บทที่ ๕ ข่าวร้าย 1
“คุณพ่อคุณแม่ไม่มีสิทธิ์ทำกับปายแบบนี้นะคะ!” ปุษยาตะโกนเสียงดังลั่น หลังจากได้ยินสิ่งที่บุพการีพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ใบหน้างามแดงก่ำเพราะโกรธจัด มือเล็กกำเข้าหากันแน่นจนสั่นระริก
“ไม่มีสิทธิ์? นี่ลูกพูดคำนี้ออกมาจากปากได้ยังไงกัน!” อดีตพลตำรวจเอกปิยะ พนิตนนท์มนตรี ผุดลุกขึ้นจากโซฟา ท่าทางดูแล้วฉุนเฉียวไม่น้อยไปกว่าลูกสาวเลย
“ลูกไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะคุณพี่” คุณวิมลรีบแก้ตัวแทนปุษยา เป็นเหตุให้โดนดุเข้าด้วยอีกคน
“เลิกให้ท้ายลูกได้แล้วนะคุณวิมล ไม่ใช่เพราะคุณคอยถือหางหรอกเหรอ ยัยปายถึงได้ดื้อรั้นแบบนี้”
“ไม่ต้องออกรับแทนปายหรอกค่ะคุณแม่ เพราะต่อให้คุณพ่อจะพูดยังไง ปายก็ไม่มีทางยอมเด็ดขาด!”
“ยัยปาย!” คุณปิยะตวาดลั่น “พ่อกับแม่ตามใจลูกมานานเกินไปแล้วนะ ตอนนี้ก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่คิดจะตอบแทนพ่อกับแม่เลยรึไง”
“ปายเองก็ไม่ใช่คนอกตัญญูหรอกนะคะคุณพ่อ แต่ถ้าจะให้ปายทดแทนบุญคุณด้วยการยอมแต่งงานกับคนที่คุณพ่อเลือกให้ ปายทำไม่ได้หรอกค่ะ” ปุษยามองบิดาด้วยแววตาเจ็บปวด “ปายคิดว่าเรื่องแต่งงานมันไม่จำเป็นสำหรับปายค่ะ ปายยังไม่เจอคนที่ใช่ แล้วก็ไม่อยากเจอด้วย ปายอยู่คนเดียวแบบนี้ก็มีความสุขดีแล้วนี่คะ”
“คิดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะลูกปาย ผู้หญิงเราวันหนึ่งก็ต้องออกเหย้าออกเรือนไป ถ้าไม่อย่างนั้นพ่อกับแม่จะหมดห่วงได้ยังไงล่ะจ๊ะ” คุณวิมลขัดขึ้น ซึ่งนั่นทำให้หญิงสาวรีบตวัดสายตามองมาทันที
“นี่คุณแม่ก็เห็นดีกับคุณพ่อด้วยเหรอคะ ปาย...ปายผิดหวังในตัวคุณแม่จริงๆ”
“เอาแต่พูดว่าผิดหวังในตัวคนอื่น แล้วเคยคิดว่าคนอื่นจะผิดหวังในตัวลูกบ้างมั้ย” คุณปิยะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา จ้องใบหน้าหวานสวยของปุษยาอย่างไม่พอใจ “พ่อส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเมืองนาตั้งหลายปี แต่ลูกก็เอาแต่เที่ยวเตร่จนเกือบเรียนไม่จบ ไม่ว่าลูกจะต้องการอะไร พ่อก็หาให้ทุกอย่าง”
“คุณพ่อจะเอาเรื่องพวกนี้มาพูดอีกทำไมคะ ในเมื่อสุดท้ายปายก็เอาปริญญากลับมาเมืองไทยได้สำเร็จ เรื่องเที่ยวกับเพื่อนฝูงมันก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย ปายควบคุมตัวเองได้ค่ะ ปายไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียแน่นอน”
“ลูกก็เอาแต่คิดว่าตัวเองเก่ง ฉลาด เอาตัวรอดได้ แต่ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำไมจนถึงตอนนี้ลูกถึงยังไม่คิดจะหางานทำเลยล่ะ ใจคอจะคอยแบมือขอเงินพ่อแม่ไปจนตายเลยรึไง”
“ตระกูลเรามีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล คุณพ่อจะมาคิดเรื่องนี้ทำไมให้ปวดหัวคะ ถึงปายจะไม่ทำงานไปตลอดชีวิต ปายก็ไม่มีทางอดตายหรอก” คุณวิมลส่ายหน้าอย่างระอา เมื่อได้ยินคำพูดสิ้นคิดของลูกสาวคนสวย มาถึงตอนนี้นางก็เพิ่งตระหนักได้ว่าคงตามใจลูกมากเกินไปอย่างที่สามีบอกจริงๆ
“ถ้าลูกคิดแบบนั้นพ่อก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว” คุณปิยะตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องโถง “แต่รู้ไว้ด้วยนะว่าพ่อจะไม่ให้อะไรลูกเลยสักอย่าง นับตั้งแต่วันนี้ไป...รถของลูกจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขับออกจากโรงจอดรถ เงินเดือนที่เคยใช้ได้อย่างฟุ่มเฟือยจะลดลงไปสองเท่า ยกเว้นแต่ว่าลูกจะยอมทำตามที่พ่อสั่ง” พูดจบคุณปิยะก็จากมาทันที คุณวิมลเองก็ทำแบบเดียวกัน มีเพียงปุษยาเท่านั้นที่ยืนอึ้งอยู่ตามลำพัง ยังรู้สึกตกใจไม่หายที่ได้ยินคำประกาศิตอันโหดร้ายจากผู้ให้กำเนิด
‘นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น! ทำไมเรื่องพวกนี้ต้องมาซ้ำเติมฉันด้วย’ ปุษยาคิดด้วยความแค้นเคือง ก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวหรูอย่างไร้เรี่ยวแรง
เมื่อคืนหลังจากปัฐฐาขับรถมาส่งที่บ้าน เธอก็รีบบอกลาและขอตัวขึ้นห้องไป ปุษยาอาบน้ำชำระล้างสัมผัสเอาเปรียบของนพนทีออกอยู่หลายชั่วโมง จากนั้นก็นอนเหม่ออยู่บนเตียงจนกระทั่งฟ้าสาง
ไม่นานนักสาวใช้ก็ขึ้นไปเรียกเธอให้ลงมาพูดธุระสำคัญกับบุพการีทั้งสอง ซึ่งธุระของพวกท่านได้ทำร้ายจิตใจเธออย่างรุนแรง เพราะผู้หญิงที่ไม่เคยคิดจะมีพันธะกับใครให้วุ่นวาย กำลังถูกบีบให้ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ยังไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน แม้นิสัยใจคอจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้
แต่สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือคำพูดสุดท้ายของคุณปิยะ ปุษยารู้ดีว่านั่นไม่ใช่เพียงแค่คำขู่...
ปุษยาคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หากไร้ซึ่งเงินทองและสิ่งที่ต้องการ ตั้งแต่เล็กจนโต คุณปิยะกับคุณวิมลไม่เคยขัดใจอะไรเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะต้องการอะไร พวกท่านก็จัดหามาให้เสมอ ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ปุษยาใช้เงินราวกับเห็นมันเป็นเศษกระดาษไร้ค่า เมื่อรู้ว่าวันหนึ่งอาจจะไม่มีเงินทองมากมายให้ใช้สอยเหมือนเคยก็อดใจหายไม่ได้
“คุณพ่อนะคุณพ่อ! ทำไมต้องทำกับปายขนาดนี้ด้วย!” หญิงสาวตะโกนระบายอารมณ์ เมื่อคิดไม่ตกว่าควรยับยั้งเรื่องนี้อย่างไรดี ดูเหมือนเพื่อนสาวของเธอจะรู้ถึงปัญหา เพราะจู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังลั่นขึ้น
“ว่าไง!“
“โอ้โห ใครไปทำอะไรให้เธอโกรธแต่เช้าเนี่ย พูดจาไม่รื่นหูเลยนะยะ” กวิตาเอ่ยถาม
“ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วยัยวิ ออกมาเจอกันหน่อยสิ”
“ได้ๆ แล้วเจอกันที่ไหนดีล่ะ ภัตตาคารอาหารจีนดีมั้ย”
“อืม ที่ไหนก็แล้วแต่เธอเถอะ ฉันไปได้ทุกที่นั่นแหละ” ปุษยาไม่เรื่องมาก ขอเพียงได้ปรึกษาปัญหากับใครสักคนบ้างก็พอแล้ว
“โอเค แล้วเจอกันจ้ะ บายนะ”
เมื่อกวิตากดวางสายไปแล้ว ปุษยาก็เรียกสาวใช้เข้ามาพบ แล้วสั่งให้ไปบอกคนขับรถเตรียมเอารถออก ส่วนเจ้าตัวก็รีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบนห้อง แม้จะไม่มีอารมณ์แต่งตัวนานนัก แต่ปุษยาก็สวยอย่างไม่มีที่ติเสมอ
“คุณปายครับ...คุณปาย” คนขับรถวิ่งกระหืดกระหอบตรงเข้ามาหานายสาว “ผมเกรงว่าคุณปายคงออกไปไหนไม่ได้แล้วล่ะครับ”
“หมายความว่ายังไง?” หญิงสาวชักสีหน้าเครียดขรึม
“เอ่อ...คือ...คือคุณท่านสั่งว่าห้ามไม่ให้คุณปายใช้รถของที่บ้านครับ ไม่ว่าคันไหนก็ไม่อนุญาตให้ใช้ทั้งนั้น แล้วก็...คุณท่านสั่งกักบริเวณคุณปายด้วยครับ” เมื่อคนขับรถรายงานจบ ปุษยาก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก ความจริงแล้วตอนนี้อยากกรีดร้องโวยวายให้สุดเสียง แต่ก็ไม่อาจทำกิริยาอย่างนั้นต่อหน้าคนในบ้านได้
“ไสหัวไปให้พ้นเลยไป แล้วอย่าเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีกนะ!”
หญิงสาวตวาดไล่เสียงดังลั่น ยืนรอจนกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตาไป จึงโทรศัพท์กลับไปหากวิตาอีกครั้ง เพื่อขอเปลี่ยนสถานที่นัดพบจากภัตตาคารอาหารจีน เป็นที่บ้านพนิตนนท์มนตรีแทน กวิตาบ่นอุบ เพราะขับรถออกมาได้ครึ่งทางแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามที่ปุษยาขอร้องอยู่ดี
ปุษยานั่งรอเพื่อนสาวอยู่ที่ห้องนั่งเล่นไม่นานนัก กวิตาก็เดินนวยนาดเข้ามาสมทบ ใบหน้าสวยเฉี่ยวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าบ้านดูไม่สู้ดีนัก กวิตาก็พลอยหน้าเจื่อนตามไปด้วยคน และไม่รอช้าที่จะถามหาสาเหตุให้หายข้องใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอปาย ทำไมทำหน้าหงิกหน้างอแบบนั้นล่ะ”
“ฉันกำลังถูกบังคับให้แต่งงาน” ปุษยาไม่รีรอที่จะให้คำตอบ “คุณพ่อสั่งให้ฉันแต่งงานกับคนที่ยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อด้วยซ้ำ”
“ฮะ! นี่เธอล้อฉันเล่นหรือเปล่าเนี่ย!” กวิตาอึ้งสุดขีด
“เรื่องแบบนี้ฉันจะเอามาล้อเล่นทำไมล่ะ! คุณพ่อเพิ่งบอกเรื่องนี้กับฉันเมื่อสักพักนี่เอง พอฉันปฏิเสธ คุณพ่อก็ยึดรถฉัน แล้วก็สั่งกักบริเวณด้วย” หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ เอนตัวพิงพนักโซฟาแรงๆ”ถ้าคุณแม่ยอมอยู่ข้างฉันเหมือนทุกครั้งก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
“อะไรนะ! คุณแม่ก็เอาด้วยคนเหรอเนี่ย”
“นี่...ฉันไม่ได้เรียกให้เธอมาตกอกตกใจกับสิ่งที่ฉันเล่านะ ฉันอยากให้เธอช่วยฉันหาทางแก้ปัญหาหน่อย ตอนนี้ฉันคิดอะไรไม่ออกเลยวิ” ปุษยาดูคลายความฉุนเฉียวลงไปเยอะแล้ว เหลือก็แค่อาการกลัดกลุ้มใจเท่านั้น
“เฮ้อ! ฉันเองก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องยากๆ แบบนี้ซะด้วยสิ แต่ถ้าเป็นฉัน...ฉันก็คงทำเป็นเออออตามไปก่อน อย่างน้อยก็ดีกว่าโดนยึดอิสรภาพไป พอได้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม ค่อยหาทางเลี่ยงเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดอีกที”
“เธอคิดแบบนั้นจริงๆ เหรอวิ” ปุษยาดูสนใจขึ้นมาทันที นั่นเป็นเพราะเธอเองก็กำลังคิดแบบเดียวกันอยู่
“อืม...ฉันว่ามันคงเป็นทางเดียวที่พอจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ บางทีทางฝ่ายผู้ชายก็อาจจะไม่อยากถูกบังคับคลุมถุงชนเหมือนกันก็ได้นะ เธอน่าจะลองทำความรู้จักกับเขาไปก่อน แล้วค่อยช่วยกันปฏิเสธกับพวกผู้ใหญ่ ถึงยังไงสองเสียงก็ดีกว่าเสียงเดียวนะปาย”
“แล้วถ้าผู้ชายคนนั้นเกิดพอใจที่จะถูกคลุมถุงชนล่ะ อย่าลืมสิว่าสมบัติและชื่อเสียงของคุณพ่อ มีแต่คนต้องการเข้ามามีส่วนร่วมทั้งนั้น”
“ฉันว่าประเด็นนี้ไม่น่าใช่หรอก เพราะคุณพ่อคงไม่เลือกผู้ชายที่ยากจนไร้ชื่อเสียงมาเป็นลูกเขยแน่”
“จริงด้วยแฮะ! ฉันลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน” ปุษยายิ้มออก “ถ้างั้นฉันจะรีบไปบอกคุณพ่อเดี๋ยวนี้เลย” ร่างระหงขยับจะลุกจากโซฟา ทว่าเพื่อนสาวรีบรั้งไว้อย่างรวดเร็ว
“อย่าเพิ่งใจร้อนสิปาย! ถ้าเธอเปลี่ยนคำพูดเร็วแบบนี้ คุณพ่อท่านต้องสงสัยแน่ๆ”
“แล้วจะให้รอไปถึงไหนเล่า คืนนี้ฉันอยากออกไปดื่มนี่นา” ปุษยาหน้ามุ่ย
“ฉันว่าเธออดทนรออีกนิดดีกว่า ทำเป็นนั่งเครียดสักคืนสองคืนก่อน หรือไม่ก็รอจนกว่าคุณพ่อจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง”
“พอคุณพ่อถาม เธอก็จะให้ฉันเล่นบทสำนึกผิด และคิดว่าสิ่งที่คุณพ่อเลือกให้มันดีที่สุดสำหรับฉัน...อย่างนั้นใช่มั้ย” คราวนี้ปุษยาไม่ต้องให้อีกฝ่ายบอก หญิงสาวเข้าใจดีว่าควรทำอย่างไรต่อไป
“ถูกต้องที่สุดเลยจ้ะเพื่อนรัก!” กวิตายิ้มกว้าง “เอาล่ะ...ฉันว่าเธอรีบขึ้นไปเก็บตัวอยู่บนห้องก่อนดีมั้ย แล้วเดี๋ยวฉันจะจัดการกระตุ้นคุณพ่อคุณแม่ให้เอง เผื่อว่าคืนนี้เธอจะได้ออกไปดื่มฉลองกับฉัน เนื่องในโอกาสทำตามแผนแรกได้สำเร็จไง”
“ดีมากเลยวิ ขอบใจเธอมากเลยนะ”
ปุษยากุมมือเพื่อนสาวไว้แน่น ส่งยิ้มให้ด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะรีบกลับขึ้นไปชั้นบนตามแผน ขณะที่กวิตาเรียกหาสาวใช้ของบ้านพนิตนนท์มนตรี เพื่อถามถึงผู้ใหญ่ของบ้าน เมื่อรับรู้ว่าคุณปิยะกับภรรยาอยู่ที่ห้องโถง เธอก็ถือวิสาสะเข้าไปพบด้วยความร้อนใจทันที
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่” กวิตายกมือกระพุ่มไหว้อย่างสุภาพ
“อ้าว สวัสดีจ้ะหนูวิ ทำไมวันนี้มาเงียบๆ ล่ะลูก” คุณวิมลทักทาย ก่อนบอกให้หญิงสาวนั่งลงบนโซฟาตรงกันข้าม “นั่งก่อนสิ เดี๋ยวแม่จะให้คนไปตามลูกปายมาให้”
“อย่าดีกว่าค่ะคุณแม่” กวิตาห้ามเสียงแผ่ว
“ทำไมล่ะหนูวิ หรือว่าหนูมาที่นี่เพราะธุระอื่น?”
คราวนี้คุณปิยะเป็นคนถามบ้าง
“เปล่าหรอกค่ะคุณพ่อ คือ...คือวิเจอปายที่ห้องนั่งเล่นแล้วล่ะค่ะ แต่ปายดูแปลกๆ ไป เอาแต่พูดว่าไม่น่าใจร้อนเลย วิเองก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า วิรู้แค่ว่าปายดูแย่มากเลยค่ะ ท่าทางเหมือนคนมีเรื่องกลุ้มใจ” กวิตารีบเข้าเรื่องตามแผน ผลที่ได้เป็นการตอบแทนคือสีหน้าติดกังวลของผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างที่คาดไว้
“สงสัยจะมีปัญหาอะไรส่วนตัวมั้งลูก ทำไมไม่ลองขึ้นไปคุยกันดูล่ะ”
คุณปิยะไม่สบายใจนักที่ได้ยินเพื่อนสนิทของลูกสาวพูดเช่นนี้ ฉะนั้นจึงนึกอยากให้มีใครสักคนขึ้นไปอยู่กับปุษยาบ้าง เผื่อเธอจะคิดอะไรสั้นๆ ขึ้นมาเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
“วิก็อยากจะทำแบบนั้นนะคะ แต่ปายไม่ยอมพูดกับวิเลยค่ะ” กวิตาตีหน้าเศร้า ร้อนถึงคนเป็นแม่ที่ต้องเสนอตัวขอขึ้นไปดูลูกสาวบนห้อง
“ถ้างั้นเดี๋ยววิมลจะขึ้นไปดูลูกเองนะคะคุณพี่”
พูดจบร่างท้วมแต่ยังแข็งแรงก็รีบเดินจากไปทันที ด้วยเกรงว่าสามีจะรีบคัดค้านเสียก่อน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วคุณปิยะออกจะสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกเป็นห่วงปุษยาเหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมอ่อนข้อให้กับเธอ
