บทที่ ๓ ตามหาเพื่อเอาคืน 1
นพนทีเรียกภากรเข้ามาพบที่ห้องทำงานในช่วงสาย ภากรเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทวารีพิทักษ์ และด้วยความที่เขาเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพล นพนทีจึงเจาะจงเรียกเขามาเพื่อใช้งานตามความต้องการของตัวเองโดยเฉพาะ
“วันนี้มีอะไรให้ผมรับใช้เป็นพิเศษหรือเปล่าครับคุณนที” ภากรถามราวกับรู้ทันความคิดนายหนุ่ม
“แหม รู้ใจผมจริงๆ นะคุณภากร” นพนทีผายมือไปตรงเก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงาน “เชิญนั่งๆ ธุระของผมค่อนข้างยาวเลยล่ะ”
เมื่อภากรนั่งลงตามคำเชิญเรียบร้อย นพนทีก็สั่งให้กานดา พนักงานที่มารับตำแหน่งเลขานุการชั่วคราว นำกาแฟร้อนเข้ามาเสิร์ฟให้กับตัวเอง และเผื่อภากรด้วยอีกแก้ว หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเอ่ยถึงจุดประสงค์สำคัญขึ้นมาทันที
“ผมได้ยินมาว่าคุณพ่อของคุณมีอิทธิพลอยู่พอสมควร ผมก็เลยอยากรบกวนให้คุณช่วยตามหาใครคนหนึ่งให้ผมหน่อย ไม่ทราบว่าคุณภากรพอจะช่วยอะไรผมได้บ้างมั้ยครับ”
“แน่นอนครับคุณนที คุณให้โอกาสผมเข้ามาทำงานที่นี่ทั้งที่ผมมีประวัติไม่ดีมาก่อน ไม่ว่าเป็นเรื่องไหนผมก็ยินดีช่วยคุณอยู่แล้วครับ” ภากรยิ้มกว้าง
“ถ้างั้นก็ดีเลยครับ” ผู้บริหารหนุ่มหล่อเอ่ย สองมือประสานกันวางนิ่งบนโต๊ะทำงาน ขณะโน้มตัวไปทางภากรอย่างจริงจัง “ผมว่าเรามาเริ่มพูดคุยรายละเอียดของคนๆ นั้นเลยดีกว่า”
แม้ว่านพนทีจะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของปุษยา แต่ชายหนุ่มก็อธิบายให้ภากรฟังเท่าที่สามารถบอกได้ ซึ่งข้อมูลจากเขาก็มีเพียงรถยนต์ที่เธอขับ ลักษณะท่าทางและความอวดดีของเธอ ภากรค่อนข้างหนักใจที่เห็นเจ้านายป้อนรายละเอียดอันน้อยนิดให้อย่างนี้
“โธ่! คุณนทีมีข้อมูลเกี่ยวกับเธอแค่นี้เองเหรอครับ”
“ครับ ผมรู้แค่นี้จริงๆ”
“อืม...เอาเป็นว่าผมจะพยายามสืบดูก็แล้วกันครับ แม้ว่าเคสนี้จะยากมากพอสมควร แต่ผู้หญิงไฮโซที่ขับรถราคายี่สิบล้านก็ไม่ได้มีมากนักในเมืองไทย แถมยังเป็นสาวสวยอีกต่างหาก”
“ขอเน้นอีกครั้งนะครับว่าแม่คนนั้นแค่สวยแล้วก็รวย ส่วนนิสัยใจคอน่ะเลวร้ายสุดๆ เลยล่ะ” นพนทีทำหน้าระอา
“โอเคครับคุณนที เอาไว้ถ้าได้เรื่องเมื่อไหร่ ผมจะรีบแจ้งให้ทราบทันทีเลยครับ” เมื่อหมดธุระที่ต้องพูดคุยแล้ว ภากรก็ขอตัวกลับไปทำงานตามเดิม
นพนทีเองก็อยากเคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จๆ ไปเหมือนกัน แต่สมองของเขาว้าวุ่นจนไม่อยากทำอะไรอีก ซึ่งสาเหตุเกิดจากปุษยานั่นเอง เธอบังอาจทำร้ายเลขานุการที่แสนดีของเขาจนเสียขวัญ เขาจึงอยากสั่งสอนให้เธอรับรู้ถึงความรู้สึกอย่างนั้นบ้าง
‘รออีกนิดนะแม่สาวไฮโซ รับรองว่าฉันจัดให้เธออย่างถึงใจแน่’
นพนทีคิดในใจ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมุมปาก ยิ่งนึกถึงแผนการที่วางเอาไว้ล่วงหน้าขึ้นมา เลือดในกายก็ยิ่งร้อนระอุด้วยความสะใจ
ผู้ชายอย่างเขาอาจจะยอมซ่อนเล็บซ่อนเขี้ยว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะนำกลับมาใช้งานอีกไม่ได้ คิดแล้วนพนทีก็รีบต่อโทรศัพท์หาคนที่จ้างวานไว้อย่างรวดเร็ว เพื่อย้ำถึงแผนการที่เขาต้องการจะเปลี่ยนแปลง
“ฮัลโหล...เตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลาเลยนะ ฉันคิดว่าได้คงได้ข้อมูลผู้หญิงคนนั้นเร็วๆ นี้แหละ ที่สำคัญไอ้หน้าที่สุดท้ายน่ะ นายกับพรรคพวกไม่ต้องทำแล้ว...ฉันคิดว่าฉันจะลงมือเอง”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจและกดตัดสาย เมื่ออีกฝ่ายรับคำหนักแน่น ตอนนี้เขาก็แทบจะรอข่าวดีจากภากรไม่ไหวเลยทีเดียว หากแต่ก็ป่วยการที่จะเร่งเร้า เพราะตัวเขาเองนั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับเธอน้อยเสียเหลือเกิน
เมื่อเห็นว่าวันนี้คงไม่มีสมาธิทำงานอีกแล้ว นพนทีจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าสูทสีดำราคาแพงขึ้นมาสวม ก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานออกไป กานดาหันมายิ้มน้อยๆ ให้เจ้านายแล้วรีบลุกขึ้นยืน ไม่ลืมถามตามหน้าที่ว่าเขาต้องการอะไรหรือเปล่า
“มีอะไรให้ดิฉันรับใช้เหรอคะ”
“อ๋อ เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก แค่จะมาบอกว่าวันนี้ผมคงต้องอู้งานหน่อย รู้สึกว่าไม่มีสมาธิเลย อยากออกไปหาอะไรดื่มคลายเครียด คุณจะไปด้วยกันมั้ยล่ะ”
“ขอบคุณที่อุตส่าห์ชวนนะคะ แต่เชิญคุณนทีตามสบายเถอะค่ะ ดิฉันขอทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จก่อนดีกว่า” กานดาจำต้องปฏิเสธ ถึงแม้ว่าคำชวนของนายหนุ่มจะทำให้หัวใจพองโตก็ตาม
“โอเคๆ ผมคิดว่าคงไม่กลับเข้ามาแล้ว มีอะไรด่วนก็โทรเข้ามือถือได้ตลอดเลยนะ” เมื่อเลขาชั่วคราวพยักหน้ารับรู้ นพนทีก็เดินจากไปทันที
ชายหนุ่มทักทายพนักงานในบริษัทอย่างเป็นกันเองไปตลอดทาง แต่เมื่อกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์ ร่างสูงก็ถึงกับชะงักนิ่ง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าสุภาพสตรีที่ยืนอยู่ในลิฟต์ก่อนหน้าเขาคือคนที่กำลังตามหาอยู่
มันช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้นะ...
ดูท่าหล่อนเจ้าหล่อนยังไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมองเขาเสียด้วยซ้ำ เอาแต่ยืนกดโทรศัพท์อย่างจดจ่อ นพนทีก้าวเข้ามาในลิฟต์อย่างรวดเร็ว และยืนหันหลังให้เธอ จากนั้นมือหนาก็รีบเอื้อมไปกดปุ่มปิดลิฟต์ก่อนที่จะมีใครเข้ามาเป็นมือที่สาม
“ฮัลโหล คุณแม่อยู่ไหนคะ ปายกำลังจะกลับบ้านแล้วนะ” นพนทีตั้งใจฟังบทสนทนาของหญิงสาวเต็มที่ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเธอมีชื่อเล่นว่าปาย
“ปายไม่ได้เลือกซื้อผ้าไหมให้คุณแม่หรอกค่ะ พนักงานที่นี่หยาบคายมาก แค่ขอเข้าพบผู้บริหารก็ไม่ได้ ไล่ปายให้ลงไปเลือกผ้าไหมที่ศูนย์ชั้นล่างอย่างกับเห็นปายเป็นพวกยาจก เอาไว้ปายจะไปเลือกของบริษัทอื่นให้ล่ะกันนะคะ” ปุษยาใส่ร้ายพนักงานของบริษัทวารีพิทักษ์ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าผู้บริหารที่ตนกล่าวถึงยืนอยู่ด้านหน้า
นพนทีเลือกเฟ้นคนที่มีความสามารถสูง และมีใจรักทางด้านงานผ้าไหมมาทำงานที่บริษัทนี้โดยเฉพาะ ที่สำคัญความประพฤติของพนักงานทุกคนอยู่ในสายตาของเขาเสมอ เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะมีใครสักคนกล้าหยาบคายใส่ลูกค้า แม้ว่าลูกค้าอย่างปุษยาจะไม่น่าพูดดีด้วยก็ตามที
“อะไรกันคะ ทำไมต้องเจาะจงจะเอาผ้าไหมของที่นี่ด้วย” เสียงหวานที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดเอ่ยถามคู่สนทนา
นพนทีไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายพูดว่าอย่างไร แต่พอเดาออกว่าคงไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก เห็นได้จากการที่ปุษยากดตัดสายและปิดเครื่องโทรศัพท์ ก่อนจะยัดมันลงในกระเป๋าสะพายใบสวย
นพนทียิ้มกับตัวเอง เมื่อรู้ว่าปุษยากำลังจะลงไปที่ชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นลานจอดรถเช่นเดียวกันกับเขา ชายหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อส่งข้อความ จากนั้นก็ภาวนาในใจขอให้มีบางอย่างถ่วงเวลาหญิงสาวเอาไว้ จนกว่าคนที่รับคำสั่งของเขาจะมาถึงที่นี่
เสียงลิฟต์ดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงจุดหมาย ปุษยาเดินผ่านไหล่ชายหนุ่มเพื่อจะออกจากลิฟต์ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นออกมา ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังก็โถมตัวเข้าใส่เต็มแรง พาให้ร่างบางระหงในชุดกระโปรงรัดติ้วล้มคะมำไปข้างหน้า
“โอ๊ย!!” เสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้น เมื่อรู้สึกเจ็บจุกไปทั้งตัว ตอนนี้ใบหน้าเธอแนบอยู่กับพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นดิน ซ้ำร้ายยังมีผู้ชายตัวโตทับอยู่ทางด้านหลังอีกด้วย
“กรี๊ด! อีตาบ้า! แกจะทำอะไรฉันยะ ออกไปนะ...ออกไป!!”
ปุษยาดิ้นขลุกขลักอยู่ใต้ร่างชายนิรนาม ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบวิ่งตรงมาตามเสียงร้อง เมื่อเห็นคนที่คร่อมทับอยู่ทางด้านหลังหญิงสาวคือประธานบริษัท เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปเลยเหมือนกัน
นพนทีโบกมือและทำหน้าแปลกๆ เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายรีบไปให้พ้น ซึ่งดูเหมือนคนใต้อาณัติจะเข้าใจดี และยอมเดินจากไปด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด
ปุษยาโดนแรงกดจนทำให้ไม่สามารถผงกศีรษะขึ้นมองได้ กระนั้นเธอก็ยังดิ้นรนไปมา แต่ทำอย่างนั้นได้ไม่นานนัก เพราะเมื่อรู้สึกแสบร้อนบริเวณหัวเข่าที่คิดว่าคงเป็นแผลถลอก เธอก็เริ่มหยุดดิ้น และนอนหอบหายใจอยู่ใต้ร่างนั้น
“แก...แกต้องการอะไร! อยากได้เงินก็เอาไปสิ...อยู่ในกระเป๋าสะพายฉันนั่นแหละ แหวนเพชรก็ถอดออกจากนิ้วฉันไปได้เลย ขอแค่ปล่อยฉันไปก็พอ” ปุษยาเสนอ
“สิ่งที่ผมอยากได้ไม่ใช่เงินทองข้าวของหรอก” ชายหนุ่มกระซิบบอก
“ถ้างั้นแกอยากได้อะไรล่ะ! ถ้าเป็นรถก็รีบเอาไปเลย รถของฉันราคาหลายสิบล้านเลยนะ!”
“รถของผมก็ราคาหลายสิบล้านเหมือนกัน”
“แล้วแกจะเอายังไงล่ะไอ้บ้า!”
“ก็...” นพนทีกำลังจะตอบคำถามเธอ แต่เสียงรถตู้ที่แล่นตรงมาแล้วจอดลงไม่ไกล ดึงความสนใจจากเขาไปหมดเสียก่อน เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือคนของตัวเอง ชายหนุ่มก็ทรงตัวลุกขึ้นนั่ง รีบดึงเนกไทออกจากคอเสื้อ แล้วใช้มันมัดข้อมือบางไพล่หลังเอาไว้ ส่วนอีกฝ่ายนั้นก็รีบนำหมวกไหมพรมคลุมศีรษะปุษยาไว้ เพื่อไม่ให้เธอจำหน้าพวกเขาได้
“พาเธอไปในที่ๆ ตกลงกันไว้ แล้วพวกนายก็รีบเผ่นซะ เงินค่าจ้างส่วนที่เหลือฉันจะโอนเข้าบัญชีให้คืนนี้” นพนทีสั่ง และยืนมองปุษยาถูกนำตัวขึ้นไปบนรถตู้ด้วยความสะใจ
“อย่าเพิ่งกลัวจนคิดฆ่าตัวตายนะ คืนนี้เธอยังต้องเจออะไรอีกเยอะ”
ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเอง พลางก้มลงปัดฝุ่นออกจากเสื้อและกางเกง ขณะนั้นเองที่ทำให้เหลือบไปเห็นกระเป๋าสะพายของหญิงสาวตกอยู่ที่พื้น แน่นอนว่าเขารีบนำมันมาเปิดดูทันที
ปุษยา พนิตนนท์มนตรี...
นพนทีขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้สึกคุ้นกับนามสกุลที่ปรากฏในบัตรประจำตัวประชาชนของเธอ เขาพยายามนึกถึงมันอยู่ครู่หนึ่ง แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก น่าเสียดายที่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจดูในส่วนของที่อยู่ เพราะหากเขาเลือกที่จะไม่ละเลยมัน คงนึกออกไปแล้วว่าเหตุใดจึงรู้สึกคุ้นเคยกับนามสกุลพนิตนนท์มนตรีนัก
ปุษยารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองถูกทิ้งอยู่ในห้องๆ หนึ่ง โชคยังดีที่มีแสงไฟจากด้านนอกส่องผ่านเข้ามาภายในห้องบ้าง รอบตัวเธอจึงไม่ได้มืดสนิทจนน่ากลัว แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้สว่างพอที่จะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนอยู่ดี
ปุษยาพยายามลำดับความคิดขึ้นมาอีกครั้ง และเธอก็จำได้ดีว่าตอนที่กำลังจะออกจากบริษัทวารีพิทักษ์ ผู้ชายคนที่ขึ้นลิฟต์มาด้วยกัน ได้กระโจนเข้าใส่เธอเต็มแรงจนล้มคว่ำไป จากนั้นเขาก็ใช้ร่างกายได้เปรียบกดทับให้เธออยู่กับที่ ใช้เนกไทมัดข้อมือเธอไว้ ก่อนจะสั่งให้พรรคพวกของเขานำตัวมาที่นี่
ระหว่างทางปุษยาแผลงฤทธิ์อย่างหนัก สุดท้ายจึงถูกพวกมันจัดการด้วยยาสลบ หากจำได้ไม่ผิด ตอนที่เธอกลับออกมาจากบริษัทวารีพิทักษ์ เวลาน่าจะประมาณบ่ายสองโมงเศษ ต่างจากตอนนี้ที่ท้องฟ้ามืดแล้ว ซึ่งหมายความว่าเธอหมดสติไปนานหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
‘พวกมันคิดจะทำอะไรกับฉันกันแน่นะ?’
