บท
ตั้งค่า

บทที่ ๒ ความบังเอิญ 1

นพนทีอารมณ์แจ่มใสขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้เห็นผลิตภัณฑ์ผ้าไหมที่ทางโรงงานเพิ่งส่งเข้ามาที่บริษัทวารีพิทักษ์ ชายหนุ่มรีบติดต่อไปหามิสเตอร์เดวิด ลูกค้ารายใหญ่จากสิงคโปร์ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าตอนนี้ผ้าไหมล็อตใหญ่ได้ผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่เพียงส่งตัวอย่างไปให้เจ้าตัวตรวจสอบเท่านั้น

“สวัสดีครับมิสเตอร์เดวิด ผมนพนทีจากบริษัทผ้าไหมไทยวารีพิทักษ์นะครับ”

“สวัสดีครับคุณนพนที แหม ผมไม่คิดเลยนะว่าคุณจะติดต่อมาได้รวดเร็วแบบนี้” เดวิดทักทายผู้ที่ติดต่อมาด้วยภาษาสากล

“ตอนนี้ผ้าไหมล็อตใหญ่ที่คุณต้องการนำไปบุเฟอร์นิเจอร์เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ทราบว่าคุณต้องการให้ทางเราส่งสินค้าตัวอย่างไปให้ตรวจสอบ หรือจะเข้ามาดูด้วยตัวเองดีครับ”

“อันที่จริงผมก็ได้เห็นสินค้าตัวอย่างก่อนสั่งซื้อผ้าไหมไปแล้วนะครับ คงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรอีก” เดวิดมั่นใจว่าคงไม่มีอะไรผิดพลาด เขาทำธุรกิจกับผู้คนมามากมาย แต่ยังไม่พบคนที่ซื่อสัตย์และเห็นคุณค่าของงานมากเท่ากับนพนทีเลยสักคน สิ่งนี้สังเกตได้จากการที่ชายหนุ่มเสนอให้เขาลองนำผ้าไหมไปใช้งานดูก่อน โดยไม่คิดจะเร่งรัดให้รีบเซ็นสัญญาผูกมัดเหมือนอย่างบริษัทอื่น

“อืม...แต่ผมคิดว่าคุณน่าจะตรวจสอบอีกสักครั้งนะครับ”

“ไม่เป็นไรๆ ผมเชื่อใจในผลิตภัณฑ์ของคุณ เอาเป็นว่าช่วยทำเรื่องส่งสินค้าไปที่สิงคโปร์ให้ผมได้เลยนะครับ ส่วนเรื่องสัญญาก็ให้คนนำมาที่คอนโดฯของผมได้เลย ผมคิดว่าคงต้องสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณไปอีกนานแน่นอน”

“คุณจะไม่ลองใช้ผลิตภัณฑ์ของเราดูก่อนเหรอครับ” นพนทียังไม่อยากใช้สัญญาผูกมัดลูกค้าจริงๆ

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเองก็คุ้นเคยกับผ้าไหมมานาน ผมดูออกว่าผลิตภัณฑ์ของคุณมันต่างจากคนอื่นยังไงบ้าง ผมมั่นใจว่าถ้าเลือกเซ็นสัญญากับคุณ เฟอร์นิเจอร์ของผมจะต้องเป็นที่นิยมมากแน่ๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงครับ เดี๋ยวผมจะนำสัญญาและตัวอย่างผ้าไหมที่เพิ่งทำเสร็จไปพบคุณที่คอนโดฯด้วยตัวเองเลย ขอบคุณมากนะครับที่ไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทวารีพิทักษ์” นพนทีตอบตกลง แต่ก็ยังไม่เลิกคิดที่จะนำผ้าไหมไปให้ลูกค้าตรวจสอบอีกครั้ง

“ยินดีครับ แล้วพบกัน” เดวิดตอบกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนที่จะเป็นฝ่ายวางสายไปก่อน ทิ้งให้นพนทียิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว เกี่ยวกับความสำเร็จในครั้งนี้

ชายหนุ่มรีบโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวดีกับมารดาเป็นอันดับแรก ซึ่งคำชื่นชมที่ได้รับนั้นทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มเพิ่มขึ้นอีก หลังจากนั้นนพนทีก็สั่งให้เลขานุการส่วนตัวจัดเตรียมเอกสารสัญญาให้พร้อม รวมทั้งตัวอย่างของผลิตภัณฑ์แต่ละลวดลายด้วย

ทันทีที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจ้านายหนุ่มสุดหล่อกับเลขาฯ สาวคนสวยก็รีบมุ่งหน้าที่ไปคอนโดมิเนียมอันหรูหราของมิสเตอร์เดวิดทันที

คุณธาดายิ้มอย่างภาคภูมิใจ เมื่อได้ยินข่าวดีจากภรรยา นพนทีแสดงให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนว่าคนที่เคยเอาแต่เมาหัวราน้ำอยู่ทุกวัน ก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนละคนได้ แน่นอนว่าสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่พองโตอย่างที่สุด

“เฮ้อ! คราวนี้ผมก็หมดห่วงเสียที” คุณธาดาเปรยกับคุณมณี แต่นางกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดของสามี

“ฉันยังไม่หมดห่วงหรอกค่ะคุณ เจ้านทีอายุสามสิบสองแล้วนะคะ แต่ก็ยังไม่ยอมคิดเรื่องแต่งงานเลย”

“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลหรอกน่า การเจรจาของผมในวันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นเลยล่ะ คุณวางใจเถอะ”

“นี่หมายความว่าฝ่ายโน้นตกลงยกลูกสาวให้เราแล้วเหรอคะ!” คุณมณียิ้มกว้าง

“ใช่ ลูกสาวบ้านโน้นค่อนข้างเอาแต่ใจ แล้วก็ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็เลยอยากให้รีบมีครอบครัวไปซะ เผื่อว่าจะช่วยให้เอาการเอางานมากขึ้นบ้าง”

“นี่คุณแน่ใจนะคะว่าเธอจะไม่ทำให้เราปวดหัวในอนาคต”

“ไม่หรอกน่า ถ้าผมคิดว่านทีเอาแม่หนูคนสวยไม่อยู่ ผมคงไม่เลือกเธอมาเป็นสะใภ้หรอก” คุณธาดายกมือขึ้นโอบไหล่ภรรยา

“ถ้าคุณเห็นว่าเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่ขัดข้องหรอกค่ะ ว่าแต่ถ้าทั้งสองคนจะรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่คะ”

“ผมตั้งใจจะบอกลูกคืนนี้เลย ส่วนทางโน้นก็คงไม่รอช้าเหมือนกัน”

“แล้วถ้าลูกไม่ยอมล่ะคะ ฉันเองก็ไม่กล้าบังคับจิตใจลูกด้วย” คุณมณีดูจะกังวลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนั่นทำให้คนเป็นสามีถึงกับส่ายหน้ายิ้มๆ

“ที่ผ่านมาเรายังไม่เคยขอร้องอะไรลูกเลยนะคุณ แม้แต่เรื่องที่ลูกเลิกดื่มเหล้าควงผู้หญิง เราปรามแทบตายก็ไม่เคยหยุด แต่พอจะหยุดก็กลับหยุดเสียเอง ตอนนี้นทีเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ถ้าเราให้เหตุผลดีๆ ลูกก็คงเข้าใจ”

“ถ้าที่คุณพูดมันง่ายก็ดีน่ะสิคะ ฉันล่ะกลัวใจลูกจริงๆ”

“แหม เลิกทำหน้าเครียดได้แล้วคุณ คนอย่างผมน่ะมีแผนสำรองเสมอ” คุณธาดายักคิ้วให้ภรรยา แน่นอนว่านางไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากหัวเราะน้อยๆ และเชื่อมั่นว่าสามีจะต้องจัดการกับเรื่องนี้ได้สำเร็จ

แม้ว่าการคลุมถุงชนจะไม่ใช่เรื่องน่านิยมนักในยุคสมัยนี้ แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่มันจะต้องเกิดขึ้นกับบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลวารีพิทักษ์ และอาจรวมถึงลูกสาวเพียงคนเดียวของอีกตระกูลหนึ่งด้วย

ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่รอการกลับมาของนพนทีเท่านั้น หากคุณธาดาจัดการเรื่องนี้ไม่ได้อย่างที่คุยไว้ เห็นทีคุณมณีคนนี้คงต้องเล่นบทคุณแม่แสนงอนขึ้นมาบ้างแล้ว...

เมื่อการเจรจาธุรกิจระหว่างนพนทีและมิสเตอร์เดวิดผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ชายหนุ่มจึงชวนเลขานุการสาวสวยที่ทำงานร่วมกันมาหลายปี ไปรับประทานอาหารเย็นที่ภัตตาคารหรูย่านสุขุมวิท ท่าทางที่ดูสนิทสนมทำให้หลายคนมองว่าทั้งคู่คือคนรักกัน แต่นพนทีกับศศิกานต์รู้ดีว่าสถานภาพระหว่างเขาและเธอ เป็นได้แค่เพียงเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น แม้ว่าจะเคยคบหากันมาแล้วพักหนึ่ง แต่เมื่อมีอันต้องเลิกรา พวกเขาก็ยังคงรักษามิตรภาพที่ดีเอาไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

บริกรเดินเข้ามาต้อนรับสองหนุ่มสาวด้วยความนอบน้อม นพนทีเป็นลูกค้าประจำของภัตตาคารแห่งนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไร หากเขาจะได้โต๊ะวีไอพีราคาแพงโดยไม่ต้องจองล่วงหน้า

ชายหนุ่มให้ศศิกานต์เป็นฝ่ายสั่งอาหาร เพราะเขาเป็นคนทานง่าย ที่สำคัญหญิงสาวก็รู้ดีด้วยว่านพนทีชอบรับประทานอะไรเป็นพิเศษ

“วันนี้ทานให้เต็มที่เลยนะวิว ผมเลี้ยงไม่อั้นเลย” นพนทีเอ่ยพร้อมกับยิ้มกว้าง หลังจากบริกรหนุ่มเดินจากไปแล้ว

“แหม ถึงคุณนทีจะเลี้ยงไม่อั้น แต่วิวก็คงไม่กล้าทานเยอะหรอกค่ะ”

“กลัวอ้วนอีกแล้วสินะ พวกผู้หญิงนี่เข้มงวดชะมัดเลย ว่าแต่ทำไมต้องเรียกผมว่าคุณด้วย ตอนนี้เลิกงานแล้วนะ” นพนทีเตือน ด้วยไม่อยากให้ศศิกานต์ทำตัวเหมือนนายจ้างกับลูกจ้างในเวลาแบบนี้

“ขอโทษทีค่ะ แต่วิวชินปากแบบนี้มากกว่านี่นา”

“ผมไม่เชื่อหรอก ทีเมื่อก่อนคุณไม่เห็นจะเรียกผมแบบนี้เลย”

“นั่นมันเมื่อก่อนนี่นที ตอนนี้มันปัจจุบันนะ”

“เห็นมั้ย...เมื่อกี้คุณเรียกผมว่านทีเฉยๆ แล้ว”

การจับพิรุธของนพนทีทำให้ศศิกานต์หัวเราะร่วน สุดท้ายเธอก็ต้องยอมแพ้ และพูดคุยกันอย่างสนิทสนมตามที่เขาย้ำมาตลอด

ปุษยาก้าวเข้ามาในภัตตาคารพร้อมกับกวิตา ตอนแรกเธออุตส่าห์ยอมออกมารับประทานมื้อค่ำนอกบ้านกับเพื่อนสาว และพยายามลืมเหตุการณ์น่าอายที่เกิดขึ้นกลางถนนเมื่อตอนเช้า แต่เมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับหนุ่มหล่อที่กล้าขโมยจูบเธอ อารมณ์ฉุนเฉียวก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

“ฉันไม่อยากกินที่นี่แล้ว เปลี่ยนร้านกันเถอะ”

“อ้าว ทำไมล่ะปาย ไหนตอนแรกเธอบอกว่าอยากมาทานอาหารที่นี่ไง” กวิตาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก จริงอยู่ที่ปุษยาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองและอารมณ์ร้าย แต่น้อยครั้งนักที่เธอจะเปลี่ยนใจอะไรกะทันหันอย่างนี้

“ตกลงว่าเธอจะกินที่นี่ใช่มั้ย ถ้าใช่ก็เชิญ ฉันจะกลับบ้าน” ปุษยาหน้าบึ้ง เธอไม่อยากให้นพนทีเหลือบมาเห็นเข้า แต่กวิตาก็เอาแต่บ่นอุบ ไม่ยอมหลีกทางให้เธอเดินออกไปเสียที

ขณะที่สองสาวกำลังยืนตกลงกันอยู่ นพนทีก็บังเอิญมองเห็นร่างสูงระหงของปุษยาเข้าพอดี เท่าที่สังเกตดูแล้ว ชายหนุ่มพอมองออกว่าปุษยาลอบมองมาที่เขาด้วยแววตาเกลียดชังอยู่บ่อยๆ ท่าทางเธอดูรีบร้อนจนชายหนุ่มนึกหมั้นไส้

‘คิดว่าเกลียดขี้หน้าฉันเป็นคนเดียวรึไง ฉันก็เกลียดเธอเหมือนกันแหละยัยไฮโซเอ๊ย’

นพนทีเบ้ปากและนึกค่อนขอดอยู่ในใจ ยิ่งเห็นปุษยาวางท่าหยิ่งยโส เขาก็ยิ่งอยากทำให้เธออับอาย ดูท่าว่าการกระทำของชายหนุ่มจะไวพอๆ กับความคิด เพราะเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เขาก็หยุดยืนอยู่ข้างหลังเธอเรียบร้อยแล้ว

“ปาย...ข้างหลังเธอน่ะ” ปุษยาทำตาโตเมื่อเพื่อนกระซิบบอก เธอกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากเย็น ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคนข้างหลังด้วยความมั่นใจเต็มร้อย

และคนๆ นั้นก็เป็นนพนทีจริงๆ ตอนนี้ใบหน้าของเขายิ้มแย้ม แน่นอนว่ารอยยิ้มพวกนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกเยาะเย้ย ปุษยาเบ้ปากและมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ทว่าก่อนที่เธอจะได้เอ่ยวาจาดูถูกถากถางออกมา เขากลับขัดขึ้นก่อนอย่างรู้ทัน

“เจอกันอีกแล้วนะคนสวย จูบเมื่อเช้าทำเอาผมติดใจสุดๆ ไปเลยรู้มั้ย” กวิตาที่ยืนอยู่ข้างหลังปุษยาเบิกตากว้าง จ้องมองนพนทีราวกับเห็นเขาเป็นตัวประหลาด

“นะ...นาย!”

ปุษยาคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำให้เธออับอายได้รวดเร็วแบบนี้ คำพูดของนพนทีนั้นเสียงดังฟังชัดเหลือเกิน ตอนนี้สายตาหลายคู่กำลังจ้องมองมาที่เธอ และมีผู้ชายอีกหลายคนเหมือนกันที่มองเธอด้วยสายตาจาบจ้วง ราวกับเห็นเธอเป็นผู้หญิงใจง่าย

“ไอ้บ้า! ไอ้...”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel