บทที่ ๔ ผู้หญิงกร้านโลก
นพนทีทำหน้าที่สารถีไปเงียบๆ แต่ก็ไม่ลืมเหลือบตามองคนข้างกายอยู่บ่อยครั้ง ส่วนปุษยานั้นเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรเลยตลอดทาง เธอเอนกายพิงเบาะรถ แล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อหลบสายตาเขา กว่าจะยอมพูดอะไรออกมาสักคำก็ตอนที่ขอให้เขาจอดรถนั่นแหละ
“จอดตรงทางแยกนี่ก็พอ เดี๋ยวฉันจะโทรให้เพื่อนออกมารับเอง”
“ไม่ดีมั้ง นี่มันดึกแล้วนะ ให้ผม...”
“จอดตามที่ฉันบอกนั่นแหละ” ปุษยาไม่รอฟังความหวังดีจากนพนที ฉะนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีอะไรต้องพูดกับเธออีก นอกจากตีไฟเลี้ยวนำรถไปจอดนิ่งที่ริมถนน แล้วมองร่างระหงก้าวลงจากรถไปโดยไร้คำร่ำลา
ปุษยาหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋า ตั้งใจจะโทรหาใครสักคนที่สติของเธอพอจะนึกได้ในตอนนี้ นพนทียังคงจอดรถอยู่ตรงที่เดิม ไม่ยอมเคลื่อนตัวจากไปเหมือนอย่างที่เธอกำลังภาวนาอยู่ ซึ่งเหตุผลนี้เองที่ทำให้นึกหวาดหวั่นขึ้นมาอีก เพราะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายแล้ว อะไรก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น นพนทียิ่งอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ด้วย เดี๋ยวก็พูดจาร้ายกาจใส่ แต่อีกเดี๋ยวก็พูดจาดีเหมือนคนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
นพนทีนั่งมองท่าทางลุกลี้ลุกลนของปุษยาแล้วอดยิ้มไม่ได้ ภายนอกหญิงสาวอาจจะดูมั่นใจเด็ดเดี่ยว แต่ผู้หญิงก็คือผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ ต่อให้พยายามซ่อนตัวตนของตัวเองเอาไว้อย่างไร ในยามคับขันมันก็มักจะแสดงความจริงออกมาเสียทุกที
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นข้างกาย ทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากอีกฝ่ายชั่วคราว เมื่อเห็นว่าชื่อที่ขึ้นหราอยู่บนหน้าจอคือคุณมณี นพนทีจึงไม่รอช้าที่กดรับสายอย่างรวดเร็ว
“ครับคุณแม่”
“อยู่ไหนนที ทำไมดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้านอีก อย่าบอกนะว่าลูกกลับไปกินเหล้าเคล้านารีอีกแล้ว” ความห่วงใยทำให้คนเป็นแม่ร่ายยาว
“โธ่ ผมไม่ได้ไปกินเหล้าเคล้านารีที่ไหนหรอกครับ พอดีมีธุระต้องจัดการนิดหน่อยก็เลยกลับดึก แต่ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างทางกลับบ้านแล้วล่ะครับ คิดว่าไม่เกินสิบห้านาทีก็คงถึงบ้านแล้ว คุณแม่เข้านอนเลยนะครับ ไม่ต้องรอผมหรอก”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้โกหกแม่”
”ด้วยเกียรติของลูกเสือเลยครับ”
“เฮ้อ ถ้างั้นก็แล้วไปลูก อันที่จริงถ้าลูกจะไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนแม่ก็ไม่ว่าหรอกนะ แม่แค่กลัวว่าลูกจะดื่มจนเมามาย แล้วขับรถไม่ระวังเท่านั้นเอง” คุณมณีส่งความห่วงใยผ่านทางน้ำเสียง แน่นอนว่าชายหนุ่มรับรู้ได้เป็นอย่างดี
“ผมไม่กลับไปทำตัวแบบนั้นแน่นอนครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ดีมากจ้ะ แล้วเรื่องผู้หญิงลูกก็คงหยุดแล้วเหมือนกันใช่มั้ย...ยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตนใช่มั้ยลูก”
“คิดยังไงถึงถามเรื่องนี้ละครับ”
“ตอบแม่มาก่อนสิ” คุณมณีเร่งเร้า
“ผม...” นพนทีไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องอ้ำอึ้งกับการตอบคำถามที่สุดแสนจะซ้ำซากนี้ สายตาของเขาจ้องมองไปยังร่างระหงที่ยังคงยืนกดโทรศัพท์อยู่
“ว่าไงลูก”
“ผมไม่มีใครหรอกครับคุณแม่ ทุกวันนี้ผมสนใจแต่เรื่องงานที่บริษัทเท่านั้น” ชายหนุ่มได้ยินเสียงมารดาถอนหายใจด้วยความโล่งอก แน่นอนว่าอาการเหล่านี้ทำให้เขาแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะปกติแล้วคุณมณีจะไม่ค่อยพอใจนักที่ได้ยินว่าเขายังไม่คิดจะคบหากับใคร
“แม่ง่วงแล้วล่ะนที ขับรถกลับบ้านดีๆ นะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่”
“โอเคครับ...” ยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค คุณมณีก็เป็นฝ่ายชิงวางสายไปก่อนเสียแล้ว
นพนทีขมวดคิ้วยุ่งด้วยความสงสัย แต่เขาไม่ใช่คนที่จะยึดติดกับอะไรที่หาคำตอบไม่ได้นานนัก ฉะนั้นเมื่อคู่สนทนาวางสายไปแล้ว เขาก็เริ่มกลับมาให้ความสนใจกับปุษยาอีกครั้ง ตอนนี้หญิงสาวกำลังทำหน้ามุ่ย มือก็พยายามกดโทรศัพท์หาใครสักคน แต่ดูเหมือนเวลานี้จะดึกเกินไป จึงไม่มีใครรับสายเธอเลย
นพนทีเปิดประตูรถออกเพื่อลงไปหาปุษยา ร่างสูงก้าวยาวๆ ตรงคว้าข้อมือบางไว้ ซึ่งหญิงสาวก็มีปฏิกิริยาขัดขืนโดยอัตโนมัติ “อะไรของนายอีกฮะ! ปล่อยฉันนะ!” ปุษยาสะบัดข้อมือเต็มแรง แต่นพนทีไม่สะทกสะท้าน
“ผมจะพาคุณไปส่งเอง ดึกดื่นแบบนี้จะไปรบกวนคนอื่นทำไม” ชายหนุ่มหันมาให้คำตอบ ก่อนจะฉุดกระชากให้หญิงสาวเดินตามมาที่รถอีกครั้ง
“ไม่ต้อง! ปล่อยฉันเลยนะ ฉันจะกลับบ้านเอง นายไม่ต้องมายุ่ง!”
“หุบปากซะทีเหอะน่าคุณ รำคาญ!”
“รำคาญก็ปล่อยฉันสิ! ปล่อยนะ” ปุษยาขืนตัวไว้เต็มความสามารถ แต่กระนั้นก็ยังถูกชายหนุ่มพามาถึงรถยนต์คันหรูที่คุ้นตาดีได้สำเร็จ
นพนทีจับไหล่บางไว้แน่น แล้วดันตัวเธอให้หันหลังพิงประตูรถเอาไว้ ยกแขนกำยำขึ้นขนานกับรถทั้งสองข้าง ส่งผลให้ปุษยาตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาไปโดยปริยาย ซึ่งเมื่อมาถึงตอนนี้ เธอก็ไม่กล้าทำตัวดื้อรั้นใส่เขาอีก ด้วยกลัวว่าอาจจะได้รับโทษในแบบที่รู้สึกรังเกียจอย่างที่ผ่านมา
“ทีแบบนี้ล่ะเงียบสนิทเชียวนะ ถามจริงเถอะ...คุณเป็นพวกนิยมความรุนแรงใช่มั้ยเนี่ย” นพนทีเย้ากวนๆ สายตาคมกริบเข้มขึ้นด้วยอารมณ์บางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ ปุษยาจ้องมองเขากลับไปอย่างโกรธเคือง แต่น่าแปลกที่ใบหน้างอง้ำของเธอช่วยให้นพนทีรู้สึกได้ใจอย่างประหลาด
“นายต้องการอะไรจากฉันอีก แค่ที่ผ่านมายังไม่พอใจรึไง”
“พอใจสิ...มากๆ ด้วย” ชายหนุ่มตอบตามตรง แต่หญิงสาวเข้าใจว่าเขาต้องการตอกย้ำความรู้สึกเพื่อให้อับอาย
“คงสนุกมากล่ะสิที่เป็นฝ่ายได้เปรียบฉัน แต่จะบอกให้เอาบุญนะว่าคนอย่างนายไม่มีทางชนะฉันได้ซะทุกครั้งไปหรอก ทันทีที่มีโอกาส...” เธอยื่นใบหน้าเข้าใกล้อย่างไม่เกรงกลัว “ฉันจะทำให้นายเจ็บปวดที่สุดในชีวิตเลย!” ก่อนจะตะโกนใส่เขาไป
นพนทียิ้มกว้าง รู้สึกพอใจกับความกล้าบ้าบิ่นของปุษยา เวลานี้เขาได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่านิสัยใจคอของเธอเป็นอย่างไร แม้มีบางครั้งที่อยากจะพูดดีด้วย แต่เมื่อเห็นถึงความจริงในข้อนี้ นพนทีก็คิดได้ทันทีว่าเธอไม่สมควรแก่การปฏิบัติที่ดี ฉะนั้นหลังจากนี้ไปมันคงมีแต่การปะทะกันอย่างรุนแรงเสียแล้ว
“ทันทีที่คุณทำให้ผมเจ็บที่สุดในชีวิต คุณก็ต้องเจ็บเหมือนกัน ไม่เชื่อก็คอยดูสิ” เมื่อพูดจบ นพนทีสังเกตเห็นสีหน้าของหญิงสาวกระด้างขึ้น แต่ไม่นานนัก ความเรียบเฉยก็ปรากฏแทนที่
“นายไม่ทำแบบนั้นหรอก” ปุษยายกมือขึ้นวางทาบบนแผงอกกว้าง ขยับกายเข้าหาเขาอย่างจงใจ
“จะเล่นเกมอะไรอีกล่ะ” นพนทีก้มลงมองมือเล็กที่กำลังปะป่ายไปทั่ว และถามอย่างรู้ทัน
“ไม่มีเกมอะไรทั้งนั้น ฉันก็แค่อยากทำให้นายรู้อะไรบางอย่าง” หญิงสาวเลื่อนแขนขึ้นโอบรอบคอชายหนุ่มไว้ “ความจริงแล้วไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอะไรมากหรอกนะ เพราะเมื่อตอนที่เรียนอยู่เมืองนอก ฉันก็ทำแบบนั้นกับผู้ชายคนอื่นอยู่บ่อยๆ” ดวงตาที่ฉายแววจับผิดของนพนทีทำให้อดประหม่าไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจ
“คุณกำลังจะบอกว่า...คุณแกล้งโกรธที่ถูกผมล่วงเกินอย่างนั้นใช่มั้ย”
“เปล่า ตอนแรกฉันก็โกรธจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ใช่เพราะนายล่วงเกินหรอก” ปุษยาโน้มใบหน้าหล่อลงมาใกล้ ก่อนกระซิบชิดริมฝีปากเขาอย่างท้าทาย “ฉันโกรธก็เพราะว่า...นายไม่ยอมต่อให้จบต่างหากล่ะ” จากนั้นริมฝีปากบางสวยก็แนบชิดเข้ากับชายหนุ่มทันที
นพนทีงงไปหมด ไม่เข้าใจในสิ่งที่ปุษยาพูด รวมทั้งการกระทำอันอาจหาญของเธอด้วย แต่ว่าเขาก็ตอบสนองจูบไร้เดียงสานั้นเป็นอย่างดี มือใหญ่รั้งเอวคอดกิ่วเข้ามาแนบชิด บดจูบลงบนเรียวปากสีกุหลาบเร่าร้อนจนอีกฝ่ายยืนแทบไม่อยู่ และไม่สนใจเลยว่าที่ตรงนี้คือริมถนนที่มีผู้คนมากมายสัญจรผ่านไปมา แม้เวลาจะดึกมากแล้วก็ตาม
ปุษยาพยายามควบคุมสติตัวเองเอาไว้ สิ่งที่ทำให้เธอต้องยอมแลกจูบกับผู้ชายที่เกลียดแสนเกลียดคนนี้ คือวิดิโอเทปม้วนเล็กที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขา ถ้าหากมันตกอยู่ในมือเธอ เรื่องที่จะหาทางสั่งสอนนพนทีก็ง่ายเพียงนิดเดียว ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจอีก
ทันทีที่มือเล็กเลื่อนลงไปป้วนเปี้ยนอยู่ตรงหน้าขา นพนทีก็ขบกรามแน่นเพื่อสะกดกลั้นความต้องการที่ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เขายกมือขึ้นประคองใบหน้างามให้เชิดหงาย ตะโบมจูบเร่าร้อนไม่สร่างซา ก่อนจะลดใบหน้าลงลิ้มรสความหอมจากซอกคอขาวผ่อง มือใหญ่เลื่อนขึ้นเกาะกุมบั้นท้ายสวยเอาไว้ พร้อมกดสะโพกเธอให้บดเบียดเข้าหาจนแนบชิด
ปุษยาแทบกรีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อรู้สึกได้ว่ากลางกายหนุ่มกำลังแข็งตึงเรียกร้อง จริงอยู่ที่เธอยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องพรรค์นี้เลย
“จะ...ใจเย็นสิ นี่มัน...นี่มันริมถนนนะ”
เสียงหวานกระเส่าร้องบอกเมื่อถูกรุกเร้าหนักขึ้น มือที่เคล้นคลึงอยู่ที่บั้นท้ายเลื่อนมาลูบไล้ที่ต้นขาเนียน ส่งผลให้ขนอ่อนบนร่างกายลุกชัน มือไม้อ่อนปวกเปียกจนต้องใช้ไหล่แข็งแรงเป็นหลักยึด
“ช่างมันเถอะน่า ไม่มีใครสนใจเราหรอก”
นพนทีรอต่อไปแทบไม่ไหวอีก รีบดันร่างบางให้เอนกายพิงไปกับรถ สอดมือเข้าไปใต้ชุดเดรสตัวสวย หวังจะดึงกางเกงชั้นในให้ร่นลง แล้วร่วมรักกับเธอเสียตรงนี้เลย
“ยะ...อย่านะ เรา...เราไปที่อื่นไม่ดีกว่าเหรอ”
หญิงสาวร้องห้าม กัดริมฝีปากแน่น ขณะเลื่อนมือไปใกล้กับกระเป๋ากางเกงมากขึ้น มือเล็กพยายามล้วงเข้าไปควานหาสิ่งที่ต้องการอย่างเบามือ แต่หากไม่ใช่มืออาชีพจริงๆ มีหรือที่จะไม่ถูกจับได้
“คิดแล้วเชียว...” นพนทีคว้าข้อมือปุษยาเอาไว้ได้ทัน “ใจกล้าเกินไปแล้วนะที่ใช้วิธีนี้กับผม คุณน่าจะรู้ว่าตัวเองอาจจะเดือดร้อนได้”
“ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย!” แม้จะรู้ดีว่าคำแก้ตัวนี้ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างน้อยก็ดีกว่ายอมรับผิดตรงๆ
“อยากได้วิดิโอเทปม้วนนี้มากสินะ ถึงยอมทำตัวเป็นผู้หญิงกร้านโลกแบบนี้”
“ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ นายพูดอะไรของนาย!”
“คุณคิดว่าผมโง่มากหรือไง...ผู้หญิงที่ยังจูบไม่เป็นอย่างคุณ ไม่มีทางยอมเสนอตัวให้ผมโดยไม่มีอะไรแอบแฝงหรอก”
“ก็ถ้าใช่แล้วจะทำไมไม่ทราบ!”
เมื่อคำแก้ตัวไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ปุษยาก็ระเบิดอารมณ์ใส่เขาทันที นพนทีขยับจะโต้ตอบกับเธออย่างไม่ลดละ แต่ติดตรงที่มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ เสียก่อน เขาจึงต้องข่มอารมณ์เอาไว้
ทันทีที่เจ้าของรถเบนซ์คันงามก้าวลงมา ปุษยาก็ยิ้มกว้างอย่างยินดี ขณะที่นพนทียืนจ้องหนุ่มหล่อเชื้อสายจีนด้วยสายตาแข็งกร้าว ต่างจากอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มมีเล่ห์เหลี่ยมมาให้
ปัฐฐา รัชตะศิลป์ชัย...ทายาทเพียงคนเดียวของโชว์รูมเบนซ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ปุษยาคุ้นเคยกับเขามาตั้งแต่ก่อนที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ส่วนนพนทีเคยมีเรื่องบาดหมางกับเขามาก่อน เพราะปัฐฐามักจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้หญิงทุกคนหักหลังเขา
จนถึงตอนนี้นพนทียังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าปัฐฐาต้องการเอาชนะเขาไปเพื่ออะไร ในเมื่อไม่ได้มีชนวนที่ทำให้เกลียดขี้หน้ากันเสียหน่อย
“คุณปัฐ! บังเอิญจังเลยนะคะ” ปุษยาถอยห่างจากนพนที แล้วรีบเดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ ปัฐฐาเพื่อใช้เขาเป็นเกราะกำบัง
“ผมก็ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณกลางดึกแบบนี้เหมือนกันครับ โชคดีจังที่ผมบังเอิญเห็นคุณปายเข้าพอดี” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง และหันไปทักทายนพนทีบ้าง “ไงนที สบายดีสินะ ไม่เจอกันนานเลย แล้วนี่นายก็รู้จักกับคุณปายด้วยเหรอเนี่ย”
“รู้จักสิ...รู้จักดีมากๆ เลยด้วย”
“คุณปัฐช่วยไปส่งปายที่บ้านหน่อยได้มั้ยคะ” ปุษยารีบตัดบท “พอดีว่ารถของ...รถของคุณนทีเสียน่ะค่ะ โทรตามช่างแล้วแต่มาไม่ถึงซะที ปายง่วงแล้วค่ะ” ปุษยาเรียกชื่อนพนทีตามที่ได้ยินจากปัฐฐา
“ด้วยความยินดีครับ” หนุ่มตี๋ตอบตกลงทันที
“ถ้างั้นเรารีบไปกันเลยดีกว่าค่ะ ป่านนี้คุณแม่คงเป็นห่วงแย่แล้ว” พูดจบปุษยาก็เป็นฝ่ายเดินไปรอที่รถก่อน ทิ้งให้ปัฐฐามองตามอย่างแปลกใจ
“ท่าทางจะง่วงมากเลยแฮะ นายคิดว่างั้นมั้ยนที”
“คงงั้น สงสัยจะเพลียมาก” นพนทีจงใจพูดจากำกวมเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขามีสีหน้าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“ได้ข่าวว่านายเลิกยุ่งกับผู้หญิงอย่างเด็ดขาดเลยเหรอ ทำไมทำแบบนั้นล่ะ หรือว่าถึงจุดอิ่มตัวซะแล้ว” ปัฐฐาเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“ก็แค่ข่าวลือในวงการเพลย์บอยน่ะ ไอ้เสืออย่างฉันไม่สิ้นลายง่ายๆ หรอก ดูอย่างวันนี้สิ...นายก็เห็นนี่ว่าฉันมากับสาวสวยไฮโซ หวังว่าเรื่องคืนนี้จะช่วยกลบข่าวลือบ้าๆ ได้บ้างนะ” นพนทีอ้าง
“โอเค ถ้านายทำให้คุณปายเป็นผู้หญิงของนายได้จริงๆ ฉันก็ขอให้เธอไม่หักหลังนายเหมือนอย่างผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ผ่านมาก็แล้วกัน” ปัฐฐายิ้มยั่ว แต่นพนทีควบคุมอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะ แต่ที่ผ่านมาฉันก็ถือว่าแบ่งของเหลือให้ผู้ยากไร้น่ะ ส่วนผู้หญิงคนนี้...บอกตรงๆ ว่าฉันก็ไม่ได้จริงจังเหมือนอย่างเคยนั่นแหละ ใครสนใจจะรับของเหลือจากฉัน ฉันก็ยินดียกให้อยู่แล้ว” คำพูดต่อมาทำให้ปัฐฐาเริ่มปั้นหน้าไม่ถูก เดี๋ยวนี้นพนทีควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าเมื่อก่อน ซ้ำยังใช้คำพูดเหน็บแนมจนรู้เขารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากอีก
“เอาไว้คุยกันใหม่เมื่อมีโอกาสละกันนะ ตอนนี้ฉันคงต้องขอตัวก่อน ไม่อยากให้สุภาพสตรีแสนสวยต้องรอนาน” พูดจบปัฐฐาก็เดินตรงไปที่รถและขับจากไปอย่างรวดเร็ว
“ผู้หญิงพรรค์นั้นเชิญแกตามสบายเถอะไอ้หมาปัฐ! ฉันไม่คิดจะยุ่งด้วยนานนักหรอก” ชายหนุ่มตะโกนไล่หลังไป ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน ก่อนจะรีบขับรถกลับไปที่บ้านด้วยเช่นกัน
เรื่องของปุษยาไม่มีทางจบลงแค่นี้แน่ เพราะลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกว่าเขาและเธอยังต้องเกี่ยวข้องกันอีกเยอะ แต่คงไม่ใช่ในฐานะมิตรหรอก ระหว่างนพนทีกับปุษยา ความสัมพันธ์แบบเดียวที่พอจะเกิดขึ้นได้ก็มีแค่ในแบบของศัตรูเท่านั้น...
เช้านี้นพนทีตื่นสายกว่าปกติ เพราะกว่าจะข่มตาหลับลงได้ ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงเลยทีเดียว ร่างสูงพาตัวเองโซซัดโซเซเข้าห้องน้ำไป แม้ว่าจะได้นอนพักผ่อนเพียงแค่สองชั่วโมง แต่เขาก็ไม่คิดจะละเลยหน้าที่ประธานบริษัทที่ทุ่มเททุกอย่างให้กับงาน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขณะที่นพนทีกำลังเช็ดผมให้ตัวเอง เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้อง คุณมณีก็เดินเข้ามาทักทายบุตรชายด้วยรอยยิ้มสดใสกว่าทุกวัน
“ว่าไงพ่อตัวดี นอนดึกล่ะสิถึงได้หน้าตาอิดโรยแบบนี้”
“ถึงขั้นอิดโรยเลยเหรอครับ ผมนอนน้อยแค่วันเดียวเองนะ” ชายหนุ่มรีบหันไปมองดูสภาพตัวเองในกระจก “เฮ้ย! ทำไมเป็นแบบนี้วะเนี่ย” เมื่อพบว่าขอบตาดำคล้ำขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ความกังวลก็เกิดขึ้นตามประสาหนุ่มเจ้าสำอาง
“แหม เรื่องแค่นี้มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับหนุ่มหล่ออย่างลูกหรอกนที แค่นอนพักอีกหน่อยหน้าตาก็สดใสขึ้นแล้ว” คุณมณีเย้าเสียงนุ่ม
“ผมจะนอนได้ยังไงล่ะครับคุณแม่ ผมต้องรีบไปทำงานนะครับ”
“แม่เคยบอกแล้วนะว่าอย่าห่วงงานมากกว่าตัวเอง หรืออยากเข้าบริษัทไปทั้งที่หน้าตาไม่สดใสแบบนี้”
“แต่ว่า...”
“งานที่บริษัทไม่ได้มีอะไรที่มันเร่งด่วนสักหน่อย เข้าไปช่วงบ่ายๆ ก็ได้หรอกน่า” คุณมณีรีบเสนอ ยกมือขึ้นลูกศีรษะนพนทีอย่างเอ็นดู “นอนต่อเถอะนที วันนี้แม่กับคุณพ่อมีธุระสำคัญที่ต้องคุยกับลูกด้วย ไว้ตื่นเมื่อไหร่ค่อยลงไปก็แล้วกันนะจ๊ะ”
“ธุระ?...ธุระอะไรเหรอครับ”
“อย่าเพิ่งอยากรู้เลย พักผ่อนก่อนเถอะ แม่ลงไปข้างล่างก่อนนะ” แล้วคนเป็นแม่ก็เดินออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้ลูกชายนั่งกระพริบตาปริบๆ อยู่ตามลำพัง ก่อนจะลุกจากโต๊ะเครื่องแป้งไปทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม
“ทำไมคุณแม่ดูแปลกๆ ไปนะ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วด้วย”
ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง แต่อีกใจบอกว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่สลักสำคัญอะไร เขาจึงขยับตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม ดึงหมอนข้างเข้ามาก่ายกอด และหลับสนิทไปในเวลาต่อมา
หลังจากกลับลงมายังชั้นล่างแล้ว คุณมณีก็แวะเข้าไปดูความเรียบร้อยในห้องครัวก่อนเป็นอันดับแรก ตรวจดูว่ามื้อเช้ามีสิ่งไหนขาดตกบกพร่องไปหรือเปล่า
เมื่อพบว่าชื่นกับจ๋อมจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยแล้ว นางก็มีคำสั่งให้เริ่มจัดโต๊ะอาหารทันที ก่อนจะผละไปตามสามีที่ยังคงนั่งดูข่าวสารบ้านเมือง อยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้วยตัวเอง
“วันนี้มีข่าวอะไรน่าสนใจบ้างคะคุณ” คุณมณีทักทายด้วยคำถาม
“ก็เหมือนเดิมแหละที่รัก มีแต่ข่าวการเมืองทั้งนั้นเลย น่าเบื่อออก”
“ถ้าน่าเบื่อก็เลิกดูเถอะค่ะ ไปทานอาหารกันดีกว่า วันนี้มีแต่ของโปรดของคุณทั้งนั้นเลยนะคะ”
“อาหารเช้าพร้อมแล้วเหรอเนี่ย ผมนึกว่าคุณจะรอเจ้านทีซะอีกนะ”
“ขืนรอก็คงเป็นลมกันพอดีค่ะ ตอนนี้มันแปดโมงกว่าแล้วด้วย”
“นั่นน่ะสินะ ตอนนี้ผมหิวจะแย่อยู่แล้วด้วย” คุณธาดากดรีโมทปิดโทรทัศน์ แล้วหันมาส่งยิ้มให้ภรรยา “ว่าแต่...เรื่องเจ้านทีเรียบร้อยดีใช่มั้ย”
“เรียบร้อยค่ะ ฉันบอกให้ลูกนอนต่อ แล้วค่อยเข้าบริษัทช่วงบ่าย”
“ดีๆ นี่ถ้าเมื่อคืนไอ้ตัวแสบไม่กลับบ้านดึกล่ะก็ วันนี้คงไม่ยอมหยุดอยู่บ้านแบบนี้หรอก”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ บทจะขยันก็แทบไม่มีเวลาหายใจเลย แต่ถ้ากลับไปว่างมากเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
“ฮ่าๆ นั่นสินะ”
คุณธาราหัวเราะชอบใจกับคำพูดของภรรยา ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปโอบรอบเอวที่เริ่มอวบหนาขึ้นตามวัย
“เราไปทานมื้อเช้ากันดีกว่า เราต้องเตรียมพร้อมเต็มที่หน่อยแล้วล่ะคุณมณี” ว่าแล้วสองสามีภรรยาก็พากันเดินตรงไปที่ห้องอาหารทันที
นพนทีที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนห้องนอน ไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าบุพการีทั้งสองกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ แน่นอนว่าสิ่งนั้นก็คือเรื่องที่ชายหนุ่มพยายามปฏิเสธมาโดยตลอด
คุณธาดากับคุณมณียอมตามใจลูกชายมานานเกินไปแล้ว คราวนี้ต่อให้นพนทีจะอ้างเหตุผลอีกร้อยแปด พวกเขาก็จะไม่มีวันคล้อยตามอย่างเด็ดขาด แม้ยุคนี้สมัยนี้จะไม่นิยมการคลุมถุงชน
แต่ถ้าหากจำเป็นมันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ...
