บทที่ ๖ ไร้ทางเลือก 2
“ผู้กอง!” ศศิกานต์ซุกใบหน้าลงบนอกชายหนุ่ม
“คุณปลอดภัยแล้วครับ” ตรัยยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ “คุณปลอดภัยแล้ว” ก่อนเหลือบสายตามองไปยังร่างที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นข้างเตียงอย่างคาดโทษ
“รู้มั้ยคะว่าคุณเกือบมาไม่ทันแล้ว เขา...เขากำลังจะ...” หญิงสาวไม่กล้าพูดว่าจีรศักดิ์กำลังจะลงมือข่มขืนเธอ แน่นอนว่าตรัยเองก็ไม่อยากได้ยินอยู่แล้วเหมือนกัน
“ช่างมันเถอะครับ ผมมาทันเวลาก็ดีแล้ว คุณไม่ต้องกลัวนะครับคุณวิว ผมจะจัดการกับไอ้สารเลวนี่อย่างสาสมเลย” ตรัยให้สัญญา พร้อมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
ตรัยเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้มาหาเธอที่บ้านเร็วกว่าทุกครั้ง ตอนแรกเขาเห็นว่าประตูบ้านถูกล็อกเอาไว้ จึงตั้งใจจะไม่รบกวนศศิกานต์ เผื่อว่าเธอกำลังพักผ่อนอยู่ แต่ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ เขาก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูคล้ายเสียงสะอื้นของผู้หญิงดังขึ้น
ตรัยตะโกนเรียกหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเค้าความผิดปกติ เขาจึงตัดสินใจพังประตูเข้ามา และตามเสียงร้องขอความช่วยเหลือเข้ามาที่ห้องนอน ภาพที่เห็นคือศศิกานต์นอนเปลือยอยู่บนเตียง น้ำตานองเต็มใบหน้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของเธอ
ตรัยขบกรามแน่นขึ้นอีก เมื่ออดคิดไม่ได้ว่าจีรศักดิ์ทำอย่างไรกับหญิงสาวไปบ้าง นึกแล้วก็อยากจะกระโจนเข้าไปบีบคอคนสารเลวให้ตายคามือนัก กล้าดียังไงถึงได้ทำตัวห่ามๆ กับผู้หญิงที่ดีแสนดีอย่างศศิกานต์ เสียแรงจริงๆ ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักของเธอมาตั้งหลายปี
ศศิกานต์กอดตรัยแน่นอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าสบตากับเขา เพราะเดาไม่ออกเลยว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตรัยเห็นอะไรไปบ้าง
จะว่าไปแล้วเธอก็ไม่ควรคิดมากในเรื่องนี้นัก แค่ตรัยเข้ามาช่วยเอาไว้ได้ทันก็นับว่าโชคดีมากแค่ไหนแล้ว แลกกับความอับอายนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดีกว่าต้องเสียตัวให้กับผู้ชายไร้มนุษยธรรมอย่างจีรศักดิ์
ศศิกานต์ลอบถอนใจเบาๆ พยายามบอกกับตัวเองว่าเดี๋ยวคงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ส่วนตรัยก็กำลังพยายามแบบเดียวกัน ทว่าดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องนี้ไม่ลงแน่ๆ ในเมื่อภาพเรือนร่างขาวโพลนของหญิงสาว ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำไม่จางหายอย่างนี้
นพนทีกลับเข้าบ้านอีกครั้งในช่วงค่ำ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความเย็นชาของบิดา คงเกิดจากการที่เขาขัดคำสั่งเรื่องการแต่งงาน แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า เรื่องแบบนี้มันสำคัญและละเอียดอ่อน จะให้ยอมตกปากรับคำกันง่ายๆ ได้อย่างไรเล่า
ไม่มีทางเสียหรอก ให้ตายเขาก็ไม่ยอมสละโสดแน่ๆ ...
ชายหนุ่มตัดสินใจไม่เดินเข้าไปทักทายบิดา ทว่าเดินเลี่ยงขึ้นชั้นบนไปเงียบๆ แทน ความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ทำให้เขาลืมสังเกตไปเลยว่าเพราะเหตุใด คุณมณีจึงไม่ได้นั่งอยู่ในห้องโถงเหมือนอย่างทุกวัน จนกระทั่งหายเข้าห้องไปพักหนึ่ง เสียงเอะอะโวยวายก็ดังมาจากห้องนอนที่อยู่ถัดไปอีกสองห้อง
“เกิดอะไรขึ้นครับ!” นพนทีรีบก้าวอาดๆ ตรงที่ไปห้องของบุพการี ก่อนจะรีบเอ่ยถามเมื่อเห็นจ๋อมนั่งกุมศีรษะอยู่บนพื้น โดยมีชื่นอยู่ใกล้ๆ ด้วยความห่วงใย
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่กิน! ทำไมถึงได้เซ้าซี้นัก!” ไม่มีใครตอบคำถามของนพนที แต่คำพูดของคุณมณีก็ช่วยให้เขาเดาเหตุการณ์ได้มากขึ้น
“จ๋อม...ฮือๆๆ ...จ๋อมแค่เห็นว่าคุณท่านไม่ค่อยสบาย จ๋อมแค่อยากให้คุณท่านทานอะไรบ้างสักนิด”
นพนทีมองมารดาด้วยความตกตะลึง สาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้เห็นคุณมณีบันดาลโทสะรุนแรงอย่างนี้ ข้าวต้มร้อนๆ กลิ่นหอมฉุยที่หกเรี่ยราดอยู่บนพื้น ดึงสายตาคมให้จดจ้องไปยังจ๋อมอีกครั้ง
“เจ็บมากหรือเปล่าจ๋อม” ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“จ๋อม...ฮึกๆ จ๋อมไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่ล้มลงหัวโขกกับโต๊ะนิดหน่อย แต่ก็ไม่รุนแรงอะไรหรอกค่ะคุณนที” จ๋อมตอบเสียงสะอื้น และยังคงใช้มือกุมบริเวณขมับเอาไว้
“น้าชื่นพาจ๋อมลงไปก่อนเถอะครับ อีกสักพักค่อยขึ้นมาทำความสะอาดก็ได้” นพนทีหันไปบอกชื่น แล้วหยัดกายลุกขึ้นตามเดิม ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากเขา จนกระทั่งสองแม่ลูกพากันเดินออกจากห้องไปเรียบร้อยแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณแม่” นพนทีเอ่ยเสียงขรึม ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เป็นเพราะไม่เข้าใจในการกระทำของมารดาเสียมากกว่า
คุณมณีนิ่งเงียบ แล้วเดินไปล้มตัวนอนลงบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงระดับอก เพียงเท่านี้นพนทีก็พอจะเดาได้แล้วว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น
“คุณแม่” ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงริมเตียง “เป็นอะไรไปครับ ทำไมต้องหันหลังให้ผมด้วย”
“...” คุณมณีไม่คิดจะตอบ
“มีอะไรทำไมไม่พูดกันดีๆ ล่ะครับ ไม่เห็นต้องเงียบแบบนี้เลย”
“แม่ก็แค่คนแก่ที่ไม่มีใครเห็นหัว อย่ามาสนใจเลย เอาเวลาไปห่วงงานของลูกเถอะ”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ ผมไม่เคยสนใจอย่างอื่นมากกว่าคุณแม่เลยนะ” นพนทีเอื้อมมือไปแตะไหล่มารดาอย่างแผ่วเบา ทว่านางกลับเบี่ยงตัวหนี
“คุณแม่ อย่าทำแบบนี้สิครับ ผมไม่สบายใจเลยนะ”
“บอกแล้วไงว่าอย่ามาสนใจแม่ แม่จะเป็นยังไงมันก็ไม่สำคัญหรอก” คุณมณียังคงดื้อดึงอยู่เช่นเดิม ดูท่าแล้วคงไม่ยอมใจอ่อนคุยกับเขาแน่
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นจังหวะ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของคุณธาดาจะเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ สีหน้าหมางเมินของคนเป็นพ่อทำเอาชายหนุ่มยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองแรงๆ แล้วถอยห่างจากเตียงเพื่อเปิดทางให้
“ผมได้ยินว่าคุณไม่ยอมทานอาหาร อย่าทำแบบนี้เลยนะคุณมณี ผมขอร้องล่ะ” คุณธาดาเอ่ยกับภรรยาอย่างนุ่มนวล ขณะวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะข้างเตียงนอน
“อย่าเสียเวลาเลยค่ะคุณ ฉันกินอะไรไม่ลงหรอกค่ะ”
“คุณเป็นแบบนี้ผมเองก็รู้สึกแย่เหมือนกันนะ ลุกขึ้นทานอะไรสักหน่อยเถอะ”
“คุณออกไปก่อนเถอะค่ะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“เฮ้อ! ตกลงว่าคุณจะไม่ยอมทานอะไรเลยจริงๆ เหรอ”
“...” ความเงียบของคุณมณีเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ฉะนั้นคนเป็นสามีจึงไม่ได้คิดจะรบเร้าอีก ทำได้เพียงแค่ทอดสายตาห่วงใยให้คู่ชีวิต แล้วหันมาปั้นหน้าเคร่งขรึมใส่ลูกชายหนักยิ่งกว่าเดิม
“แกคงพอใจแล้วสินะที่เห็นแม่แกต้องเสียใจแบบนี้” คุณธาดาเหน็บแนม ตั้งท่าจะเดินจากไป แต่นพนทีเดินไปขวางเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวครับคุณพ่อ...ที่คุณพ่อพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไงครับ” ชายหนุ่มเริ่มเครียดหนัก เมื่อบิดาไม่ยอมตอบคำถาม
“ถ้าไม่มีใครพูดอะไร แล้วผมจะรู้ได้ยังไงละครับว่าทำอะไรผิด”
“แกไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกนที บางที่คนที่ผิดอาจเป็นฉันกับแม่แกก็ได้” ว่าแล้วคุณธาดาก็เดินจากไป แต่ทันทีที่ลับหลังลูกชาย รอยยิ้มประหลาดกลับปรากฏขึ้น เหมือนอย่างที่คุณมณีเองก็เป็นอยู่
นพนทีมองตามร่างสูงใหญ่ของบิดาจนลับตา ก่อนหันกลับมามองมารดาที่นอนหันหลังอยู่ แล้วถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม นั่นเพราะเขายังนึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำอะไรผิด ถ้าเป็นเรื่องงานก็คงไม่ใช่ หากเป็นเรื่องกลับบ้านดึกก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ หรือบางทีอาจจะเป็นเรื่องผู้หญิง...
ใช่แล้ว! ต้องเป็นเรื่องที่พ่อกับแม่ต้องการให้เขาแต่งงานแน่!
นพนทียกมือขึ้นยีผมตัวเองจนยุ่งเหยิงพอๆ ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องนอนของคุณมณีมาทันที ตอนนี้เขาต้องการความสงบเป็นอย่างมาก เพื่อคิดทบทวนในสิ่งที่กำลังถูกบีบบังคับ ถึงจะต้องการต่อต้านเรื่องคลุมถุงชนเพียงใด แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้บุพการีหมางเมินใส่แบบนี้ได้เช่นกัน หากไม่ทำอะไรสักอย่าง ทุกอย่างก็คงมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ
นพนทีกระชากประตูห้องให้เปิดออกและปิดมันลงเสียงดังสนั่น ร่างสูงโยนตัวเองลงบนเตียงกว้าง ซุกหน้าลงบนหมอนหนุน สักพักก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งตามแบบของคนกระวนกระวาย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนต้องเดือดร้อนนักที่เขาอยากจะครองตัวเป็นโสด ในเมื่อน้องสาวทั้งสองคนก็ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว ซ้ำยังมีหลานตัวน้อยออกมาสร้างสีสันให้กับครอบครัวแล้วด้วย
เอาล่ะ...ถึงจะโวยวายหรือคิดมากไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ ทางออกที่ง่ายที่สุดคงเป็นการยอมทำตามความต้องการของทุกคน แต่ทำไมมันต้องเป็นสิ่งที่เขายอมรับได้ยากที่สุดด้วยนะ...
นพนทีล้มตัวลงนอนอีกครั้ง พยายามทำใจยอมรับกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น ในฐานะลูกชายคนเดียวของตระกูล บางทีนี่อาจเป็นทางเดียวที่จะแสดงถึงความกตัญญูก็ได้ จะว่าไปแล้วการแต่งงานก็คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนักหรอก เพราะน้องสาวของเขาที่แต่งงานไปแล้วก็ดูมีความสุขดี
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อลงกตและไอลดาต่างก็ได้แต่งงานกับคนที่ใช่ แต่สำหรับนพนทีมันไม่ใช่อย่างนั้น เขาไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตน หรือแม้กระทั่งผู้หญิงข้างกายสักคนก็ยังไม่คิดจะมี แล้วสุดท้ายกลับต้องมาถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่พ่อแม่คิดว่าใช่
มันช่างอยุติธรรมเสียเหลือเกิน...
“เอาเหอะไอ้นที เห็นทีแกคงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”
ชายหนุ่มบอกกับตัวเองอย่างแน่วแน่ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงนอนอย่างรวดเร็ว สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วก้าวอาดๆ ตรงไปหาคุณมณีที่ห้องอีกครั้ง มือหนาชะงักมือที่กำลังจะหมุนลูกบิดประตูเหมือนยังลังเล แต่ทันทีที่เห็นมารดาเปิดประตูออกมาได้จังหวะพอดี เขาก็ไม่ยอมลังเลอีกต่อไป
“เรื่องแต่งงาน...ผมยอมตกลงทำตามที่คุณแม่ต้องการครับ! แต่ผมก็มีข้อเสนอด้วยเหมือนกัน”
