีกครั้ง ชายตัวใหญ่ล่ำบึกทั้งสามคนก็กรูเข้าหานพนทีอย่างรวดเร็ว

นพนทีพยายามเหวี่ยงตัวหลบท่อนเหล็กที่พวกมันแจกมาให้เป็นพัลวัน แต่ก็ยังโดนฟาดเข้าที่ไหล่เต็มแรง ความปวดร้าวภายในเล่นเอาร่างสูงแทบทรุด แต่ถ้าหากไม่ตัดกำลังพวกมันสักนิด เป็นไปได้ว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาจะมีโอกาสได้หายใจ

นพนทีตวัดเท้าขึ้นเตะที่ข้อพับขาของหนึ่งในนั้น มันเสียหลักล้มลงกระแทกพื้น จังหวะนั้นเองที่ชายหนุ่มได้ท่อนเหล็กโปร่งมาครอบครอง มือหนาตวัดมันไปมาราวกับชำนาญเสียเหลือเกิน จากนั้นก็อาศัยความเร็วของตัวเองฟาดท่อนเหล็กไปที่แขน และต้นขาของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง เสียงร้องลั่นของมันทำให้นพนทีชักได้ใจ รีบยกเท้าขึ้นถีบอกจนมันล้มหงายลงนอนแผ่

ชายคนที่ถูกนพนทีเตะข้อพับจนล้มรีบลุกขึ้น แล้วเข้าล็อกตัวจากทางด้านหลัง นพนทีนึกถึงการทุ่มแบบเน้นจุดศูนย์ถ่วงขึ้นมาได้ เขาก็รีบดันตัวเข้าชิดอกอีกฝ่าย ใช้แขนทั้งสองข้างจับท่อนแขนข้างหนึ่งของมันเอาไว้ แล้วออกแรงดึงให้ร่างใหญ่โตนั้นลอยหวือมาข้างหน้า สุดท้ายก็นอนคว่ำอยู่ตรงพื้นพร้อมกับเสียงคร่ำครวญ

ระหว่างที่นพนทีกำลังยืนมองผลงานของตัวเองอยู่ ทันใดนั้นท่อนเหล็กโปร่งก็ฟาดเข้าที่แผ่นหลังเขาเต็มแรง ชายหนุ่มทรุดฮวบลงคุกเข่าบนพื้น และล้มคะมำไปข้างหน้า เมื่อคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มใช้เท้ายันหลังอีกเต็มแรง

เขาพยายามจะพยุงตัวเองลุกขึ้น แต่กลับถูกพวกมันรุมซ้อมจนน่วมไปทั้งตัว ท่อนเหล็กที่อยู่ในมือกลิ้งไปทางไหนนพนทีไม่อาจรู้ได้ ที่รู้สึกได้ในตอนนี้มีเพียงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเท่านั้น

แม้ว่าร่างสูงจะนอนแน่นิ่งไปแล้ว หากแต่คนพวกนั้นก็ยังไม่ยอมหยุดกระหน่ำท่อนเหล็กลงบนตัวเขาเสียที ภาพสุดท้ายที่นพนทีเห็นก่อนที่จะหมดสติไปก็คือปุษยา ภาพใบหน้าที่ดูเหมือนกำลังตกใจของเธอทำให้สมองของเขาขาวโพลนไปหมด และถ้าหากครั้งนี้เขาไม่ได้ตายไปจริงๆ ล่ะก็

เขาจะเอาคืนจากปุษยาให้หนักยิ่งกว่านี้อีกหลายร้อยเท่าเลยทีเดียว!

หลังจากได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีผู้ชายคนหนึ่งถึงรุมซ้อมอาการสาหัส ตรัยก็รีบแจ้งให้หน่วยงานต่างๆ เตรียมพร้อม แล้วรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุทันที โชคดีที่เขากำลังทำธุระอยู่ไม่ไกลจากแถวนั้น ก็เลยเป็นคนแรกที่ได้พบกับนพนทีก่อน

“เฮ้ย! คุณนพนที!” ตรัยตกใจมาก เมื่อรู้ว่าผู้ชายที่นอนนิ่งอยู่กลางถนนคือนพนที “คุณเป็นคนเห็นเหตุการณ์เหรอครับ ไม่ทราบว่าพอจำอะไรเกี่ยวกับคนร้ายได้บ้างมั้ยครับ?”

ตรัยหันไปถามหญิงสาวหน้าตาสะสวยด้วยความร้อนใจ แต่ดูเหมือนเธอจะหวาดกลัวเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้ในตอนนี้ ตรัยจึงไม่พยายามคาดคั้นอะไรอีก

“คุณนที! เป็นยังไงบ้างครับ?! คุณนพนที!” ผู้กองหนุ่มร้องถาม เมื่อเห็นนพนทีปรือตาขึ้นมอง

“ผม...ผม...ยังไม่ตาย...ใช่มั้ย?” นพนทีพูดได้เพียงแค่นั้นก็หมดสติไปอีกครั้ง ตรัยตบแก้มชายหนุ่มเบาๆ เพื่อเรียกสติ แต่นพนทีคงอ่อนล้าเกินไปจริงๆ

“ไอ้พวกขยะสังคมพวกไหนกันนะที่ทำร้ายคุณ ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะจัดการกับพวกมันให้ได้เลย!” พูดจบรถพยาบาลแล่นเข้ามาถึงจุดเกิดเหตุพอดี บุรุษพยาบาลรีบนำตัวนพนทีขึ้นไปบนรถ และพาเขาไปรับการรักษายังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที ส่วนปุษยาที่ยังคงพูดอะไรไม่ออกสักคำ ตรัยเป็นคนรับหน้าที่พาเธอตามไปที่โรงพยาบาลเอง

นพนทีถูกพาตัวเข้าห้องฉุกเฉินไปนานเกือบชั่วโมงแล้ว แต่แพทย์เจ้าของไข้ก็ยังไม่ออกมาบอกอะไรทั้งสิ้น ตรัยพยายามติดต่อไปที่บ้านของชายหนุ่มอยู่นาน ทว่าไม่สามารถติดต่อใครได้เลย ฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งไปยังบ้านของนพนทีเพื่อแจ้งข่าวแทน

“คุณ...คุณครับ” ตรัยเรียกปุษยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เอ่อ...ค่ะ ว่าไงคะคุณตำรวจ” หญิงสาวหันหน้ามาถามเขา ซึ่งตอนนั้นเองที่ตรัยเพิ่งสังเกตเห็นว่าเธอหน้าซีดเซียวเพียงใด

“คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ?”

“ค่ะ...ฉัน...ฉันสบายดี แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“ผมคงต้องรบกวนคุณไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจหน่อยนะครับ”

“ฉัน...ไม่ไปไม่ได้เหรอคะ ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นค่ะ ฉันก็แค่...แค่ขับรถผ่านมา แล้วเห็นเขา...เห็นผู้ชายคนนั้นนอนนิ่งอยู่ ฉันก็เลยลงไปดูแล้วก็โทรแจ้งตำรวจ”

“แต่ว่า...” ตรัยยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียงเรียกของศศิกานต์ก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“ผู้กอง!” หญิงสาววิ่งตรงมาหาเขาที่หน้าห้องฉุกเฉิน ทั้งที่ยังคงสวมชุดนอนอยู่ “นทีเป็นยังไงบ้างคะ!? เขาปลอดภัยแล้วใช่มั้ย” ศศิกานต์ใจหายจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

นพนทีเป็นคนดี เขาเป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เธอจะห่วงใยเขามากถึงขนาดนี้ เท่าที่รู้จักกันมา นพนทีไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหนมาก่อน จะว่าเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงก็ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะนี่ก็หลายปีมาแล้วที่เขาไม่ได้คบหากับใครเลย

“ใจเย็นๆ ครับ ตอนนี้หมอยังไม่ออกมาเลย แต่ผมมั่นใจว่าเขาต้องปลอดภัยดี” คำพูดของตรัยช่วยให้ศศิกานต์ รวมทั้งปุษยาสบายใจขึ้นเล็กน้อย

“นี่คุณ...” ศศิกานต์หันไปเห็นปุษยาเข้าพอดี ซึ่งเธอจำได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียวว่าเคยพบกับอีกฝ่ายมาก่อน เมื่อครั้งที่ไปรับประทานอาหารกับนพนทีที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง

“เอ๊ะ! คุณวิวรู้จักคุณคนนี้ด้วยเหรอครับ” ตรัยเรียกปุษยาอย่างนั้นเพราะยังไม่ได้ถามชื่อเธอ

“ค่ะ เราเคยเจอกันมาก่อน” ปุษยาเป็นฝ่ายตอบคำถามเสียเอง “พอดีฉันเป็นคนไปพบเขา แล้วก็โทรแจ้งตำรวจน่ะค่ะ...ก็เลยต้องมาที่นี่ด้วย”

“ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ได้คุณ...ป่านนี้นทีอาจจะแย่ไปมากกว่านี้แล้วก็ได้” ศศิกานต์เอ่ยขอบคุณในความมีน้ำใจของอีกฝ่าย แต่นั่นกลับทำให้ปุษยารู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เพราะความจริงแล้วคนที่ทำให้เขาต้องโชคร้ายก็คือเธอเอง แต่มันเป็นความผิดพลาด

เธอไม่ได้ต้องการให้เขาอาการสาหัสขนาดนี้เลยจริงๆ !

ปุษยาโทรศัพท์ไปจ้างวานให้ชายฉกรรจ์กลุ่มเดิมตามรถของนพนทีไป เธอบอกไปว่าให้จัดการสั่งสอนเขาแค่เล็กน้อยก็พอ อย่าให้ถึงขึ้นเป็นอันตราย แต่หลังจากตามไปถึงจุดหมาย เธอก็เห็นคนพวกนั้นรุมซ้อมนพนทีอย่างบ้างคลั่ง ถึงตอนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ปุษยาจำได้ดีว่ารู้สึกตกใจมากแค่ไหน ยิ่งได้เห็นเลือดที่ไหลท่วมใบหน้าหล่อๆ นั่น เธอก็รู้สึกราวกับตัวเองเป็นนางมารร้ายที่ทำร้ายคนอื่นเกินกว่าเหตุ

เกินกว่าเหตุงั้นเหรอ?...

ใช่...นพนทีเองก็เคยทำกับเธอเกินกว่าเหตุมาแล้วเหมือนกัน ฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ถึงปุษยาจะไม่ได้อยากทำร้ายใครจนถึงตาย แต่ถ้าหากนพนทีเป็นอะไรไป มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ และหากจะโทษเธอแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ในเมื่อเธอย้ำกับคนพวกนั้นดีแล้วว่าอย่าทำร้ายเขาจนถึงขึ้นเป็นอันตราย

‘นี่เป็นกรรมของนายต่างหาก...มันไม่ใช่ความผิดของฉัน!’

“คุณหมอ! คุณนพนทีเป็นยังไงบ้างครับ!?” เสียงของตรัยดึงปุษยาให้สะดุ้งหลุดจากภวังค์ความคิด

“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่กระดูกข้อมือข้างซ้ายร้าว คงต้องเข้าเฝือกอ่อนไปก่อนสักระยะ ส่วนเรื่องรอยบอบช้ำตามร่างกาย ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ แต่ถึงยังไงคนไข้ก็คงต้องฟักฟื้นที่โรงพยาบาลหลายวันหน่อยนะครับ เพราะหมอกลัวว่าอาจจะมีอาการเลือดคั่งได้”

“ครับคุณหมอ ขอบคุณมากนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ” ตรัยและศศิกานต์กล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ

“มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วล่ะครับ อืม...ถ้าหากพวกคุณต้องการเข้าเยี่ยม หมอว่าเอาเป็นวันพรุ่งนี้จะดีกว่านะครับ วันนี้ดึกแล้ว คนไข้ก็กำลังต้องการการพักผ่อนด้วย”

“ได้ครับคุณหมอ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” ตรัยเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ก่อนที่แพทย์เจ้าของไข้นพนทีจะขอตัวไปดูคนไข้รายอื่นต่อ

“นทีโชคดีจังนะคะที่ไม่เป็นอะไรมาก” ศศิกานต์หันไปเอ่ยกับปุษยา แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยินดียินร้ายใดๆ เธอก็ไม่ได้เซ้าซี้อีก

“ตอนนี้ผมติดต่อทางบ้านของคุณนทีไม่ได้เลยครับ แต่ผมให้หมวดย้อยไปส่งข่าวตามที่อยู่ในบัตรประชาชนของคุณนทีแล้ว คิดว่าอีกไม่นานทางนั้นคงรีบมาที่โรงพยาบาล” ผู้กองหนุ่มบอกกับศศิกานต์

“เฮ้อ! คุณพ่อกับคุณแม่คงตกใจแย่เลยนะคะ จู่ๆ ลูกชายคนเดียวที่ไม่เคยมีศัตรูที่ไหนก็ต้องมาถูกรุมทำร้ายเอาแบบนี้”

“ไม่ต้องห่วงครับคุณวิว คุณนทีฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ เราคงจะได้รู้กันว่าใครคือคนทำร้ายเขา” ความมั่นใจของตรัยทำเอาปุษยาสะท้านไปทั้งตัว

ถ้าทางตำรวจจับกุมตัวพวกนั้นได้เมื่อไหร่ เธอก็คงถูกร่างแหไปด้วยในฐานะผู้จ้างวาน และเมื่อเวลานั้นมาถึง ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของเธอก็คงต้องป่นปี้ไม่มีชิ้นดี บุพการีทั้งสองจะเจ็บช้ำเพียงใด หากต้องมองดูลูกสาวเพียงคนเดียวต้องเดินเข้าคุกไปในที่สุด

“คุณครับ...คุณไม่เป็นอะไรแน่นะครับ” ตรัยเห็นอาการเหม่อลอยของหญิงสาวมาตั้งแต่แรก เขาจึงอดเป็นห่วงไม่ได้

“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวกลับเลยนะคะคุณตำรวจ”

“ถ้างั้นให้ผมไปส่งที่บ้านดีกว่านะครับ รถของคุณทางเราได้นำไปจอดไว้ที่สถานีตำรวจแล้ว ไว้วันพรุ่งนี้ค่อยไปเอาจะดีกว่า” ตรัยบอกกับปุษยา แล้วหันมายิ้มให้ศศิกานต์อย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวผมไปส่งนะครับคุณวิว ถึงยังไงเราก็เข้าเยี่ยมคุณนทีได้ในวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว ถ้ารออยู่ที่นี่ก็จะอดหลับอดนอนไปเปล่าๆ”

“ถ้างั้นวิวคงต้องรบกวนผู้กองแล้วนะคะ” ศศิกานต์ยิ้มเต็มใจ

“เชิญพวกคุณตามสบายเถอะนะคะ ฉันกลับเองได้ค่ะ” ปุษยาปฏิเสธ

“ตอนนี้ก็ดึกแล้วนะครับ ให้ผมไปส่งคงจะปลอดภัยกว่า อย่าปฏิเสธเลยนะครับ” ตรัยรบเร้าเพราะเป็นห่วง

“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันอยากกลับเองมากกว่า...สวัสดีค่ะ” แต่ปุษยากลับตัดบทเอาง่ายๆ แล้วเดินจากมาทันที

ร่างบางระหงพาตัวเองเดินลัดเลาะไปตามฟุตบาธอย่างช้าๆ เมื่อรู้สึกล้าขาขึ้นมาจึงตัดสินใจทิ้งตัวนั่งลงแถวๆ นั้น ปุษยาเหม่อมองท้องฟ้ายามวิกาลด้วยจิตใจที่หม่นเศร้า เรื่องราวต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาตอกย้ำเธอไม่ยอมหยุด

นับตั้งแต่เรื่องการทำตัวเหลวไหลจนเกือบจะเรียนไม่จบ เรื่องที่เธอปารองเท้าใส่นพนทีในครั้งแรกที่เจอกัน เรื่องที่เธอสั่งให้คนไปกลั่นแกล้งผู้หญิงบริสุทธิ์และดูเป็นคนดีอย่างศศิกานต์ เรื่องที่เธอถูกนพนทีจับตัวไปแล้วล่วงเกินจนเกือบถึงขึ้นเสียตัว และสุดท้ายก็คือเรื่องที่เธอเป็นต้นเหตุทำให้เขาเจ็บหนัก

คิดแล้วหยาดน้ำตาก็ไหลริน ปุษยาอาจจะร้ายกาจไปบ้าง แต่เธอก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนเลว การที่เธอต้องส่งคนไปทำร้ายนพนที เป็นเพราะเขาไม่ยอมทำตามความต้องการของเธอตั้งแต่แรก

นพนทีจงใจกลั่นแกล้งเธอ เขาทำให้เธอโมโหมาก ที่ร้ายที่สุดคือเขากล้าทำให้คนอย่างปุษยาร้องไห้ ซึ่งด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้หญิงสาวไม่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด เพราะถ้าหากเขาทำตัวเหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่กล้ามาอวดดีตีฝีปากกับเธอ ก็คงไม่ต้องพบเจอกับสิ่งเลวร้ายอย่างนี้

“ฉัน...ฮึกๆ ...ฉันจะถือซะว่าเราสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ในเมื่อนายได้ชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับฉันแล้ว ฉันก็จะยอมหยุดแค่นี้ เพราะฉันเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน...หวังว่านายคงจะไม่มาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ”

ปุษยาบอกกับตัวเองว่าต่อไปจะไม่ต่อกรกับนพนทีอีก เพราะถ้าไม่อย่างนั้นทั้งเขาและเธอก็จะต้องโคจรมาเกี่ยวพันกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนเรื่องการแต่งงาน ปุษยาจะจัดการคิดแผนขึ้นมาใหม่เอง

เธอไม่ต้องการความร่วมมือจากนพนทีอีกต่อไปแล้ว...

ปุษยาถอนหายใจ ก่อนจะพาตัวเองลุกขึ้น จังหวะนั้นเองที่เธอเพิ่งนึกได้ว่าลืมกระเป๋าสตางค์เอาไว้ในรถ แต่ก็ยังโชคดีที่หยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วย ปุษยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจโทรหากวิตา แล้วบอกสถานที่ที่จะให้เพื่อนสาวขับรถมารับ เธอยืนรออยู่ริมฟุตบาธได้ราวสิบนาที กวิตาก็มาถึง

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะปาย ทำไมเธอถึงมาเดินแกร่วอยู่แถวนี้ล่ะ เท่าที่จำได้เธอบอกฉันว่าวันนี้มีนัดกับว่าที่เจ้าบ่าวไม่ใช่เหรอ” กวิตายิงคำถามทันทีที่ปุษยาก้าวขึ้นมานั่งในรถ

“อย่าเพิ่งถามเลยวิ ฉันเหนื่อย...ช่วยพาฉันไปส่งที่บ้านก่อนได้มั้ย” ปุษยาตัดบท เอนกายพิงเบาะแล้วหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน

“นี่เธอจะปล่อยให้ความสงสัยเกาะกินใจฉันจริงๆ เหรอปาย...นี่! ยัยปาย!” กวิตาคาดคั้นตามประสาคนเป็นห่วงเพื่อน แต่เมื่อเห็นปุษยาไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ จึงขับรถต่อไปเงียบๆ โดยไม่รบกวนอีก

“รู้อะไรมั้ยวิ...วันนี้ฉันเกือบกลายเป็นฆาตกรไปแล้วนะ” จู่ๆ ปุษยาก็เปรยขึ้นมา แต่สิ่งที่ได้ยินนั้นทำให้กวิตารีบหักรถไปข้างทาง แล้วเหยียบเบรกเพื่อจอดรถทันที

“ว่ายังไงนะ!?”

“ผู้ชายคนนั้นไม่ยอมให้ความร่วมมือกับฉัน ฉันก็เลยสั่งให้คนไปสั่งสอนเขา แต่มันมีบางอย่างผิดพลาด...เพราะผู้ชายคนนั้นอาการหนักเลยล่ะ” ปุษยาหันมาสบตากับเพื่อนสาว พร้อมกับปล่อยน้ำตาไหลรดแก้มนวล “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะวิ เธอก็รู้นี่นาว่าฉันไม่ได้เลวร้ายแบบนั้น...เธอรู้ใช่มั้ย”

กวิตาดึงปุษยาเข้ากอดไว้หลวมๆ “ฉันรู้ปาย ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนยังไง” กวิตาหมายความอย่างที่พูดจริงๆ เพราะถึงแม้ปุษยาจะนิสัยแย่แค่ไหน เธอก็ไม่มีทางคิดทำร้ายใครให้ถึงตายได้หรอก

“ถ้าตำรวจรู้ ฉันจะทำยังไงดีล่ะวิ ฉันไม่อยากติดคุก!”

“ถ้างั้นเธอก็ต้องทำตามที่ฉันบอกทุกอย่าง เข้าใจมั้ยปาย ฉันจะช่วยเธอหาทางออกสำหรับเรื่องนี้เอง”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel