บทที่ ๗ นัดหมายสำคัญ
ปุษยาอยากขังตัวเองไว้ในห้องทั้งวัน เพราะไม่อยากลงมาเผชิญหน้ากับบุพการี แต่ในเมื่อออกปากพูดไปแล้วว่าจะยอมทำตามอย่างว่าง่าย เธอจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวลงมาพบพวกท่านที่ห้องโถงใหญ่ เพื่อรอฟังว่าวันนี้จะต้องทำตัวอย่างไรต่อไปอีก
‘ตอนนี้จะให้ปายไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ที่ไหนก็เชิญตามสบายเลยนะคะ! เพราะท้ายที่สุดแล้วปายไม่มีทางยอมเป็นฝ่ายแพ้แน่ๆ ’
ปุษยาค่อนขอดในใจ...
“เมื่อเช้าพ่อโทรไปคุยกับทางฝ่ายโน้นแล้วนะลูกปาย ดูเหมือนว่าที่ลูกเขยของพ่อจะตื่นเต้นมากเลยล่ะ เค้าอยากเจอลูกมากเลยนะ”
คุณปิยะเอ่ยด้วยสีหน้าเบิกบาน เช่นเดียวกับภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ค่ะ...” ปุษยาแสดงการรับรู้ด้วยประโยคสั้นๆ ยังคงควบคุมสีหน้าให้ดูราบเรียบเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
“เรื่องที่ลูกขอคบกันดูก่อน พ่อเห็นด้วยนะปาย พ่อจะให้ลูกกับเขาลองศึกษากันสักพัก”
“ค่ะ” ปุษยาว่าง่ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“วันนี้ลูกมีนัดตอนหนึ่งทุ่มตรงนะจ๊ะ เขาจะมารับลูกที่บ้าน เวลานั้นพ่อกับแม่คงออกไปงานเลี้ยงกันแล้ว ยังไงก็พูดจากันดีๆ นะ” คุณวิมลเอ่ย
“ทำไมต้องให้เขามารับปายที่บ้านด้วยคะ”
“เขาคงไม่อยากให้ลูกขับรถลำบากน่ะ พ่อว่าเป็นสุภาพบุรุษดีออก”
คุณปิยะให้เหตุผลตามที่ตนเองคิด พยายามจับผิดลูกสาวคนสวย แต่ก็ไม่พบอะไรที่คิดว่าผิดปกติ สาเหตุที่ทำให้อดระแวงไม่ได้ เพราะการที่ปุษยากลับลำมายอมทำตามคำสั่งง่ายๆ นั้น มันไม่ใช่นิสัยของเธอเลย แต่ก็ใช่ว่าคนเป็นพ่อจะตามลูกสาวแผนสูงทันเสมอไป
“แม่ให้เบอร์โทรศัพท์ของลูกกับเขาไปแล้วนะ แม่คิดว่าเดี๋ยวคงจะโทรหาลูกเร็วๆ นี้แหละ” พูดจบเพียงครู่เดียว เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในมือปุษยาก็ดังขึ้น หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาดูก็พบเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งนั่นบอกชัดเจนว่าคนที่โทรเข้ามานั้นเป็นใคร
ผู้ชายโชคร้ายที่บังอาจคิดจะแต่งงานกับเธอ...
“สวัสดีค่ะ...” หญิงสาวกรอกเสียงหวานอย่างไม่เต็มใจนัก หากที่ตรงนี้มีเธอนั่งอยู่คนเดียวก็คงตัดสายทิ้งไปแล้ว แต่เมื่อนั่งอยู่ต่อหน้าบุพการี หากไม่เล่นละครเสียหน่อยก็ดูท่าว่าคงจะไม่เหมาะนัก
“สวัสดีครับ ผม...แซ่ดๆๆ ตู้ดๆๆ”
อีกฝ่ายพูดได้เพียงไม่กี่คำก็สายหลุดไป ปุษยาอาศัยจังหวะนั้นรีบลดนิ้วเรียวลงกดปุ่มปิดเครื่อง แล้วซ่อนหน้าจอที่มืดสนิทไว้กับฝ่ามือเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น
“สายหลุดไปแล้วค่ะ สงสัยจะไม่มีสัญญาณ” ปุษยาพูดยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เดี๋ยวเขาคงโทรกลับมาใหม่เอง”
ปุษยาพยักหน้าน้อยๆ แต่ในใจนึกสาปแช่งผู้ชายคนนั้นเป็นการใหญ่ เธอยอมเป็นคนโหดร้ายที่กล้าแช่งเพื่อนมนุษย์ให้ขาหัก หรือไม่ก็เป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้นัดคืนนี้ถูกเลื่อนออกไป แต่ดูเหมือนวิธีพวกนี้จะไม่ได้ช่วยให้จิตใจของเธอคลายความว้าวุ่นลงเลย
วันทั้งวันปุษยาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน มองดูเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าตามที่ควรจะเป็น แม้กวิตาจะแนะนำให้ออกไปเปิดหูเปิดตานอกบ้านบ้าง แต่เธอก็ไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้น ตอนนี้สมองที่เต็มไปด้วยแผนการขัดขวางการแต่งงานกำลังยุ่งเหยิง เธอต้องจัดการกับตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้น
แต่จะทำอย่างไรดี ถ้าจะให้ปลอมตัวเป็นผู้หญิงผิวดำ ผมหยิกฟู แล้วก็มีใฝเม็ดใหญ่กลางหน้าผากเหมือนในละคร ปุษยาไม่มีทางเอาด้วยเด็ดขาด เธอไม่ยอมให้ภาพลักษณ์ที่แสนงดงามของตัวเองต้องแปดเปื้อนแน่ และแม้จะไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ความน่าเกลียดนั้นคือใคร แต่ตัวเธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจนี่นา
คงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการเป็นตัวของตัวเอง...
ใช่แล้ว!...คิดมาถึงตรงนี้ปุษยาก็สามารถหาทางออกให้กับเรื่องนี้ได้ ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการเป็นตัวของตัวเองอีกแล้ว ในเมื่อทุกคนต่างก็รู้ดีในเรื่องอุปนิสัยที่แสนจะเอาแต่ใจตัวเอง และไม่เคยไว้หน้าใครของเธอ เธอก็ควรใช้มันในทางที่ถูกต้อง และต้องจัดให้หนักกว่าความเป็นจริงอยู่สักหน่อย
ผู้ชายคนไหนทนนิสัยแย่ๆ ของเธอได้ก็บ้าแล้ว...
วันนี้นพนทียังคงเข้าไปทำงานที่บริษัทตามปกติ ระหว่างขับรถออกจากบ้านเขาได้โทรศัพท์ไปที่เบอร์ของว่าที่ภรรยาแล้ว แต่ดูเหมือนแถวนั้นจะไม่มีสัญญาณเอาเสียเลย สายจึงหลุดไป แต่หลังจากมาถึงที่บริษัทเรียบร้อยแล้ว เขาลองโทรกลับไปอีกรอบก็ไม่สามารถติดต่อได้แล้ว
‘ยัยนั่นคงปิดเครื่องหนีสินะ...’
“คิดว่าฉันอยากโทรหาเธอนักเหรอยัยบ้า ผู้หญิงอะไรวะยอมให้พ่อแม่จับคลุมถุงชนง่ายๆ ถ้าเธอค้านหัวชนฝา ฉันคงไม่ต้องลำบากแบบนี้หรอก!” นพนทีพร่ำบ่นกับตัวเอง ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงจนพนักงานในบริษัทเข้าหน้าไม่ติด เป็นเพราะไม่เคยเห็นเจ้านายปั้นหน้าหงิกแบบนี้มาก่อน
หลังจากยอมตกลงจะทำตามความต้องการของทุกคนแล้ว นพนทีได้ยื่นข้อเสนอว่าจะต้องให้เขาได้ลองศึกษาดูใจกับว่าที่เจ้าสาวเสียก่อน และถ้าหากท้ายที่สุดแล้วทั้งสองคนไปกันไม่ได้ เรื่องการแต่งงานจะถือว่าสิ้นสุดลงทันที
ส่วนระยะเวลาในการคบหาดูใจกันนั้นก็สั้นเหลือเกินสำหรับนพนที เพราะคุณธาดาลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะให้โอกาสเขาเพียงสามเดือนเท่านั้น ดูเหมือนผู้ใหญ่ทางฝ่ายผู้หญิงก็คิดแบบเดียวกัน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามมารยาท ก่อนที่ศศิกานต์จะก้าวเข้ามาพร้อมถาดอาหารเช้าแบบง่ายๆ นพนทีหันไปเห็นเธอก็ต้องประหลาดใจ เพราะเท่าที่จำได้เขายังไม่ได้อนุญาตให้หญิงสาวมาทำงานเสียหน่อย แล้วเมื่อครู่เขามัวแต่ทำอะไรอยู่กันนะ ทำไมตอนเดินเข้าห้องมาถึงไม่ทันสังเกตเห็น
“วิว...”
“สวัสดีค่ะคุณนที ไม่ต้องดุวิวเรื่องที่มาทำงานโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตนะคะ เพราะยังไงวิวก็ไม่ฟังค่ะ” ศศิกานต์เรียกชายหนุ่มว่า ‘คุณ’ อย่างที่มักจะใช้ในเวลางานเสมอ ซึ่งนั่นบ่งบอกชัดเจนว่าเธอได้กลับมาทำงานในฐานะเลขานุการของนพนทีต่อแล้วจริงๆ
“ชอบดักคออยู่เรื่อย นี่วิวโอเคแล้วจริงๆ เหรอ” ชายหนุ่มถามขณะวางมือที่ประสานกันลงบนโต๊ะทำงาน ดวงตาคมกริบจ้องเพื่อนสาวไม่ละสายตา เหมือนต้องการจับพิรุธอะไรจากเธอ
“เอ่อ เรื่องวันนั้นโอเคแล้วค่ะ แต่ว่า...” หญิงสาวอึกอัก ลดแขนลงวางถาดแซนวิชกับน้ำส้มคั้นสดลงบนโต๊ะ แล้วเปลี่ยนประเด็นเอาดื้อๆ “เห็นคนอื่นพูดกันว่าเช้านี้คุณนทีดูเครียดมาก วิวเดาเอาว่าคงยังไม่ได้ทานอาหารเช้ามา ทานแซนวิชกับน้ำผลไม้นี่หน่อยนะคะ เจ้าประจำของคุณนทีเลยค่ะ”
“อย่าปิดบังกันสิวิว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ตอนผมถามทำไมต้องหน้าซีดด้วย” ชายหนุ่มทวงถาม
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ วิวแค่เพลียนิดหน่อย พอดีเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ แล้วก็...”
“ผมไม่ได้โง่นะ ในเมื่อคุณหลุดปากออกมาให้ผมอยากรู้ คุณก็พูดออกมาสิ...นะวิว เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
“นที...” คราวนี้ศศิกานต์เอ่ยชื่อเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
นพนทีเห็นเธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้และตัวสั่นเล็กน้อย เขาจึงรีบลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินไปหาหญิงสาว ศศิกานต์ยอมให้ชายหนุ่มพาเธอไปนั่งลงบนโซฟาที่ติดอยู่กับหน้าต่างบานใหญ่แต่โดยดี ถึงตอนนั้นหยาดน้ำตาแห่งความอดสูก็ได้ไหลออกมาเรียบร้อยแล้ว
“ไหนเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียดหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” นพนทีถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง และรับฟังทุกคำบอกเล่าของศศิกานต์ด้วยความแค้นเคือง
ศศิกานต์ดูจะเจ็บปวดอย่างที่สุดกับสิ่งที่ได้พบเจอมา แต่ก็ต้องขอบคุณสวรรค์เหลือเกินที่ส่งตรัยไปช่วยเธอเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นตอนนี้เธอคงมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าผู้หญิงที่ดีอย่างศศิกานต์ไม่สมควรได้รับมันเลย นึกแล้วก็น่าเสียดายจริงๆ ที่เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ไม่อย่างนั้นคนสารเลวอย่างจีรศักดิ์คงได้เจ็บหนักปางตายกว่านี้แน่
นพนทีดึงศศิกานต์เข้ามากอดปลอบ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์แรกที่เธอถูกลักพาตัว เขาก็อดนึกถึงผู้หญิงที่สวยใสเฉพาะภายนอกอย่างปุษยาขึ้นมาไม่ได้ จะว่าไปเขาเองก็ทำตัวเลวร้ายกับผู้หญิงมาก่อนเหมือนกันนี่นา...
‘แต่มันคนละกรณีกันนี่ ยัยปุษยาอะไรนั่นสมควรได้รับการลงโทษแล้ว...แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ได้ชื่อว่าเป็นคนเลวอยู่ดี การรังแกผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้...ช่างน่ารังเกียจนัก’
ช่างมันสิ! ใครใช้ให้ยัยนั่นมาแผลงฤทธิ์ใส่คนอย่างนพนทีกันเล่า!...
ยิ่งคิดนพนทีก็ยิ่งหาเหตุผลมาหักล้างความผิดให้ตัวเองได้น้อยลง ฉะนั้นชายหนุ่มจึงตัดปัญหานั้นทิ้งไปเสีย เพราะแค่เรื่องที่ต้องฝืนใจทำอยู่ตอนนี้ก็แย่พอแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับว่าที่เจ้าสาวแล้วด้วย ถ้าผู้หญิงคนนั้นสวยบาดตาหรือเซ็กซี่โดนใจก็คงพอรับไหว แต่ถ้าหน้าตาอย่างกับแก้วหน้าม้า รูปร่างพอๆ กันกับนางยักษ์ล่ะ เขาจะทำอย่างไรดีนะ...
‘เฮ้อ คงไม่หรอก คุณพ่อคุณแม่บอกว่าผู้หญิงคนนั้นสวยมากนี่นา...’
นพนทีอยากตะโกนออกมาให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ความต้องการนั้นกลับต้องถูกซ่อนไว้ภายในใจอย่างมิดชิด ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ลึกๆ แล้วเขาเชื่อมั่นว่าทางฝ่ายหญิงก็น่าจะถูกบังคับมาด้วยเหมือนกัน ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็คงดีไม่น้อย เพราะหากทั้งสองคนคิดแบบเดียวกัน การร่วมมือกันทำลายงานแต่งงานก็จะง่ายยิ่งขึ้น
ถึงเวลานั้นคงไม่มีใครดันทุรังจับพวกเขาแต่งงานกันได้อีกต่อไป...
เวลา 18.00 น. ณ บ้านพนิตนนท์มนตรี
ปุษยากำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง โดยมีกวิตาคอยเป็นตัวช่วย ตอนแรกหญิงสาวไม่ได้อยากให้ความสำคัญกับเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมนัก แต่เมื่อคิดถึงภาพลักษณ์ของตัวเองขึ้นมาอีก เธอก็อดไม่ได้ที่จะต้องแต่งตัวให้สวยเด่นเช่นทุกครั้งที่คิดจะก้าวเท้าออกจากบ้านไป
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นดึงสายตาของปุษยาให้ละจากกระจกบานสวยตรงหน้า กวิตาเป็นคนหยิบมือถือเครื่องจิ๋วมาส่งให้เธอ เมื่อเห็นเบอร์แปลกปรากฏอยู่หน้าจอ ปุษยาก็เบ้ปากอย่างรังเกียจ แต่ก็ยอมกดรับสายแต่โดยดี
“ฮัลโหล...” เสียงหวานกรอกทักทายอย่างนุ่มนวล ตั้งใจจะเล่นบทนางเอกก่อนที่จะแสดงบทนางร้ายให้อีกฝ่ายเห็นซึ่งๆ หน้า
“สวัสดีครับ...” นพนทีกำโทรศัพท์แน่น รู้สึกประหม่าราวกับไม่เคยผ่านผู้หญิงมาก่อน
“ว่าไงคะ” ปุษยาถาม แล้วหันไปเบ้ปากให้กวิตาอีกหน
“คือ...อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลานัดแล้ว แต่พอดีว่าคุณพ่อคุณแม่ผมไม่ได้บอกไว้ว่าบ้านของคุณอยู่ที่ไหน แล้วตอนนี้ท่านก็ออกไปทำธุระข้างนอกกัน ผมติดต่อท่านไม่ได้ ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป คุณช่วยบอกที่อยู่ให้ผมทราบหน่อยได้มั้ยครับ ผมจะได้ไปรับคุณตามเวลานัด” นพนทีอธิบายให้จบเพียงครั้งเดียว เพราะอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรขัดขึ้นมา
“อืม...ถ้างั้นเราไปเจอกันข้างนอกเลยดีกว่ามั้ยคะ แบบนั้นมันสะดวกกับทั้งคุณและฉันด้วยนะ” หญิงสาวมีความคิดดีๆ แล่นเข้ามาในสมอง
“แบบนั้นจะดีเหรอครับ ผมไม่อยากเป็นคนผิดคำพูดซะด้วย”
“แหม ไม่หรอกค่ะ ฉันกับคุณรู้กันแค่สองคนนี่นา...อืม เอาเป็นว่าเราไปเจอกันที่ไนต์คลับนะคะ เอาเป็นที่ดีลักซ์คลับคงดีที่สุด ฉันคิดว่าคุณคงจะรู้จักอยู่แล้ว” พูดจบปุษยาก็กดตัดสาย ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทักท้วงทัน
“อ่า...” นพนทีอ้าปากค้าง เพราะอีกฝ่ายตัดสายไปก่อนที่จะทันได้พูดอะไรออกมา “บ้าชิบ!” ชายหนุ่มสบถเบาๆ อย่างหัวเสีย
ดีลักซ์คลับอย่างนั้นเหรอ...
ทำไมเขาจะไม่รู้จักเล่า ในเมื่อเจ้าของคลับแห่งนั้นคือภพตะวัน เพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งน้องเขยของเขาเอง เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นไฮโซ เพราะที่นั่นถูกตกแต่งด้วยความหรูหรา มีระบบการบริการที่ดีเยี่ยมที่สุด ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ดีลักซ์คลับจะมีรายได้สูงสุดจากบรรดาไนต์คลับทั้งหมด
“แล้วแม่นั่นจะนัดเจอกันที่ไนต์คลับทำไมวะ อันที่จริงมันน่าจะเป็นภัตตาคารหรูๆ สิถึงจะถูก” นพนทีบ่น ขณะยกมือขึ้นคลึงขมับคลายความตึงเครียด
เมื่อก่อนนพนทีไปเที่ยวที่ดีลักซ์คลับแทบทุกวัน ควงผู้หญิงแทบไม่เคยซ้ำหน้ากัน แต่หลังจากวางมือจากการล่าพรหมจรรย์แล้ว เขาก็ไม่เคยกลับไปที่นั่นอีก
เป็นเพราะมีผู้คนมากมายให้ความสนใจ และล้วนแล้วแต่เคยสบประมาทเขาเอาไว้เยอะมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือปัฐฐา ไอ้สารเลวที่มีส่วนช่วยทำให้เขาเข็ดขยาดกับพวกผู้หญิง แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ หากคนพวกนั้นเห็นเขากลับไปที่ดีลักซ์คลับอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ไปดื่มเหล้าเมามายเหมือนเคย แต่ก็ขึ้นชื่อว่าควงผู้หญิงออกสังคมอยู่ดี
นพนทีไม่อยากให้ใครขุดคุ้ยความหลังขึ้นมาทำร้ายเขาอีก...
“แบบนี้คงต้องขอให้ไอ้ตะวันช่วยสักหน่อยแล้ว” การกระทำไวเท่าความคิด นพนทีรีบกดโทรออกไปที่เบอร์ของเพื่อนหนุ่มทันที ฝ่ายนั้นปล่อยให้ชายหนุ่มรอไม่นานก็รับสาย
“ว่าไงนที หายหัวไปไหนตั้งนาน มัวแต่ทำงานล่ะสิแก” ภพตะวันทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ก็เออน่ะสิ งานยุ่งจะตายชัก แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าที่อังกฤษหิมะตกหนักเลยนี่”
“อืม สามวันก่อนตกหนักจนไปไหนไม่ได้เลย แต่วันนี้โอเคขึ้นแล้ว”
“ดีแล้วๆ แล้วนี่ยัยเอยกับหลานๆ ไปไหนล่ะ อยู่แถวนั้นมั้ย ขอคุยด้วยหน่อยสิวะ” นพนทีถามหาน้องสาวและหลานทั้งสองด้วยความคิดถึง แม้ว่าอลงกตกับครอบครัวเพิ่งจะพากันไปเที่ยวที่ประเทศอังกฤษไม่นานก็ตาม
“เอยพาเด็กๆ ออกไปข้างนอกน่ะ เอาไว้ฉันจะบอกให้ก็แล้วกันว่านายฝากคิดถึง” ภพตะวันรับอาสา
“โอเคๆ เอ้อ! เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย พอดีวันนี้ฉันจะไปที่ไนต์คลับแกน่ะ มีอะไรจะให้ช่วยหน่อย”
“อ้าว ไหนว่าเลิกเที่ยวแล้วไง”
“เออ เลิกแล้วเว้ย แต่เรื่องมันยาว เอาไว้ค่อยเล่าตอนแกกลับมาเมืองไทยดีกว่า”
“เอางั้นเหรอ...ว่าแต่จะให้ช่วยอะไรวะ”
“แกช่วยโทรไปบอกไอ้รามให้หน่อยดิว่าฉันจะไปที่นั่น ให้มันเคลียร์พื้นที่รอหน่อย”
“ทำไมไม่โทรบอกมันเองเล่า ประสาทหรือเปล่าวะนที” ภพตะวันไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนหนุ่มต้องขอให้เขาบอกรามให้ ทั้งที่ทุกคนต่างก็สนิทกันมาก
“ฉันไม่ใช่เจ้าของไนต์คลับนี่หว่า น่านะ...แกโทรไปบอกให้หน่อย ถึงฉันโทรไปมันก็ต้องโทรมาถามแกก่อนอยู่ดี ฉันโทรบอกแกก่อนน่ะแหละดีแล้ว”
“เออๆ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง แล้วนี่แกต้องการให้เคลียร์แบบไหนล่ะ” ภพตะวันเห็นว่าเหตุผลของนพนทีฟังขึ้น จึงตกลงรับปากในที่สุด
“ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่...ช่วยกันคนที่คิดว่าอาจจะรู้จักฉันออกห่างๆ ก็พอ”
“เฮ้ย! แบบนั้นฉันก็เสียลูกค้าแย่น่ะสิ”
“เออน่า! แกจะงกไปถึงไหนวะ แค่นี้ก็รวยไปเผื่อชาติหน้าและชาติถัดไปแล้วแหละ นะๆ ...จัดการให้หน่อย”
“ก็ได้ ถ้างั้นฉันจะยกพื้นที่ชั้นวีไอพีให้แกคนเดียวเลยล่ะกัน เดี๋ยวจะให้รามบอกแขกว่าห้องวีไอพีเต็มหมด แต่ถ้าฉันกลับไปแกต้องมีของสมนาคุณนะเว้ย”
“รู้แล้วน่า ไว้ฉันจะพาแกกับหลานๆ ไปเลี้ยงที่ร้านอาหารหรูๆ ล่ะกัน หรือไม่ก็ลงใต้ไปหายัยไอซ์เลย”
“ดีเลย นี่เอยก็บ่นคิดถึงน้องไอซ์อยู่เกือบทุกวันเหมือนกัน ส่วนลูกฉันก็ทั้งรักทั้งหลงคุณอาแดนกันใหญ่ หมอนั่นเอาใจเด็กๆ เก่งชะมัด เล่นเอาพ่ออย่างฉันแอบหวงลูกขึ้นมาตงิดๆ”
“เอ้อ พูดถึงแดนแล้ว โรสกับลูกๆ เป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่มั้ย”
“เด็กๆ สบายดี แต่โรสนี่ซูบลงกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย ต้องดูแลลูกตั้งสามคนนี่นะ”
“ฮ่าๆ ฉันรู้แล้วว่าทำไมจู่ๆ แกถึงล้มเลิกเรื่องที่จะปั๊มลูกคนที่สาม สงสัยกลัวน้องฉันโทรมล่ะสิ”
“นั่นมันแค่ส่วนหนึ่งเว้ย ฉันไม่อยากเห็นเมียเหนื่อยต่างหาก”
“ครับๆ ไอ้คุณภพตะวัน ยังไงก็อย่าลืมโทรไปบอกไอ้รามด้วยนะ”
“วางสายแกแล้วฉันจะโทรไปเลย ว่าแต่ขอถามอะไรหน่อยเหอะ...
“หืม...อะไรวะ?”
“ที่แกอยากให้ฉันช่วยเรื่องที่ไนต์คลับ เป็นเพราะแกไม่อยากให้ใครทักแก แล้วถามเรื่องคุณมนิ...”
“ตกลงตามนี้นะตะวัน ฉันขอบใจแกมาก อย่าลืมบอกทุกคนด้วยล่ะว่าฉันคิดถึง บายนะ” นพนทีตัดบทเอาง่ายๆ แล้วรีบชิงวางสายก่อนที่ภพตะวันจะได้พูดอะไรออกมา
นพนทีโยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง ก่อนจะพาตัวเองผลุบหายเข้าห้องน้ำไป เรื่องราวความหลังที่สร้างความเจ็บปวดสุดหัวใจหลั่งไหลมาราวกับสายน้ำที่เย็นเฉียบ
ร่างสูงหย่อนกายลงในอ่างอาบน้ำ แล้วหลับตาลงช้าๆ แต่เมื่อภาพของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมา เขาก็ผุดลุกขึ้น แล้วรีบจัดการกับตัวเองอย่างเร่งรีบทันที ปุษยาเกือบจะไปถึงดีลักซ์คลับอยู่แล้ว ถ้าหากว่านพนทีไม่โทรศัพท์มาขอเปลี่ยนที่นัดพบอย่างกะทันหันแบบนี้...
