บทที่ ๒ ความบังเอิญ 2
“ถ้าคิดว่าด่าผมแล้วจะเกิดผลดีก็เอาสิ เอาเลย...บางทีผมอาจจะได้จูบคุณโชว์ทุกคนที่นี่ด้วยไง” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้น ยิ้มยั่วหญิงสาวอย่างไม่คิดจะเกรงกลัว ปุษยาโกรธจนใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด และแน่นอนว่าเธอไม่กล้าทำตามคำท้าของเขา
คงไม่มีใครอยากโดนจูบกลางที่สาธารณะเป็นครั้งที่สองหรอก!
“ฝากไว้ก่อนเถอะ สาบานได้เลยว่าฉันจะตอบแทนนายอย่างสาสมแน่” หญิงสาวประกาศก้อง พร้อมเหลือบตามองไปทางศศิกานต์ที่กำลังตามมาปรามนพนที รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะเดินออกไปจากภัตตาคารพร้อมเพื่อนๆ ที่ยังคงมีเครื่องหมายคำถามปรากฏอยู่เต็มใบหน้า
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องไปแกล้งคุณคนนั้นด้วย” ศศิกานต์ถามทันทีที่ปุษยาลับตาไปแล้ว
“อย่าสนใจเลยวิว แม่นั่นน่ะชอบทำตัวไฮโซหยิ่งยโส สมควรแล้วที่โดนประจานแบบนี้” นพนทีตอบปัด เพราะเห็นว่าเรื่องของปุษยาไม่มีอะไรที่น่าพูดถึงนัก อีกอย่างการเจอกันในวันนี้คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ และเรื่องบังเอิญก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยนัก เพราะฉะนั้นเขาจึงหวังว่าจะไม่ได้พบเจอกับเธออีก
“อาหารมาที่โต๊ะแล้วนะ ยังจะทานอยู่มั้ย”
เลขาคนสวยเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากเซ้าซี้เจ้านาย
“ทำไมถามแบบนั้นเล่า เรื่องเมื่อกี้มันทำให้อยากอาหารมากขึ้นนะ”
นพนทีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินนำศศิกานต์กลับไปที่โต๊ะโดยไม่สนใจสายตาใคร ชายหนุ่มรับประทานอาหารด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา และดูเหมือนเขาจะเจริญอาหารอย่างที่พูดจริงๆ เสียด้วย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ นพนทีก็อาสาไปส่งศศิกานต์ที่บ้าน ทว่าหญิงสาวปฏิเสธอย่างสุภาพ เนื่องด้วยแฟนหนุ่มของเธอได้อาสาทำหน้าที่นั้นตัดหน้าไปแล้ว ฉะนั้นนพนทีจึงทำได้แค่เพียงยืนเป็นเพื่อนเธออยู่ที่หน้าภัตตาคารเท่านั้น
รถยนต์คันหนึ่งแล่นฝ่าความมืดมาด้วยความเร็วสูง ก่อนที่ชายร่างยักษ์สามคนจะกรูกันลงมาหานพนทีและศศิกานต์ หนึ่งในนั้นดึงปืนออกมากจากเอวกางเกง ทันทีที่ชายหนุ่มขยับมายืนบังหญิงสาว นพนทีขบกรามแน่น แต่ก็ยอมชูมือขึ้นเหนือศีรษะตามที่พวกมันสั่ง
“พวกแกเป็นใครวะ ฉันไม่เคยมีศัตรูที่ไหนนะเว้ย!” เขาตะโกนถามอย่างไม่เข้าใจ วันๆ เอาแต่ทำงานอยู่ที่บริษัท แม้กระทั่งเวลาที่จะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเหมือนเคยก็ยังไม่มี แล้วเขาจะหาเวลาไหนไปสร้างศัตรูได้เล่า
แต่ถ้าจะมีก็คงเป็นแม่ผู้หญิงไฮโซแสนเย่อหยิ่งคนนั้น!
“ฉันไม่ได้มีหน้าที่มาตอบคำถามแก! ถอยไปซะไอ้หน้าหล่อ แล้วส่งผู้หญิงมาซะดีๆ” ชายร่างยักษ์คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“จะบ้าเหรอวะ! ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แกจะมายุ่งกับเธอทำไม!” นพนทีไม่ยอมถอยห่างศศิกานต์ ซึ่งตอนนี้กำลังร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว และกอดเอวเขาไว้แน่น
“ก็แกนั่นแหละที่ทำให้แฟนแกเดือดร้อน ถอยไป!”
“เฮ้ย! แฟนเฟินบ้าบออะไร ฉัน...ฉันเป็นเกย์เว้ย! แล้วก็ไม่มีแฟนด้วย” นพนทีไม่คิดเลยว่าตัวเองจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา แต่ในสถานการณ์คับขัน เขาเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน
“ฮือๆ อย่าทำอะไรฉันเลยนะคะ ขอร้องเถอะค่ะ!” ศศิกานต์ร้องไห้ปานจะขาดใจ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจวนจะสามสิบปีอยู่รอมร่อ เธอยังไม่เคยเฉียดใกล้เหตุการณ์น่าระทึกใจแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
“สงสารผู้หญิงเถอะพี่! แล้วจะเอาเงิน เอารถ หรือเอาอะไรก็เอาไป อย่าทำร้ายคนบริสุทธิ์เลย”
นพนทีพยายามถ่วงเวลา แต่ชายฉกรรจ์ที่ถือคำสั่งของนายจ้างเหนือสิ่งอื่นใด กลับไม่ยอมคล้อยตามเขา คนที่ถือปืนเล็งมาทางนพนทีหันไปพยักหน้าน้อยๆ ให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นมันก็จัดการปล่อยหมัดกระแทกเข้าเต็มใบหน้านพนทีทันที
พลั่ก!!
เมื่อเห็นร่างสูงเสียหลักเซล้มลงบนพื้น ชายอีกคนก็รีบฉุดกระชากลากถูศศิกานต์ให้ขึ้นไปบนรถโดยเร็ว นพนทีกับไอ้มืดที่กล้าต่อยเขากอดกันนัวเนียอยู่บนพื้น จนกระทั่งชายที่มีปืนอยู่ในมือร้องสั่งให้รีบขึ้นรถ มันก็เตะส่งเข้าที่ท้องของนพนทีอีกเต็มรัก ก่อนจะรีบเปิดประตูรถแล้วขับจากไป
เสียงรถอีกคันแล่นเข้ามาจอดแทบจะในทันที นพนทีคิดในใจว่าคราวนี้พวกมันคงลงมารุมซ้อมเขาจนน่วมไปทั้งตัว หรือไม่ก็คงลากเขาตามศศิกานต์ไปแน่ๆ ทว่าสิ่งที่คิดนั้นผิดคาดไปเยอะ เพราะผู้ชายที่วิ่งลงมาจากรถเบนซ์คันสวยนั้นเป็นพลเมืองดี
“ชะ...ช่วยเธอด้วย” นพนทีชี้มือไปทางที่รถคันนั้นพาตัวศศิกานต์ไป ทั้งที่ตัวเองกำลังนอนงอตัวเพราะทั้งเจ็บและจุก
“คุณลุกไหวมั้ยครับ!”
หนุ่มหล่อคนนั้นถาม ขณะเข้าช่วยประคองชายหนุ่มลุกขึ้น
“ผมยังไหวครับ ช่วยพาผมตามรถคันข้างหน้าไปหน่อยได้มั้ย”
“ไม่มีปัญหาครับ ผมต้องช่วยคุณแน่นอน” หนุ่มนิรนามพานพนทีขึ้นไปนั่งบนรถ ส่วนตัวเขาก็รีบทำหน้าที่สารถีตามรถกระบะคันสีดำไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! คุณเป็นพวกเดียวกันกับไอ้พวกนั้นใช่มั้ยเนี่ย!” นพนทีร้องถามเสียงดัง เมื่อบังเอิญเหลือบไปเห็นปืนที่วางอยู่หน้ารถ
“ผมเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ ไม่ใช่โจรครับ คุณอย่ากังวลไปเลย”
“แล้วผมจะเชื่อได้ยังไงว่าคุณไม่ได้พาผมไปฆ่า” นพนทียังไม่ยอมวางใจง่ายๆ หนุ่มนิรนามที่อ้างตัวว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ จึงเอื้อมมือไปหยิบบัตรประจำตัวข้าราชการที่วางอยู่หน้ารถส่งให้เขา
“ร้อยตำรวจเอกตรัย วิชาญชยานนท์...” นพนทีอ่านยศของเขาเสียงดัง ไม่ลืมพิจารณาดูรูปในบัตรประจำตัวข้าราชการกับตัวจริงสลับกัน จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก
“ผมไม่ใช่ผู้ร้ายหรอกน่าคุณ” ตรัยย้ำขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“โอเคหมวด ผมเชื่อคุณก็ได้ แล้วนี่พวกมันจะพาตัวเธอไปไหนกัน”
“เอ่อ ผมเป็นผู้กองครับ ไม่ใช่หมวด” ตรัยแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ แต่เขาก็พยายามอย่างถึงที่สุด
“ผมแค่ลองหยั่งเชิงคุณดูเฉยๆ หรอก เผื่อว่าคุณเป็นตัวปลอมไง” นพนทีนึกอยากแทรกแผ่นดินหนีให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ที่ทำได้ตอนนี้มีแค่ไหลไปตามน้ำเท่านั้น
“โอเคๆ จากนี้ไปผมขอให้คุณเงียบไว้ก่อนนะ ผมกำลังคิดหาทางชิงตัวประกันอยู่ เพราะดูจากสถานการณ์แล้วยังไม่ถึงขั้นต้องเรียกกำลังเสริม” ตรัยไม่อยากให้ความตื่นตระหนกของนพนที ทำลายสมาธิอันเฉียบแหลมของตัวเอง จึงขอร้องให้เขาพยายามทำตัวสงบเข้าไว้ ซึ่งโชคดีที่นพนทียอมทำตามคำขอร้องนั้นอย่างว่าง่าย
ระหว่างที่ผู้กองหนุ่มกำลังขับรถตามผู้ร้ายไปนั้น ปรากฏว่าจู่ๆ พวกมันก็เลี้ยวรถเข้าไปในซอยๆ หนึ่ง ซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน ไม่น่าจะเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพาตัวใครสักคนมากักขังไว้ หลังจากนั้นชายคนที่นั่งอยู่ท้ายกระบะก็กระโดดลงจากรถ รีบเปิดประตูออกเพื่อดึงตัวศศิกานต์ลงมา พวกมันชี้หน้าและขู่ให้เธอหวาดกลัวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบกลับขึ้นรถและขับจากไปอย่างรวดเร็ว เล่นเอาตรัยงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูกไปเลยทีเดียว
“เฮ้ย! พวกมันเล่นอะไรกันอยู่เนี่ย” ผู้กองหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะรีบขับรถไปจอดตรงบริเวณที่หญิงสาวร่างบางกำลังยืนร้องไห้อยู่
“คุณลงไปดูแลแฟนคุณก่อนเร็วเข้า ผมจะรีบตามพวกมันไป” ตรัยหันมาบอกกับนพนทีที่นั่งเงียบกริบ
“นี่พวกมันแค่พาวิวมาส่งบ้านงั้นเหรอเนี่ย...”
“อะไรนะ! แถวนี้เป็นบ้านของแฟนคุณเหรอ!”
“ครับ เดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าวก็เป็นบ้านเธอแล้ว”
“อ้าว แล้วทำไมคุณไม่บอกตั้งแต่ตอนที่ผมเลี้ยวรถเข้ามาในซอยเล่า”
“ก็ผู้กองบอกให้ผมนั่งเงียบไว้ ผมก็เงียบน่ะสิ” นพนทีไม่ได้คิดจะกวนประสาท ไม่ได้คิดจะยั่วให้ผู้กองหนุ่มอารมณ์เสีย แต่เขาเพียงแค่ต้องการยึดคำสั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักเท่านั้น
“โอเค! ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะ”
ตรัยประชดเสียงเขียว ก่อนจะรีบเปิดประตูรถเพื่อตรงเข้าไปหาศศิกานต์ที่กำลังเสียขวัญ นพนทีเดินตามมาติดๆ อีกคน เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขาเริ่มได้เค้าอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่อยากบอกตรัยในตอนนี้ หรือไม่ก็จนกว่าจะแน่ใจเสียก่อน
“เป็นยังไงบ้างครับคุณ! บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ตรัยถามอย่างห่วงใย แต่เมื่อเห็นศศิกานต์เอาแต่ก้มหน้าหนีและร้องไห้หนักขึ้น เขาจึงรีบชี้แจงว่าตนเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจครับ ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว”
“ตำรวจ! คุณตำรวจ!” ศศิกานต์เงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะโผเข้ากอดชายหนุ่มไว้แน่น
ผู้กองหนุ่มนิ่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง จำต้องยืนนิ่งให้เธอกอด และพยายามใช้คำพูดปลอบประโลมให้หายหวาดกลัว นพนทีถอนหายใจแรงๆ อย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าศศิกานต์ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน แต่ที่แน่ๆ เขาคงต้องสั่งให้เธอหยุดงานพักผ่อนอยู่ที่บ้านหลายวันหน่อย อย่างน้อยก็จนกว่าจะจัดการหาตัวคนผิดมาลงโทษได้
กว่าศศิกานต์จะมีสติมากพอที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างได้ เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปจนเกือบสามทุ่มครึ่ง ผู้กองหนุ่มจ้องมองเธอไม่วางตา เหตุก็เพราะศศิกานต์เป็นผู้หญิงที่ทั้งอ่อนหวานและน่ารัก เธอตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับเขา ผิวพรรณขาวเนียนละเอียดน่าสัมผัส ใบหน้าหรือก็ดูจิ้มลิ้มน่ารักเหมือนเด็ก ริมฝีปากชมพูระเรื่อที่รับกับจมูกเรียวเล็กนั้นดึงดูดเขาได้มากที่สุด ตรัยคิดว่าอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเธอดึงดูดเขาหมดทั้งตัวนั่นแหละ
“ผู้กอง...ผู้กองตรัยครับ” นพนทีเรียก
“ครับๆ ว่าไงนะครับ” ตรัยรีบถาม เมื่อดึงสติกลับมาสู่สถานการณ์อันเคร่งเครียดได้สำเร็จ
“ตกลงว่าผู้กองได้ฟังเรื่องที่วิวเล่ามั้ยครับเนี่ย”
“ฟังสิครับ ผมรู้แล้วว่าพวกนั้นแค่สั่งให้คุณวิวมาเตือนคุณนที เรื่องที่คุณไปก่อกวนผู้หญิงคนนึงไว้ แต่การขู่แบบนี้มันแย่จริงๆ เลยนะครับ คุณวิวไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสักนิด แต่ก็ต้องมาเดือดร้อนเพราะพวกมันคิดว่าพวกคุณเป็นแฟนกัน”
“ค่อยยังชั่ว ผมนึกว่าผู้กองเอาแต่มองวิวจนไม่ได้ฟังซะอีก”
“แล้วนี่คุณแน่ใจเหรอครับว่าจะไม่แจ้งความ” ตรัยเปลี่ยนเรื่องเอาง่ายๆ เพราะเห็นศศิกานต์กำลังทำหน้าไม่ถูก แม้ชายหนุ่มจะรู้แล้วว่าทั้งสองคนเป็นเพียงนายจ้างกับเลขานุการ แต่เรื่องที่ศศิกานต์มีคนรักอยู่แล้วก็ทำให้เขาเสียดายอย่างไม่มีเหตุผล
“ผมไม่อยากให้เรื่องมันลุกลามใหญ่โตน่ะครับ อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นผมก็รู้จักดีด้วย เอาไว้ผมจะจัดการเธอเอง” นพนทีโกหก เพราะเขายังไม่รู้จักชื่อของเธอเสียด้วยซ้ำไป
“จะทำอะไรก็ขอให้อยู่ในขอบเขตของกฎหมายด้วยล่ะกันครับคุณนที สำหรับคุณวิว...ผมจะแวะมาดูบ่อยๆ เผื่อว่าพวกนั้นมันจะย้อนกลับมาทำร้ายคุณอีก คืนนี้ผมจะให้ตำรวจมารักษาความปลอดภัยให้คุณนะครับ” ผู้กองหนุ่มย้ำกับนพนที ก่อนจะหันไปเอ่ยเสียงนุ่มกับหญิงสาว
“ขอบคุณมากนะคะผู้กอง” ศศิกานต์อ้อมแอ้มตอบ สายตากรุ้มกริ่มของผู้กองหนุ่มทำให้เธอแทบไม่กล้าสบตากับเขา
“ผมว่าเรากลับกันเถอะผู้กอง ผมคงต้องรบกวนให้คุณไปส่งผมที่ภัตตาคารด้วยนะครับ พอดีว่ารถของผมจอดอยู่ที่นั่น” นพนทีรีบตัดบท เพราะไม่อยากให้ตรัยจ้องมองเลขาคนสวยของเขามากไปกว่านี้
ศศิกานต์มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว มันคงไม่ใช่เรื่องดีนักหากความหล่อเหลาของตรัยจะทำให้เธอหวั่นไหว อดีตคาสโนว่าตัวพ่ออย่างนพนที รู้ถึงความคิดภายในจิตใจของผู้หญิงเก่งจนเกินใครเชียวล่ะ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วพบกันครับคุณวิว” ตรัยไม่สนใจตอบคำถามของนพนที แต่หันไปบอกลาหญิงสาวด้วยความสุภาพ หลังจากรอให้ศศิกานต์ปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว สองหนุ่มก็เดินกลับไปที่รถอย่างเร่งรีบ
ตรัยยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับบนริมฝีปากเสมอ ซึ่งนั่นทำให้นพนทีจำเป็นต้องเอ่ยปากย้ำเตือน ให้เขารู้ถึงสถานภาพของศศิกานต์อีกครั้ง
“วิวมีแฟนแล้วนะผู้กอง คุณแอบคิดอะไรอยู่ใช่มั้ย”
“เปล่านี่...”
“จริงๆ เหรอครับ”
“ก็จริงน่ะสิครับ”
“ผมเป็นผู้ชายเต็มร้อยนะ คิดว่าท่าทางของคุณจะพ้นสายตาผมไปได้เหรอผู้กอง”
“อันที่จริงมันก็ต้องมีบ้างแหละน่า คุณวิวสวยออกขนาดนั้น”
“นั่นไง ผมว่าแล้วเชียว...แล้วตำรวจไทยคิดแบบไหนก็แสดงออกแบบนั้นเหมือนคุณหมดมั้ยเนี่ย”
“คุณหมายความว่ายังไง?” ตรัยขมวดคิ้วชนกันอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คุณเล่นโจมตีวิวทั้งทางสายตาแล้วก็คำพูดเลยนี่ น่าจะเก็บอาการบ้างนะครับ” นพนทีพูดกลั้วหัวเราะ แต่ตรัยเบ้ปากอย่างไม่คิดจะใส่ใจ
“ผมมันคนตรงไปตรงมาครับ คิดแบบไหนก็แสดงออกแบบนั้น”
“ไม่เว้นแม้กระทั่งกับคนที่มีแฟนแล้วด้วยงั้นเหรอครับ”
“เฮ้อ คุณนี่พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจริงๆ”
“แต่ว่าคุณ...”
“ถ้าจะกรุณาก็ช่วยเงียบหน่อยนะครับ ผมต้องการสมาธิเวลาขับรถ” ตรัยรีบตัดบท
“โอเคผู้กอง อย่ามาขอให้ผมคุยด้วยก็แล้วกัน” นพนทีหัวเราะเสียงดัง เรียกรอยยิ้มขบขันกึ่งระอาของผู้กองหนุ่มได้เป็นอย่างดี
สุดท้ายก่อนที่จะจากกัน ตรัยก็ต้องขอร้องให้นพนทีพูดจริงๆ เพราะด้วยความรู้สึกถูกชะตาและพูดคุยกันได้อย่างถูกคอ ทำให้เขาอยากได้เบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของนพนทีไว้ แม้ว่านพนทีจะรู้สึกแบบเดียวกัน แต่ก็ยังไม่วายพูดจาเหน็บแนมผู้กองหนุ่มเกี่ยวกับศศิกานต์อยู่ดี
นี่ถ้าวันนี้เขาไม่ถูกชกจนปากเห่อบวม คงชวนตรัยดื่มฉลองสำหรับมิตรภาพใหม่ไปแล้ว...
