บทย่อ
“หวังว่า...” เมื่อพบว่าเสียงของตัวเองสั่นเกินไป ชายหนุ่มจึงหยุดกระแอมเบาๆ รวบรวมสติก่อนเอ่ยต่อ “หวังว่านี่จะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับคุณนะ จำไว้ว่าอย่าใช้อิทธิพลของตัวเองทำร้ายคนอื่นอีก” “เลวที่สุด! ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้!” ปุษยาคว้าผ้าห่มที่อยู่ใกล้มือมาปิดบังเรือนร่าง ไม่ลืมต่อว่านพนทีด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ช่วยไม่ได้ คุณอยากให้คนของคุณมาทำร้ายเลขาฯ ผมก่อนเอง” “ไอ้บ้า! อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่จัดการกับนาย!” “เอาเลย อยากแจ้งตำรวจหรือทำอะไรก็เชิญ แต่รู้ไว้ด้วยนะว่าในห้องนี้มีกล้องซ่อนเอาไว้ ถ้าคุณเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น ผมก็จะเอาฉากเด็ดเมื่อกี้ไปลงอินเทอร์เน็ตทันที...บางทีผมอาจจะหารายได้เสริมด้วยการทำแผ่นซีดีของคุณขายในตลาดมืดด้วยนะ” “ไอ้!...ไอ้บ้ากาม ไอ้คนวิปริต ไอ้หน้าตัวเมีย!” เมื่อคำด่าสุดท้ายหลุดออกจากปาก นพนทีก็พุ่งเข้าไปกระชากไหล่บางไว้แน่น สีหน้าและแววตาของเขาดูจริงจังจนน่ากลัว หากย้อนเวลาได้ ปุษยาคงเลือกที่จะใช้คำพูดที่นุ่มนวลกว่านี้ “ครั้งนี้ผมจะถือเสียว่าที่ได้ยิน มันเป็นเสียงสุนัขเห่าหอน แต่ถ้าผมได้ยินอีกครั้งละก็...คุณจะได้เห็นแน่ว่าไอ้หน้าตัวเมียที่แท้จริงมันเป็นยังไง!”
บทที่ ๑ สั่งสอน
เช้าวันนี้อากาศปลอดโปร่งเย็นสบาย หนุ่มหล่อเจ้าของร่างสูงสง่าจึงตื่นเช้ากว่าทุกวัน หลังจากจัดการอาบน้ำแต่งตัวจนหล่อเฟี้ยวตามเคยแล้ว นพนทีก็รีบเดินกึ่งวิ่งลงมาหามารดาที่กำลังสาละวนอยู่กับการทำอาหาร คุณมณียิ้มกว้างเมื่อบุตรชายโน้มตัวลงจุมพิตข้างแก้ม
“วันนี้ตื่นเช้าเชียวนะพ่อตัวดี” ท่านเย้าเสียงใส และปล่อยให้การทำอาหารที่ค้างอยู่เป็นของสาวใช้ต่อไป
“คุณแม่พูดเหมือนทุกวันผมตื่นสายเลยนะครับ” ชายหนุ่มโอบเอวมารดาไว้ ขณะเดินเคียงข้างท่านเข้าไปในห้องโถงกว้าง
“เปล่าลูก เพียงแต่วันนี้นทีตื่นเช้ากว่าทุกวันเท่านั้นเอง”
“อากาศดีแบบนี้ผมไม่อยากพลาดนี่ครับ แล้วนี่คุณพ่อยังไม่ตื่นอีกเหรอ” นพนทีถามหาบิดา เพราะปกติไม่ว่าเขาจะตื่นเช้าแค่ไหน แต่ก็ยังแพ้คุณธาดาอยู่เสมอ
“คุณพ่อตื่นแล้วล่ะจ้ะ แต่กำลังคุยธุระสำคัญกับแขกอยู่ที่ห้องรับรองชั้นบน นทีอยากไปทักทายแขกของคุณพ่อสักหน่อยมั้ยล่ะลูก” คุณมณีถามพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรชายอย่างเอ็นดู
เมื่อก่อนนพนทีเป็นคนที่ไม่เอาไหนเลย วันๆ เอาแต่ดื่มเหล้า และขลุกอยู่กับผู้หญิงที่เปลี่ยนบ่อยจนแทบจำหน้าไม่ได้ แต่หลายปีให้หลังเขาได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง หันมาเอาการเอางาน รู้จักให้เวลากับครอบครัว ที่สำคัญยังเลิกนิสัยคาสโนว่าไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ทุกวันนี้ต่อให้หาสาวสวยกี่คนมาประเคนให้ถึงที่ ชายหนุ่มก็จะปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ดูท่าว่าจะถึงจุดอิ่มตัวแล้วจริงๆ กระมัง
“ไม่ดีกว่าครับ วันนี้ผมตื่นเช้าก็เลยตั้งใจว่าจะเข้าไปที่บริษัทแต่เช้าเลย อีกอย่างวันนี้จะมีผ้าไหมล็อตใหม่เข้ามาด้วย ที่โรงงานเพิ่งทำเสร็จตามแบบที่ลูกค้ารายใหญ่ของสิงคโปร์ต้องการเลยนะครับ ผมว่าทางนั้นต้องตัดสินใจเซ็นสัญญารับซื้อผ้าไหมจากเราแน่ๆ” นพนทีบอกข่าวดีแก่มารดา
“ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เถอะจ้ะ ว่าแต่ลูกค้ารายใหญ่ของสิงคโปร์จะเอาผ้าไหมของเราไปทำเกี่ยวกับอะไรเหรอลูก” คุณมณีถาม
“มิสเตอร์เดวิดทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ครับ เขาติดต่อมาหาผมเมื่อหลายวันก่อนเพื่อขอดูตัวอย่างผ้าไหม มิสเตอร์เดวิดบอกว่าผ้าไหมของเราหนาพอดีตามมาตรฐานที่นำไปบุเฟอร์นิเจอร์ได้ แล้วก็ทำจากเส้นไหมแท้ทั้งหมด ที่สำคัญเขาชอบลายผ้าไหมของเรามากครับ บอกว่าสวยแบบไทยแท้และดูแปลกตาดี”
“อ้าว ถ้าเขาชอบผ้าไหมเราขนาดนั้นแล้วทำไมยังไม่เซ็นสัญญาล่ะ”
“ผมเป็นคนเสนอเองครับว่าให้ลองซื้อผ้าล็อตแรกไปใช้งานก่อน ถ้าคิดว่าพอใจกับผลิตภัณฑ์ของเราจริงๆ ค่อยว่ากันใหม่เรื่องสัญญา ผมไม่อยากทำงานร่วมกับคนที่ไม่เห็นค่าของผ้าไหมครับแม่ เพราะผมรู้ดีว่าแม่รักผ้าไหมของเรามากแค่ไหน” คำพูดของนพนทีทำเอาหัวใจคนเป็นแม่พองโตคับอก
“แม่ดีใจนะที่ลูกยอมช่วยสานฝันของแม่ แม่อาจจะได้ทำตามความฝันของตัวเองเอาเมื่อตอนแก่ แต่แม่ภูมิใจมากนะที่ลูกเองก็รักสิ่งที่แม่รักเหมือนกัน ขอบใจมากนะนที” คุณมณีกุมมือบุตรชายไว้แน่น รอยยิ้มปลื้มปิติปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” ชายหนุ่มยกมือเรียวบางที่เริ่มมีริ้วรอยขึ้นจูบเบาๆ “ผมขอตัวไปที่บริษัทเลยนะครับ วันนี้คุณแม่พักผ่อนเถอะ ถ้ามีเอกสารที่ต้องอนุมัติผมจะเอากลับมาให้คุณแม่ดูที่บ้านเอง”
“ไม่ต้องหอบงานมาให้แม่ดูหรอกนที ตอนนี้ลูกเป็นประธานบริษัทแล้วนะ แม่เชื่อว่าลูกตัดสินใจเองได้ เผลอๆ อาจจะดีกว่าแม่เสียด้วยซ้ำไป” คุณมณีหมายความตามที่พูดจริงๆ เพราะนพนทีแสดงให้เห็นแล้วว่ามีความสามารถพอที่จะควบคุมจัดการทุกอย่างเองได้
“คุณแม่...แน่ใจเหรอครับว่าผมจะไม่ทำให้บริษัทของเราเสียหาย”
หนุ่มหล่อยังไม่แน่ใจในความเชี่ยวชาญของตัวเอง แม้ว่าเขาจะใช้เวลาเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับงานมานานกว่าสี่ปีแล้ว ซึ่งนับตั้งแต่น้องสาวฝาแฝดทั้งสองคนแยกย้ายไปมีครอบครัว
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกจ้ะ รู้จักเชื่อมั่นในตัวเองหน่อยสินที”
“ครับคุณแม่ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังครับ”
“ดีมากลูก ต่อจากนี้ไปแม่จะได้วางมือเสียที ทำงานหนักมาตั้งสี่ปีแล้วนี่เนอะ” คุณมณียิ้มกับบุตรชาย “ไปทำงานเถอะ เดี๋ยวแม่ออกไปส่งนะ”
นพนทีไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากยิ้มและพยักหน้าให้กับมารดา สองแม่ลูกเดินเคียงข้างกันออกไปจนถึงหน้าบ้าน ก็พบว่าคนขับรถที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่อย่างประภาส ได้นำรถยนต์คันหรูของนพนทีมาจอดคอยท่าไว้อย่างทุกวันแล้ว
“ขับรถดีๆ นะลูก” คุณมณีอวยพรเหมือนทุกครั้งที่ออกมาส่งชายหนุ่มที่หน้าบ้าน
“รับทราบครับ ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับคุณแม่” นพนทีโน้มตัวลงหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ ก่อนจะหันไปรับกุญแจจากประภาส แล้วก้าวขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับรถ
นพนทีหยิบแว่นดำกันแดดขึ้นมาสวม แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ขับออกจากบ้านวารีพิทักษ์ไปทันที ประภาสทำหน้าสลด เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมนายหนุ่มถึงไม่ยอมให้เขาได้ทำหน้าที่คนขับรถเลยสักครั้ง ดูเหมือนคุณมณีจะสังเกตเห็นอาการนั้นเข้าพอดี ถึงได้รีบอธิบายให้คนขับรถหน้าตาดีฟัง
“อย่าไปคิดมากเลยภาส นทีไม่ได้รังเกียจอะไรเธอหรอก ลูกชายตัวดีของฉันแค่ไม่ชอบให้ใครขับรถให้เท่านั้นเอง เขาบอกว่ามันดูเหมือนลูกคุณหนูเกินไป”
“อ้าว ที่แท้ก็เป็นเพราะแบบนี้เองเหรอครับ มิน่าล่ะ...เวลาผมขอขับรถให้ คุณนทีถึงได้ตวาดใส่ทุกทีเลย” ประภาสเริ่มยิ้มออก โล่งอกขึ้นเยอะที่ไม่ได้ถูกเจ้านายเกลียดขี้หน้าเอา
คุณมณีส่ายหน้ายิ้มๆ นับตั้งแต่ไอลดากับอลงกต ลูกสาวฝาแฝดทั้งสองของนางแต่งงานไป บ้านวารีพิทักษ์ก็เงียบเหงาลงถนัดตา แต่ตอนนี้นพนทีกำลังดึงความสุขกลับเข้ามาภายในครอบครัวอีกครั้ง แต่มันคงดีไม่น้อยเลยหากชายหนุ่มจะยอมสละโสดเสียที
ถึงแม้ว่าลูกสาวทั้งสองคนจะมีหลานให้อุ้มแล้ว แต่คุณมณีก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ดี เพราะไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดกับหลานๆ บ่อยนัก แต่ถ้านพนทีจะยอมแต่งงานเสียที เห็นทีว่าคราวนี้คงทำให้คนแก่คลายเหงาลงได้จริงๆ เพราะเป็นที่รู้กันอยู่ว่าบุตรชายนั้นไม่ต้องแยกไปอยู่ที่อื่น ไม่เหมือนกับบุตรสาวที่ต้องแยกไปอยู่ที่บ้านของสามีหลังจากแต่งงาน
ไม่ได้การเสียแล้ว...เห็นทีนางคงต้องรอถามความคืบหน้าจากคุณธาดา หวังว่าธุระที่กำลังคุยกันอยู่คงไม่มีอะไรติดขัด ผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิงน่าจะยินดีร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ งานแต่งงานของนพนทีจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แน่ๆ
สาวสวยรูปร่างเพรียวระหงขับรถยนต์แบรนด์ Bentley Continental GT ซึ่งมีราคาราวยี่สิบล้านบาทไปบนท้องถนนด้วยความเร็วสูง เรียกได้ว่าไม่คิดกลัวเอาเสียเลยว่าพฤติกรรมแย่ๆ ของตัวเองจะทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ เพราะหากมีใครสักคนคิดจะมีเรื่องกับเธอ เธอก็พร้อมเสมอที่จะใช้อำนาจอันใหญ่โตของบิดา เป็นตัวช่วยที่ทำให้ตัวเองเหนือกว่าคนอื่นๆ
ปุษยา พนิตนนท์มนตรี บุตรสาวเพียงคนเดียวของพลตำรวจเอกปิยะ พนิตนนท์มนตรี ที่ถึงแม้จะเกษียณอายุราชการแล้ว แต่ก็ยังมีเส้นสายและอำนาจบารมีอยู่มากมาย ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ปุษยาไม่เกรงกลัวต่อความผิดใดๆ
มุมปากสวยได้รูปโค้งขึ้นเล็กน้อยเมื่อสามารถขับรถทะยานขึ้นแซงหน้าคันอื่นได้ แต่เมื่อเห็นรถยนต์คันหรูของแบรนด์เดียวกัน ทว่าเป็นสีดำปราดเปรียวเร่งเครื่องขึ้นแซงหน้าอย่างอาจหาญ คนนิสัยชอบเอาชนะอย่างปุษยาจึงไม่รอช้าที่จะทำแบบเดียวกันทันที
นพนทีมองรถสปอร์ตเปิดประทุนสีขาวอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่ขับรถอยู่บนถนนสายเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นตลอดว่าเจ้าหล่อนพยายามท้าทายกฎหมายมากแค่ไหน มองแบบผิวเผินแล้วสาวเจ้าก็สวยเอาการเลยทีเดียว แต่รอยยิ้มที่ดูแล้วหยิ่งยโสบนใบหน้าเธอ ทำให้เขาเลือกที่จะมองผ่านไปเหมือนอย่างเคย
ไม่มีใครรู้จักผู้หญิงดีเท่าคนอย่างนพนทีหรอก...
“ยัยนั่นเป็นบ้าอะไรวะ ขับรถเอาเป็นเอาตายอย่างกับอยู่ในสนามแข่ง” ชายหนุ่มบ่น เร่งเครื่องขึ้นแซงหน้าเธออีกครั้ง คราวนี้ออกตัวแรงและรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า ทำให้ระยะห่างระหว่างรถทั้งสองคันมีมากขึ้น
ปุษยากัดริมฝีปากอย่างไม่พอใจ แต่รถคันอื่นที่เริ่มทยอยตีเสมอขึ้นมาทำให้เธอไม่อาจไล่ตามบุรุษหนุ่มนิรนามต่อได้ หญิงสาวกระสับกระส่ายอยู่บนรถพักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจบีบแตรไล่ให้ผู้อื่นยอมหลีกทางให้ หลายคนเปิดกระจกรถออกมาสบถต่อว่าอย่างหัวเสีย ถ้าเป็นเวลาอื่นปุษยาคงจัดการฉะแหลกไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย เพราะเป้าหมายเดียวคือไล่บี้คนที่บังอาจขับรถแบรนด์เดียวกันกับเธอต่างหาก!
ตอนนี้ปุษยาไล่ตามมาจนเกือบทันแล้ว แต่โชคร้ายที่เธอเร่งเครื่องยนต์ด้วยความใจร้อนจนเกินไป เพราะเมื่อสัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง เท้าเรียวก็แทบเหยียบเบรกไม่ทัน ส่งผลให้รถยนต์ที่จอดอยู่ข้างหน้าถูกชนเข้าอย่างจัง
โครม!!!...
นพนทีตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อกำลังนั่งฮัมเพลงรอสัญญาณไฟเขียวอยู่ดีๆ แล้วเกิดมีรถยนต์ของใครคนหนึ่งแล่นเข้ามาจูบท้ายเข้าเสียงดังโครม ชายหนุ่มรีบเปิดประตูรถออกอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาในยามนี้ฉายแววฉุนเฉียวจนเห็นได้ชัด
“นี่คุณ! ทำไมถึงขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้ฮะ!”
นพนทีโวยวายเสียงดัง ขณะถอดแว่นกันแดดออกให้พ้นใบหน้าอย่างโกรธๆ ทันทีที่เห็นชัดเต็มตาว่าใครคือคู่กรณี รอยยิ้มหยันก็ผุดขึ้นทันที “ที่แท้ก็คุณหนูไฮโซที่เห็นถนนเป็นสนามแข่งรถนี่เอง ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลยนะคุณ”
“นายกล้าดียังไงถึงมาพูดจาแบบนี้กับฉันยะ!”
ปุษยารีบก้าวลงจากรถ และดึงแว่นกันแดดออกเช่นเดียวกับชายหนุ่ม หากต่างกันก็ตรงที่เธอปามันลงพื้นอย่างไม่ใยดี เพียงเพราะไม่พอใจที่ถูกคนแปลกหน้าต่อว่าเอา
“ผมก็เป็นคนที่มีขีดความโมโหจำกัดเหมือนคุณนั่นแหละ! แล้วไอ้คนที่จะต้องแสดงท่าทางไม่พอใจมันควรจะเป็นผมมากกว่านะ ไม่ใช่คุณ!”
นพนทีชักหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ จริงอยู่ที่ผู้หญิงตรงหน้านั้นสวยหยาดเยิ้มราวกับเทพธิดาลงมาจุติ รูปร่างเพรียวระหงเสียจนนางแบบบางคนยังสู้ไม่ได้ ผิวพรรณก็ละเอียดลออ สมเป็นผู้รากมากดี แต่ยิ่งได้สนทนากับเธอ เขาก็ยิ่งพบว่าความสวยภายนอกไม่ได้สัมพันธ์กับนิสัยใจคอของเธอเลย
“แล้วใครใช้ให้นายขับรถแซงหน้าฉันล่ะ แหม...ไปยืมรถเจ้านายมาหรือเปล่านายคนสวน ท่าทางอย่างนายไม่น่าจะมีปัญญาซื้อรถราคาแพงๆ แบบนี้หรอก” ปุษยาดูถูก
“ถ้าผมเป็นคนสวน คุณก็คงเป็นคนรับใช้ของบ้านเศรษฐีแถวนี้สินะ แหม...แอบเอารถเจ้านายมาจ่ายตลาดเหรอแม่คนรับใช้!” การย้อนคืนของนพนทีเล่นเอาหญิงสาวปรอทแตก เธอกระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างขัดใจ พร้อมกับกรีดร้องเสียงดัง
“กรี๊ด! อีตาบ้าคนสวน นายกล้าดียังไงถึงมาหาว่าฉันเป็นคนรับใช้! มีตาไว้ประดับบนหน้าอย่างเดียวเหรอยะ!” ปุษยาไม่ยอมหยุด
“ผมไม่อยากต่อปากกับคุณแล้ว คุณจะเป็นคนรับใช้หรือยัยคุณหนูไฮโซโลโซที่ไหนก็ช่างเถอะ” นพนทีตัดรำคาญ ก่อนชายตามองที่ท้ายรถเพื่อสำรวจความเสียหาย ซึ่งเขาถึงกับถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่ามันไม่ได้สาหัสอย่างที่คิดไว้
“ทำเป็นปากกล้าไปเถอะ ไม่เกินสามวันฉันรับรองได้เลยว่านายถูกเด้งออกจากงานที่ทำอยู่แน่!”
“เหรอ...ถ้างั้นก็ขอบคุณล่วงหน้าล่ะกันนะ” นพนทียิ้มเก๋ใส่เธอ และหมุนตัวเดินกลับไปที่รถ
“หยุดนะ! นี่นายกล้าท้าทายคนอย่างฉันเหรอ...ไอ้บ้า ฉันบอกให้หยุด!” เสียงตะโกนโวยวายของปุษยา ทำเอาผู้คนที่มองดูเหตุการณ์อยู่ทำหน้าระอาด้วยความเบื่อหน่าย นี่ขนาดฝ่ายที่เสียหายไม่คิดจะเอาเรื่องเลยแม้แต่น้อย ทว่าเธอก็ยังไม่ยอมหยุดพฤติกรรมอันน่าชังอีก
นพนทีไม่ได้หยุดตามที่อีกฝ่ายร้องสั่ง ชายหนุ่มพยายามบอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นๆ อย่าได้ผลีผลามทำสิ่งที่ถือว่าเป็นการเอาเปรียบผู้หญิง เพราะหากคู่กรณีที่กำลังวางอำนาจใส่เขาเป็นเพศเดียวกัน รับรองว่าเรื่องราวจะไม่จบลงด้วยการหันหลังหนีง่ายๆ อย่างนี้แน่นอน
ขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมไปเปิดประตูรถ วัตถุที่มีน้ำหนักไม่เบานักก็ลอยหวือเข้ามาปะทะที่ศีรษะเต็มแรง นพนทีผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ยกมือขึ้นกุมหัว เมื่อหันไปมองที่พื้นถนน อารมณ์ที่กำลังสงบก็เดือดดาลขึ้นเป็นทวีคูณ
เธอคิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้าหรืออย่างไรกัน! ถึงได้กล้าใช้รองเท้าส้นสูงเล่นงานเขาแบบนี้!
ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าสวยชนิดไม่วางตา รอยยิ้มสะใจของหญิงสาวทำให้เลือดในกายพุ่งพล่าน และก่อนที่จะพยายามสงบสติอารมณ์ได้สำเร็จ นพนทีก็พาตัวเองก้าวอาดๆ เดินตรงไปหาปุษยาเสียก่อน มือทั้งสองกระชากต้นแขนเรียวเล็กไว้แน่น
“สนุกมากนักใช่มั้ย” น้ำเสียงที่เค้นผ่านไรฟันฟังดูเยือกเย็น แต่หญิงสาวก็ยังเชิดหน้าใส่เขา
“ใช่! ฉันสนุก...แล้วก็มีความสุขมากที่ได้ปารองเท้าใส่หัวนาย”
“ก็ดี เพราะผมจะไม่มีวันลืมกิริยาต่ำๆ ของคุณในวันนี้เด็ดขาด ส่วนคุณ...ก็คงลืมผมไม่ลงเหมือนกัน!” พูดจบนพนทีก็กระชากร่างบางเข้ามาหา โน้มใบหน้าลงประกบจูบกับเธอต่อหน้าผู้คนที่กำลังสัญจรไปมาบนท้องถนน
เรียวปากบางรู้สึกได้ดีถึงความบอบช้ำที่กำลังจะตามมาในภายหลัง นพนทีจูบเธอราวกับต้องการกระชากวิญญาณดวงน้อยให้หลุดลอยออกจากร่าง ปลายลิ้นอุ่นสอดเข้าไปในโพรงปากนุ่มเพื่อลิ้มชิมความหวาน มือหนาที่รั้งต้นคอเอาไว้ทำให้ปุษยาหมดทางหนี ต้องทนยอมให้บุรุษแปลกหน้าพรากจูบแรกไปจนกว่าจะพอใจ
ชายหนุ่มรู้สึกถึงความร้อนรุ่มในกายที่กำลังก่อตัวขึ้น และไม่แปลกเลยที่อารมณ์ของเขาจะบังเกิดรวดเร็วอย่างนี้ ในเมื่อมันนานถึงสี่ปีแล้วที่เขาไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง นพนทีคิดว่าการใช้ชีวิตแบบไร้สาระไปวันๆ มันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ ผู้หญิงที่ยอมขึ้นเตียงกับเขาก็มีแต่พวกหวังผลประโยชน์
แม้จะรูปร่างหน้าตาจะหล่อเหลาโดดเด่น ฐานะหรือก็ร่ำรวยไม่น้อยหน้าใคร แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนจริงใจกับเขาเลย ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้นพนทีลาขาดจากความเป็นคาสโนว่า และตั้งใจว่าจะอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต
แรงปะทะจากมือบางที่รัวอยู่บนอกกว้างทำให้นพนทีเริ่มได้สติ ในที่สุดเขาก็ยอมถอนจูบและถอยห่างหญิงสาวไปสองสามก้าว เพราะรู้ดีว่าหากยืนอยู่ใกล้มากเช่นเดิม มีหวังได้โดนตบจนหน้าชาแน่ๆ
“นะ...นาย!” ปุษยาตกอยู่ในสภาพช็อคจนสรรหาคำด่าไม่ได้ ใบหน้าเธอซีดเผือดจนเครื่องสำอางดูไร้ความหมายไปชั่วคราว
“จูบนี้แลกกับการที่คุณกล้าปาร้องเท้าใส่หัวผม ถ้าคราวหน้าผมได้เจอคุณอีก...รับรองได้เลยว่าผมจะไม่หยุดแค่นี้แน่!”
นพนทียืนรอฟังคำโต้ตอบจากปุษยาอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อเห็นเธอเพียงแค่ยกมือปิดปาก พร้อมจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีน้ำผึ้งที่เบิกกว้างคู่นั้น ชายหนุ่มจึงกระตุกยิ้มเย้ย และเดินกลับไปที่รถอย่างที่ตั้งใจไว้
ปุษยายืนนิ่งอยู่ที่เดิมจนกระทั่งได้ยินเสียงแตรรถบีบไล่ สมองของเธอพร่ามัวจนลำดับเหตุการณ์ไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พวงแก้มขาวซีดเปลี่ยนเป็นแดงปลั่ง เมื่อนึกถึงรสจูบอันเผ็ดร้อนของชายนิรนาม
ร่างบางรีบก้าวขึ้นนั่งประจำตำแหน่งคนขับอีกครั้ง เมื่อหลายคนเริ่มตะโกนต่อว่าด้วยถ้อยคำต่างๆ นานา ปุษยาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ารองเท้าคู่โปรดของตัวเองหายไปข้างหนึ่ง ไม่ได้สวมอยู่บนเท้าอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนตอนแรก
“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย! ชาตินี้ขออย่าได้พบอย่าได้เจอกันอีกเลย!”
ปุษยาตะโกนเมื่อสติกลับคืนมา มือบางกำพวงมาลัยรถแน่น และพ่นถ้อยคำผรุสวาทลับหลังคนที่อาจหาญขโมยจูบแรกของเธอ จนกระทั่งขับรถไปถึงที่บ้านพนิตนนท์มนตรี
ปุษยาไม่สนใจอาหารเช้าที่รออยู่ในห้องอาหาร เธอรีบเดินกึ่งวิ่งขึ้นชั้นบนไป ตั้งใจว่าจะขังตัวเองอยู่แต่ในห้องนอน ไม่ออกไปไหนอีกตลอดทั้งวัน ปุษยานึกเสียใจเหลือเกินที่วันนี้เกิดอยากขับรถออกไปสูดอากาศยามเช้า เพราะถ้าเธอเลือกที่จะตื่นสายเหมือนอย่างทุกวัน คงไม่ต้องออกไปพบเจอกับผู้ชายฉวยโอกาสคนนั้นหรอก!

