บทที่ ๘ ผิดพลาด
สุดท้ายนพนทีก็ตัดสินใจได้ว่าการไม่ไปที่ดีลักซ์คลับนั้น เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับตัวเอง ตอนที่โทรไปขอเปลี่ยนสถานที่นัดหมาย ว่าที่เจ้าสาวของเขาก็ไม่ได้โวยวายหรือขัดข้องอะไร เพียงแต่เมื่อจับน้ำเสียงดูแล้ว นพนทีคิดว่าเธอคงแค่ประหลาดใจเสียเท่านั้น
นพนทีเปลี่ยนจากดีลักซ์คลับ เป็นภัตตาคารหรูที่เพิ่งไปกับศศิกานต์มาเมื่อไม่กี่วันก่อน ชายหนุ่มแจ้งกับผู้จัดการว่าต้องการห้องวีไอพีที่มีความเป็นส่วนตัว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก เพราะเขาคุ้นเคยกับภัตตาคารแห่งนี้เป็นอย่างดี
หนุ่มหล่อนั่งเหม่อรอคอยสุภาพสตรีที่กำลังได้ชื่อว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวอย่างใจเย็น ขณะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบไปพลาง ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามด้วยพนักงานที่เดินนำเข้ามา นพนทีถอนหายใจและไม่ได้หันไปมองผู้หญิงที่กำลังเดินตรงมาที่โต๊ะในทันที แต่เมื่อได้ยินเสียงอุทานดังขึ้นเบาๆ เขาก็หันขวับไปยังจุดที่เธอยืนอยู่ทันที
แต่ผู้หญิงรูปร่างอรชรคนนั้นกลับยืนหันหลังให้เขา...
“เอ่อ...” นพนทีพาตัวเองขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือขยับสูทให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยที่สุด “คุณ...เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ” ว่าแล้วร่างสูงก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหา และหยุดยืนอยู่ทางด้านหลังหญิงสาว มือหนาโบกขึ้นกลางอากาศ เป็นเชิงบอกให้เหล่าพนักงานบริการออกไปรอข้างนอกก่อน
ปุษยากัดริมฝีปากแน่น ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายที่ต้องมาพบในคืนนี้ จะเป็นคนๆ เดียวกับที่ล่วงเกินเธอมาแล้วสารพัด ร่างบางระหงในชุดเดรสสีครีมบางเบายืนนิ่ง ภาวนาขอให้คนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังหยุดอยู่แค่นั้น
“คุณครับ...มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” นพนทีเกือบจะก้าวเท้ามายืนอยู่ข้างหน้าเธอแล้ว ถ้าหากเธอไม่ขัดขึ้นเสียก่อน
“ปะ...เปล่าค่ะ! ฉัน...ฉันรู้สึกอยากอาเจียน ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ” ปุษยานึกดีใจที่หาข้ออ้างได้รวดเร็วอย่างที่ตัวเองต้องการ เท้าเรียวภายใต้ร้องเท้าคู่สวยรีบก้าวตรงไปที่ประตู แต่ด้วยความรีบร้อนนั้นเอง ทำให้ส้นรองเท้าที่สูงราวสามเซนติเมตรพลิกตะแคง ส่งผลให้ร่างบางทรุดฮวบลงไม่เป็นท่า
“คุณ!” นพนทีปราดเข้าไปช่วยประคองเธอ และขณะนั้นเองที่เขาได้รู้แล้วว่าผู้หญิงตรงหน้าคือใคร “ปุษยา! นี่คุณ!...”
“ปล่อยฉัน!” หญิงสาวสะแขนออกจากการเกาะกุม แล้วรีบพยุงตัวเองลุกขึ้นเผชิญหน้ากับเขา
“นี่อย่าบอกนะว่า...ว่าที่เจ้าสาวของผมก็คือคุณ” นพนทีอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาคมกระพริบถี่ๆ เหมือนต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป
“มะ...ไม่ใช่นะ! ฉัน...ฉันก็แค่เข้าห้องผิด!” พูดจบปุษยาก็ตั้งท่าจะวิ่งตรงไปที่ประตู แต่นั่นยังไวน้อยกว่านพนทีที่รีบก้าวยาวๆ ไปดักหน้าไว้
“โกหก” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนพนทีถึงต้องอารมณ์ดีขึ้น เมื่อได้เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดและท่าทางลุกลี้ลุกลนของปุษยา
“ฉันมีความจำเป็นอะไรที่ต้องโกหกนายไม่ทราบ! ถอยไป!” มือบางผลักไปที่อกกว้างเต็มแรง แต่นั่นไม่ได้เพียงพอที่จะหยุดนพนทีได้
“ไม่เอาน่า ถ้าว่าที่สามีของคุณคือผมมันก็ดีแล้วนี่ ไหนๆ เราสองคนก็...รู้จักกันลึกซึ้งมาแล้ว” ชายหนุ่มไล่สายตาลงมองที่อกอิ่มภายใต้ชุดเดรสอย่างมีความหมาย
“ไอ้บ้า! นายอย่ามาคิดอะไรชั่วๆ กับฉันนะ!”
ปุษยายกมือที่ถือกระเป๋าอยู่ขึ้นปิดหน้าอก เดินถอยหลังห่างเขาสองสามก้าวเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเสียเปรียบ
“อะไรกัน...” นพนทีย่างสามขุมเข้าหาเธอช้าๆ “ทำไมต้องพูดจากับว่าที่สามีแบบนี้ด้วยละครับ คุณว่าที่ภรรยา”
“ไอ้ทุเรศ เลิกพูดแบบนี้นะ แล้วก็หยุดเข้ามาใกล้ฉันได้แล้ว”
ปุษยาเริ่มเดินวนรอบโต๊ะอาหาร เหมือนอย่างที่นพนทีกำลังทำไล่ตามมาเรื่อยๆ “ฉันบอกให้หยุด! ถ้าไม่หยุดฉันจะร้องให้คนช่วยจริงๆ ด้วย” เธอขู่ และทำตามนั้นแทบจะในทันที
“ช่วย... ว้าย!” นพนทีปราดเข้าไปปิดปากเธอ ใช้มือข้างที่ว่างอยู่ดึงร่างบางเอามากอดจากทางด้านหลัง
“เงียบนะ! คิดว่าผมพิศวาสคุณนักเหรอ!”
“อ่อยอะ!...อ่อย!!” ปุษยาทั้งดิ้นทั้งทึ้งชายหนุ่มพัลวัน แต่ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่าผู้ชายไม่มีทางเสียเปรียบผู้หญิงได้ง่ายดายนักหรอก
“อยากร้องก็เอาไว้ร้องตอนสนุกกับผมดีกว่ามั้งคุณ” พูดจบชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงพนักงานเคาะประตู เขาไม่รู้ว่าจะแก้สถานการณ์อย่างไรดี เพราะถ้าหากพนักงานเห็นปุษยาอยู่ในสภาพที่ต้องการความช่วยเหลือ เธอจะต้องรอดพ้นจากน้ำมือเขาไปอีกแน่
ก่อนที่จะมีใครสักคนก้าวเข้ามาเห็นเหตุการณ์ภายในห้อง นพนทีก็ดึงปุษยาเข้ามาจูบเสียก่อน พนักงานที่ก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ต่างก็ตกใจกับบทรักของสองหนุ่มสาว แล้วรีบพากันออกจากห้องไปทันที แน่นอนว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า...ฝ่ายหญิงที่ถูกร่างสูงบังจนแทบมิด กำลังดิ้นรนอย่างหนักทีเดียว!
“สารเลว!!” ปุษยาก่นด่าเมื่อเป็นอิสระ เป็นเหตุให้ถูกดึงเข้าไปบดจูบรุนแรงอีกครั้ง
“เอาสิ ตบอีกก็จูบอีก” นพนทียื่นหน้ายั่ว “ตบแรงเท่าไหร่ ผมจะก็รุนแรงกับคุณขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน” แล้วยืดตัวเต็มความสูง เมื่อเห็นหญิงสาวทำได้แค่กัดฟันกำมือแน่นเท่านั้น
“ถ้าไม่อยากให้ผมเล่นบทหื่นอีกก็ไปนั่งซะ”
“.....” เธอไม่ตอบอะไร นอกจากจ้องหน้าเขาและหอบหายใจแรงๆ ด้วยความโกรธ
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ ปุษยาจะมัวยุ่งยากใจกับเรื่องที่จะจับถูกคลุมถุงชน จนลืมนึกถึงความตั้งใจเดิมที่จะเอาคืนเขา แต่ต่อจากนี้ไม่อีกแล้ว เพราะผู้ชายเห็นแก่ตัวตรงหน้าคือทุกปัญหาในชีวิตของเธอเรียบร้อยแล้ว สำหรับเขาและเธอ มันไม่มีทางรอมชอมต่อกันได้เลย นอกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องแตกหักไปเสียก่อน
ปุษยากัดริมฝีปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงกันข้ามกับนพนที ใบหน้างามเบือนหนีไปทางอื่น ด้วยไม่อยากมองฝ่ายตรงข้ามให้เสียสายตา
“ผมไม่คิดเลยนะว่าโลกจะกลมแบบนี้ มัน...มหัศจรรย์มากที่คุณกลายเป็นเมียผม” นพนทีจงใจกลั่นแกล้งหญิงสาวด้วยคำพูด ซึ่งเขารู้ดีแก่ใจว่ามันได้ผลเสมอ
“ฉันพยายามใจเย็นกับนายแล้วนะ! ช่วยพูดจาให้เกียรติเพศแม่หน่อยได้มั้ย”
“แอบแรงเหมือนกันนะปุษยา แต่ก็เอาเถอะ...เรามาสงบศึกเพื่อปรึกษาเรื่องบนเตียง เอ๊ย! เรื่องคลุมถุงชนของเรากันดีกว่ามั้ย” นพนทีเย้าไม่เลิก ยิ่งแกล้งก็ยิ่งสนุก บางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองกลายเป็นคนโรคจิตไปแล้วหรือเปล่า
“ดี! ถ้านายต้องการหาทางออกเรื่องนี้ร่วมกับฉัน จำใส่หัวเอาไว้ด้วยว่าอย่ามาหยาบคายอีก”
“เฮ้! ไอ้คำว่าจำใส่หัวเอาไว้นั่นน่ะ เอาไว้พูดกับญาติพี่น้องคุณเถอะ ถึงยังไงผมก็อายุมากกว่านะ”
“ถ้างั้นฉันต้องเรียกนายว่าพี่เลยมั้ยล่ะ?!” ปุษยาประชด
“แบบนั้นดีเลยล่ะ งั้นต่อไปนี้เรียกผมว่าพี่นทีนะ” นพนทีดันเอาจริง
“ฝันไปเถอะย่ะ! แล้วก็เลิกยียวนได้แล้ว ฉันรีบ!” ปุษยาตวาดใส่
“ผมเองก็ไม่อยากเสียเวลาอยู่กับคุณนักหรอก” เขายักไหล่กวนๆ
“เรื่องแต่งงานนั่น ฉันไม่เห็นด้วยกับพวกผู้ใหญ่” หญิงสาวเป็นฝ่ายเริ่มเข้าเรื่องก่อน เพราะถ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนพนที อาจต้องใช้เวลาแทบทั้งคืนเลยก็ได้
“คิดงั้นเหรอ พวกท่านอาจจะหวังดีก็ได้นะ”
ถ้าผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่ปุษยา นพนทีคิดว่าเขาคงไม่พูดแบบนี้...
“ใช่ พวกท่านอาจจะหวังดี แต่ในความหวังดีพวกนั้นก็มีความประสงค์ร้ายปะปนอยู่ด้วย เพราะพวกท่านคงไม่รู้หรอกว่าผู้ชายที่เลือกให้ฉัน มันเป็นคน...” ปุษยาเว้นคำพูดเล็กน้อย “เป็นคนที่ไม่เหมาะสมกับฉันเลยสักนิด” จากที่ตั้งใจจะพูดว่านพนทีเป็นคนเลว หญิงสาวกลับเปลี่ยนคำพูดเอาดื้อๆ เพียงเพราะรู้สึกสะท้านกับแววตาจริงจังของนพนที
“อืม...คุณคิดว่าเราไม่เหมาะสมกันอย่างนั้นใช่มั้ย”
“มาก...เราทั้งคู่ต่างก็เกลียดกัน เราไม่มีอะไรที่เหมาะสมกันเลย”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเกลียดคุณ”
นพนทีถาม แล้วยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
“เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่นายต้องทำกับฉันขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะนายเกลียดฉัน” ปุษยาไม่ได้อยากรื้อฟื้นความอัปยศในคืนนั้นขึ้นมานักหรอก หากไม่ใช่เพราะต้องการตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าที่ผ่านมา เขาทำกับเธอมากเกินกว่าเหตุจริงๆ
“คุณ...” นพนทีถึงกับพูดไม่ออก
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอกนะ เพราะฉันเองก็ถือซะว่าทำทานไปแล้ว”
“ทำทานงั้นเหรอ?”
“ฉันตกลงกับคุณพ่อคุณแม่เอาไว้ว่าจะลองคบหากับนายดูก่อนสักระยะ มันน่าจะราวๆ สามเดือน และฉันหวังเป็นอย่างสูงนะว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง นายจะช่วยบอกกับทุกฝ่ายว่าเราเข้ากันไม่ได้...ไม่มีทางเข้ากันได้” หญิงสาวเลี่ยงประเด็นเดิม แล้วดึงนพนทีเข้าสู่เรื่องที่คุยกันค้างไว้อีกครั้ง
“อันที่จริงผมเองก็ไม่อยากมีเมียเป็นผู้หญิงใจร้าย ชอบดูถูกคนอื่น แล้วก็สวยแค่ภายนอกนักหรอกนะ”
“นี่คุณ!” ปุษยาเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกครั้ง นพนทีช่างขยันยั่วให้เธอโกรธเสียจริงๆ
“แต่ถ้าผมไม่ร่วมมือกับคุณล่ะ”
“อะไรนะ นี่นายหมายความว่ายังไงกันแน่?”
“ก็...” นพนทียิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าผมยอมรับการคลุมถุงชนในครั้งนี้ขึ้นมา คุณก็คงทำอะไรไม่ได้สินะ เพราะทางฝ่ายผมก็บอกมาแล้วเหมือนกันว่าเรื่องการแต่งงานจะไม่เกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อสองฝ่ายเข้ากันไม่ได้จริงๆ แล้วถ้าผมบอกว่ารู้สึกพอใจในตัวคุณมากๆ แต่เป็นคุณเองที่มาข่มขู่ให้ผมปฏิเสธเรื่องการแต่งงาน...คุณคิดว่าพวกผู้ใหญ่จะว่ายังไง”
“นายนี่มัน...เลวได้จนถึงวินาทีสุดท้ายเลยนะ! นายจะแกล้งฉันไปถึงเมื่อไหร่กัน!” ปุษยาลุกจากเก้าอี้ ดวงตากลมโตเริ่มมีหยาดน้ำสีใสคลอรื้นขึ้นมา นพนทีเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกันกับเธอ
“ผมไม่ได้แกล้ง...ก็แค่อยากให้คุณรู้จักยอมคนอื่นบ้าง บางทีถ้าคุณมีสามีอย่างผม คุณพ่อคุณแม่ของคุณอาจจะหมดห่วงก็ได้นะปุษยา”
“นายมันหน้าตัวเมีย!”
“คุณ...พูดว่าไงนะ”
“นายมันสารเลว สันดานต่ำ จิตใจหยาบช้า ใจทรามยิ่งกว่าเดนมนุษย์ แล้วก็น่ารังเกียจยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานซะอีก!”
“ปุษยา!” นพนทีก้าวไปกระชากต้นแขนบอบบางจนเซถลาเข้ามาประชิดตัว
“เรียกชื่อฉันทำไมไม่ทราบ!” เธอเชิดหน้าใส่
“แทนที่จะมาทำเป็นอวดเก่งตะโกนใส่หน้าผม ทำไมคุณไม่อ้อนวอนผมล่ะ!” นพนทีตวาดใส่กลับบ้าง “คุณคิดว่าพูดจาแบบนี้แล้วมันจะมีผลดีกับตัวเองอย่างนั้นใช่มั้ย...ถ้าคิดว่าใช่ คุณก็เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของผมได้เลย แล้วไอ้เรื่องที่จะให้คบกันสามเดือนนั่น...ผมจะเร่งให้มันสั้นลงเอง ผมจะต้องทำให้คุณกลายมาเป็นเมียผมให้เร็วที่สุด!” แล้วชายหนุ่มก็สะบัดมืออกจากต้นแขนเธอแรง ส่งผลให้ร่างบางล้มไปกองอยู่ที่พื้นห้อง
“นาย!”
“บอกคุณพ่อคุณแม่คุณเตรียมตัวต้อนรับลูกเขยคนนี้ได้เลย!”
“หยุดนะ! นายจะไปไหน กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ!” ปุษยารีบร้องห้ามเมื่อนพนทีเปิดประตูจากไป หญิงสาวคว้ากระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารมาถือไว้ แล้วรีบวิ่งตามออกมาทันที
ร่างสูงโปร่งก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ใส่ใจฟังเสียงเรียกของหญิงสาว คำด่าทุกคำที่เขาได้รับมันจะสาสมหรือเกินกว่าเหตุ นพนทีไม่อาจประเมินผลมันได้ในตอนที่อารมณ์คุกรุ่นอยู่เช่นนี้ แต่ที่รู้ๆ คือปุษยานั้นเป็นทายาทของพวกผู้รากมากดี การศึกษาหรือก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นรองใคร แต่ทำไมจิตใจเธอถึงได้หยาบกระด้างนัก แล้วไหนจะคำด่าทอพวกนั้นอีก
เธอไปเรียนรู้มันมาจากไหนกัน...
อันที่จริงนพนทีแค่ต้องการวัดใจเธอดูเท่านั้น เขาแค่อยากรู้ว่าปุษยาจะหาทางออกอย่างไร หากเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือ ถ้าเธอยังพอมีจิตสำนึกที่ดีอยู่บ้าง เธอก็คงกล่าวคำขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนอย่างที่เขาคิดว่าจะขอโทษเธอเช่นกัน เพราะการถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก นพนทีไม่ได้เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่เมื่อได้เห็นธาตุแท้ในตัวเธอ เขาก็ชักอยากจะแต่งงานกับเธอให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสีย
ปุษยาแสดงออกว่ารังเกียจเขามากเท่าไหร่ นพนทีก็ยิ่งอยากแต่งงานกับเธอมากขึ้นเท่านั้น...
“เดี๋ยว!” มือนุ่มนิ่มที่รั้งข้อมือหนาเอาไว้ ทำให้ร่างสูงที่กำลังจะเปิดประตูรถยนต์ชะงักอยู่กับที่
“มีอะไร” นพนทีเอ่ยโดยไม่มองหน้า “อยากจะตามมาด่าอะไรอีกล่ะสิ เอาเลย...ผมจะไม่จูบคุณ จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ตามสบายเลยปุษยา”
“ปะ...เปล่านะ! ฉัน...ฉันก็แค่อยาก...อยากให้นายเอาเรื่องที่ฉันพูดไปคิดดู” หญิงสาวเอ่ย หลังจากรีบปล่อยมือชายหนุ่มแล้ว “ในเมื่อนายเองก็รู้นิสัยฉันดี นายคงไม่อยากทนอยู่กับผู้หญิงแย่ๆ หรอกจริงมั้ย?”
“คุณรู้ด้วยเหรอว่าตัวเองนิสัยแย่” นพนทีสบตากับเธอท่ามกลางความมืด “เหอะ! ผมคงหูเพี้ยนไปแล้วมั้งเนี่ย”
“ลองกลับไปคิดดูแล้วโทรมาหาฉันก็แล้วกัน นายจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ฉันเหรอ? คิดให้ดีสิ!”
“ฟังนะ” ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้า ยกมือขึ้นบีบไหล่บางทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้แน่น ก้มตัวลงอยู่ในระดับเดียวกัน เพื่อให้จ้องลึกลงในดวงตาคู่สวยได้อย่างถนัดถนี่
“ชีวิตผมมันก็ต้องเป็นของผม และเท่าที่ผ่านมาคุณน่าจะรู้ว่าใครกันแน่ที่มักจะได้เปรียบเสมอ คนที่จะทรมานจากการแต่งงานในครั้งนี้ไม่ใช่ผมหรอก แต่มันคือคุณต่างหาก”
“นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร” คราวนี้ปุษยาเอ่ยเสียงแผ่วจนนพนทีชะงัก ดวงตาที่มักจะฉายแววเด็ดเดี่ยวเสมอ ในตอนนี้มีน้ำตาไหลล้นออกมาไม่ขาดสาย
“เพื่อให้คุณรู้จักความเป็นคนยังไงล่ะ” ชายหนุ่มดึงมือกลับมาซุกไว้ที่กระเป๋ากางทั้งสองข้าง ยืดตัวยืนเต็มความสูงตามเดิม
“นายพูดอะไรของนายกันแน่” หญิงสาวถามขณะยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“แทนที่คุณจะมาสั่งผมว่าต้องให้ความร่วมมือกับคุณ คุณควรจะขอร้องผมมากกว่านะปุษยา แต่อันที่จริงแล้วผมก็ไม่คิดว่าจะได้ยินคำขอร้อง หรืออะไรที่มันดีๆ จากปากคุณหรอก เพราะแม้แต่ผม...ที่เป็นคนเดียวที่จะช่วยคุณได้ คุณยังไม่คิดจะให้เกียรติเลยสักนิด หรือแค่ผมด้วยสรรพนามแบบเดียวกันกับที่ผมเรียกคุณ คุณยังทำไม่ได้เลย”
“แค่นั้นเองเหรอที่นาย...เอ่อ ที่คุณต้องการ ได้สิ...” ปุษยาดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ฉันขอร้องนะ ได้โปรดให้ความร่วมมือกับฉันด้วย ฉันยังไม่พร้อมจะแต่งงานกับใครในตอนนี้ แล้ว...แล้วถ้าฉันทำอะไรที่ทำให้คุณไม่พอใจ ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษได้ยินมั้ย คุณนที”
นพนทียืนนิ่ง และเข้าใจแล้วว่าคนอย่างปุษยาทำได้ทุกอย่างจริงๆ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาในชีวิตของเธอ ไม่เคยมีใครบอกเลยหรือว่าการขอโทษหรือพูดจาดีๆ กับคนอื่น มันจะต้องมาจากความจริงใจ ไม่ใช่ทำไปเพียงเพราะต้องการผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว เหมือนที่เธอกำลังพยายามอยู่
“นี่ถ้าผมไม่ใช่คนเดียวที่จะทำให้คุณสมหวังได้ ผมคงไม่มีวันได้ยินคำพูดพวกนี้สินะ”
“คุณ...ยอมตกลงแล้วใช่มั้ย?” ปุษยายิ้มอย่างมีความหวัง แต่มันก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น
“ไม่เลยปุษยา” นพนทียิ้มเย็น “พรุ่งนี้ผมจะไปพบคุณพ่อคุณแม่ของคุณ แล้วผมก็รับรองได้เลยว่างานแต่งงานของเราจะต้องเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดแน่นอน” พูดจบนพนทีก็เปิดประตูรถออก พาตัวเองเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ แล้วเร่งเครื่องจากไปด้วยความเร็วสูง
ปุษยาทิ้งตัวนั่งร้องไห้บนพื้น ตอนนี้เธอทำได้แค่เพียงมองตามเขาไปเท่านั้น ทุกอย่างในวันนี้เธอพลาดเอง ถ้าหากยอมขอร้องเขาดีๆ ตั้งแต่แรก เรื่องมันก็คงไม่เลวร้ายแบบนี้... แล้วนี่เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี ดูแล้วคนอย่างนพนทีเองก็ร้ายไม่เบาเลย ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีทางเลือกแล้วสินะ
ปุษยากดโทรศัพท์ไปหาคนที่ต้องการให้ช่วยอย่างร้อนรน...คงต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียที!
