บทที่ ๑๑ วิวาห์จำเป็น 1
หนึ่งเดือนผ่านไป...
หลังจากวันเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเกือบเดือน พิธีวิวาห์ที่ทุกฝ่ายต่างรอคอยก็ถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต แขกเหรื่อมากหน้าหลายตาต่างก็มาร่วมเป็นสักขีพยาน และอวยพรให้คู่บ่าวสาวด้วยความปิติยินดี
นพนทียืนอยู่หน้าซุ้มประตูทางเข้ากับปุษยา สองหนุ่มสาวยิ้มแย้มแจ่มใสตามที่ควรแสดงออก ทั้งที่ความจริงแล้วปุษยาต้องการให้งานจบลงเร็วๆ ใจแทบขาด เพื่อที่จะได้พักผ่อนเสียที คนเป็นเจ้าบ่าวเองก็คิดเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาไม่ได้คิดจะหยุดที่การพักผ่อนเหมือนกับเธอ
นพนทีคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต หากไม่ได้แตะต้องเจ้าสาวแสนสวยในคืนเข้าหอ...
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิ คุณภรรยา” นพนทีเอียงตัวไปกระซิบที่ข้างหู “อย่าหลุดบทพญาหงส์สิ”
“ฉันยิ้มมาตั้งแต่เช้าแล้วนะคุณ มันต้องมีเหนื่อยมีเมื่อยกันบ้างสิ” ปุษยาเถียง แต่ก็ยอมยิ้มตามที่อีกฝ่ายทักท้วงมา นั่นไม่ใช่เพราะเกรงกลัวเขา แต่เป็นเพราะเธอไม่อยากให้คุณปิยะกับคุณวิมลต้องอับอายต่างหาก
“เอาน่า...อีกหน่อยก็จะได้ผ่อนคลายแล้ว”
ชายหนุ่มพูดจากำกวม และหญิงสาวเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทันสังเกต
รอยยิ้มของนพนทีคลายลงเล็กน้อย เมื่อเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญกำลังเดินตรงเข้ามา มือหนาตวัดขึ้นโอบรอบเอวบางโดยอัตโนมัติ ปุษยาหันมามองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ พยายามแกะมือที่ยึดเอวแน่นให้หลุดออก แต่นพนทีก็ดื้อด้านไม่ยอมง่ายๆ อยู่แล้ว ฉะนั้นเธอจึงทำได้แค่ยิ้มต่อไป
“แหม สละโสดแล้วเหรอเนี่ย ฉันคิดไม่ถึงเลยนะว่านายจะมีวันนี้” ปัฐฐาทักทายอย่างเหน็บแนม ก่อนหันมองเจ้าสาวที่แสนสง่างามด้วยสายตาแทะโลมแจ่มแจ้ง ซึ่งมีเพียงผู้ชายด้วยกันเท่านั้นที่จะพอมองออก
“ขอบคุณนะ...” นพนทีคว้ามือปัฐฐามาบีบแน่น แล้วโน้มตัวไปกระซิบเบาๆ ไม่ให้คนอื่นได้ยิน “ที่มาร่วมงานโดยที่ฉันไม่ได้เชิญ แล้วถ้านายไม่อยากเจ็บตัวล่ะก็...เลิกใช้สายตาแบบนั้นมองเมียฉันได้แล้ว”
นพนทีไม่ได้หึงหวงปุษยา นั่นคือความจริงอย่างที่สุด แต่ที่เขาต้องบอกแบบนี้กับปัฐฐา เพราะมันเป็นหน้าที่ที่สามีควรทำ เพื่อปกป้องคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา
“นายกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยสินะ ถึงได้รีบแต่งงานสายฟ้าแลบแบบนี้” ปัฐฐายังหาเรื่องต่อไป
“คนอย่างฉันไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น เพราะของบางอย่างถ้ามันเป็นของๆ ฉัน...หมาไหนก็คาบไปกินไม่ได้อยู่แล้ว”
“นายคงไม่รู้อะไรสินะ หึหึ” ปัฐฐาหัวเราะ ขณะเหลือบสายตามองปุษยาที่กำลังยืนทำหน้าสงสัยอยู่ข้างนพนที “ฉันมีความสามารถพิเศษในการทำให้ของๆ คนอื่นกลายมาเป็นของตัวเองเสมอ ยิ่งเป็นเมียนาย...มันก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะถ้าคุณปายไม่มีอะไรเด็ดจริงๆ คนอย่างนายคงไม่ยอมสละโลดง่ายๆ หรอก”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงชกหน้านายไปแล้ว ขอโทษด้วยที่ตอนนี้ฉันไม่ใช่คนเดิม แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณนะที่พยายามยั่วโมโหฉัน เพราะมันทำให้รู้จักคำว่าน่าสมเพชมากขึ้น” นพนทีสวนอย่างเจ็บแสบ ก่อนจะยืนตัวตรงอีกครั้ง ไม่ลืมส่งรอยยิ้มหยันให้ปัฐฐาด้วยเป็นครั้งสุดท้าย
“วันนี้คุณสวยมากเลยนะครับคุณปาย ยังไง...ผมก็ขอให้คุณมีชีวิตคู่ที่ดีนะครับ เมื่อเช้าผมไม่ได้ไปร่วมงานหมั้น ผมต้องขอโทษจริงๆ ...” ปัฐฐาเสียหน้าจากนพนที จึงหันมาสนใจปุษยาแทน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่คุณปัฐมาร่วมงานในคืนนี้ปายก็ดีใจแล้ว” ปุษยาโกหก เพราะความจริงเธอไม่ได้อยากให้งานนี้เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ “เชิญเข้าไปทานอาหารในงานเลี้ยงได้เลยนะคะ อีกหน่อยพิธีก็จะเริ่มแล้วล่ะค่ะ”
“อ๋อ คงไม่หรอกครับ พอดีผมมีธุระนิดหน่อย คงต้องขอตัวก่อน หวังว่าคุณปายคงจะไม่โกรธนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ ยังไงก็ขอบคุณที่อุตส่าห์แวะมานะคะ”
“ถ้ามีธุระก็รีบไปสิ ฉันไม่อยากให้นายเสียงาน ขอบใจล่ะกันที่มา” นพนทีแทรกขึ้น เพราะอดหมั่นไส้ไม่ได้ที่เห็นคนที่เกลียดแสนเกลียด ยืนมองผู้หญิงที่กำลังจะเป็นของเขาตาหวานเยิ้ม
ปัฐฐายิ้มบาง จ้องหน้านพนทีด้วยความไม่พอใจ ทว่าเก็บอาการได้สมกับเป็นมืออาชีพ เขาค้อมศีรษะให้ปุษยาเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
‘ปากดีไปเถอะไอ้นที สักวันฉันจะทำให้แกคลานมากราบเท้าฉันให้ได้’ ปัฐฐาคิดอย่างแค้นเคือง ขบกรามแน่นจนเห็นสันกรามเด่นชัดขึ้นถนัดตา สำหรับปัฐฐาแล้ว นพนทีคือคนที่เขาเกลียดมากที่สุด
เหตุผลก็เพราะในวงการเพลย์บอยนั้น ไม่เคยมีใครเกินหน้าเกินตาเขา ซึ่งเรียนจบปริญญาโทมาจากมหาวิทยาลัยดังในอังกฤษ มีชาติตระกูลที่ดีกว่า ทรัพย์สินเงินทองก็มากมายจนใช้ทั้งชาติก็ไม่มีทางหมด มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่เคยได้รับเลยก็คือความรักจากผู้หญิงคนหนึ่ง...
เธอคนนั้นรักนพนทีมาก ทั้งที่เขามีดีกว่าทุกอย่าง ถึงแม้ปัฐฐาจะได้เธอมาครอบครอง แต่ความจริงที่ว่าเธอคือผู้หญิงมือสองที่เขาได้รับต่อจากนพนที มันสร้างเจ็บปวดจนสุดจะทนรับไหว แต่แทนที่ปัฐฐาจะเขี่ยเธอทิ้งไปหลังจากแย่งชิงเธอมาจากนพนทีได้สำเร็จ ทว่าด้วยความที่ยังรักหมดหัวใจ ทำให้เขาไม่เคยคิดจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระ
ทุกวันนี้ปัฐฐายังคงแวะเวียนไปหาเธอบ้างเป็นครั้งคราว เขาเก็บเธอไว้ไม่เคยเชิดชูในฐานะภรรยาหรือฐานะใดๆ ทั้งสิ้น ในขณะที่เธอเองก็ไม่เคยคิดจะเรียกร้องหาอิสรภาพเลยด้วยซ้ำ จะด้วยเหตุผลอะไรนั้นมีเพียงเขาและเธอเท่านั้นที่รู้ซึ้งเป็นอย่างดี
ปัฐฐาอาจจะได้ผู้หญิงที่รักมาเป็นของตัวเองสมดั่งความปรารถนา แต่เขากลับไม่เคยมีความสุขเลย เพราะหัวใจของเธอยังคงมีแต่นพนทีเสมอ และนี่ก็คือเหตุผลที่เขาพยายามแย่งผู้หญิงทุกคนของนพนที ในเมื่อเขาไม่มีความสุข นพนทีก็ไม่ควรมีมันด้วยเช่นกัน
หลังจากยืนต้อนรับแขกที่มาร่วมงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวพร้อมทั้งผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็ถูกเชิญขึ้นไปกล่าวอวยพรบนเวที เสียงเฮฮาบวกกับเสียงปรบมือทำให้ปุษยาเวียนหัว แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากงานวิวาห์ในคืนนี้เกิดกับคนที่เธอรัก และพร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมด้วย มันก็คงจะสมบูรณ์แบบและทำให้เธอสุขใจได้มากกว่านี้
ก่อนหน้านี้นพนทีได้แนะนำให้เธอรู้จักกับผู้กองตรัย ศศิกานต์ รวมทั้งน้องสาวฝาแฝดทั้งสองคนอย่างอลงกตและไอลดา ลูกๆ ของพวกเธอทำให้ปุษยายิ้มอย่างเต็มใจเป็นครั้งแรก
เด็กๆ น่ารักมาก และสามารถเข้ากับปุษยาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งยังมีคุณพ่อที่แสนดีอย่างธีร์ธยาน์และภพตะวันคอยดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา นั่นทำให้เธออดมองคนข้างกายแบบตำหนิไม่ได้ เพราะคนอย่างนพนทีคงไม่เหมาะที่จะเป็นพ่อใครทั้งนั้น
‘ให้ตายเถอะ! นี่เราคิดบ้าอะไรของเราเนี่ย แค่เห็นเด็กๆ ก็ชักจะเพ้อเจ้อแล้ว แย่จริง!’ ปุษยาใบหน้าร้อนผ่าว ขณะต่อว่าตัวเองที่เผลอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เสียงพิธีกรที่ประกาศว่าถึงเวลาของเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว ดึงให้ปุษยากลับมาจดจ่ออยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง นพนทีเป็นคนแรกที่ต้องทำหน้าที่กล่าวถึงความรู้สึกสำหรับพิธีวิวาห์ในค่ำคืนนี้ มือของเขากำไมโครโฟนแน่น ปุษยาดูออกว่ามันคือการกดดัน ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก
การแต่งงานเพราะความจำเป็น มันทั้งกดดันและอึดอัดอย่างที่สุด...
“เอ่อ ก่อนอื่น...ผมต้องขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านมากเลยนะครับ ที่สละเวลามาร่วมงานแต่งงานของผมกับคุณปาย”
นพนทีดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “สำหรับผมแล้ว ค่ำคืนนี้คือคืนที่วิเศษที่สุดในชีวิตของผม เพราะผมกำลังจะได้ทำหน้าที่ปกป้องดูแลผู้หญิงที่ผม...ผู้หญิงที่ผมเลือกมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างถูกต้องตามประเพณี” การโกหกในครั้งนี้เล่นเอานพนทีเหงื่อแตก แต่ก็ยังทำหน้าที่เจ้าบ่าวที่ดีต่อไป
“ผมขอสัญญานะครับว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตคู่ของผมและคุณปายมีความสุขที่สุด ผมจะไม่ละเลยการทำหน้าที่สามีแม้แต่วินาทีเดียว ขอให้แขกผู้มีเกียรติทุกๆ ท่าน ช่วยเป็นพยานในคำพูดของผมด้วยนะครับ” ชายหนุ่มยิ้ม และโค้งน้อยๆ เพื่อตอบรับเสียงปรบมือที่ดังสนั่น หลังจากนั้นก็ยื่นไมโครโฟนส่งให้เจ้าสาวทันที
“ปาย...คือปายต้องขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านมากเลยนะคะ วันนี้ปายรู้สึกอบอุ่นมากจริงๆ และสิ่งที่ปายอยากจะพูดมากที่สุดก็คือ...คุณพ่อคุณแม่คะ ปายได้ทำหน้าที่ของปายอย่างดีที่สุดแล้ว หวังว่าคุณพ่อคุณแม่คงมีความสุข...เหมือนกับปายนะคะ”
ปุษยาน้ำตาคลอด้วยความเจ็บปวด คุณปิยะกับวิมลก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ฝืนใจลูกสาว แต่การที่นพนทีสามารถทำให้เธอกลับมาเป็นคนเดิมได้ มันทำให้ท่านทั้งสองมั่นใจว่าได้เลือกทางที่ดีที่สุดให้กับปุษยาแล้ว
ปุษยายิ้มทั้งน้ำตา ขณะที่นพนทีลอบยิ้มอย่างสะใจที่อย่างน้อยก็ควบคุมหญิงสาวได้บ้าง พิธีกรรับไมโครโฟนคืนไป แล้วทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความเชี่ยวชาญ เสียงปรบมือที่ดังสนั่นนั้นยังคงก้องอยู่ในความทรงจำของปุษยา แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากจดจำเลยสักนิด
แค่ตอนนี้เท่านั้นที่เธอจะยอมทำตัวว่าง่าย...หลังจากนี้ไปนพนทีจะได้เจอกับตัวตนจริงๆ ของเธอเสียที
งานเลี้ยงในคืนนี้ยังคงดำเนินต่อไปตามแบบของมัน จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าหอ ทุกคนถึงเริ่มแยกย้ายกันกลับ จะมีก็เพียงแค่ผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยเท่านั้นที่ขับรถตามไปส่งตัวหนุ่มสาวที่เรือนหอด้วย
เรือนหอของนพนทีกับปุษยาก็คือบ้านวารีพิทักษ์ ชายหนุ่มไม่คิดจะแยกตัวไปอยู่ที่อื่น เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวที่ต้องรับหน้าที่ดูแลพ่อแม่ และงานทุกอย่างในบริษัท ถ้าหากเขาย้ายออกไปอยู่ที่อื่นจริงๆ คุณธาดากับคุณมณีก็คงเหงาน่าดู ในเมื่อเหลือกันอยู่แค่สองสามีภรรยาเท่านั้น
หลังจากเข้าไปในห้องหอเรียบร้อยแล้ว ทางผู้ใหญ่ก็เป็นจัดแจงพิธีการต่างๆ ทันที ด้วยเห็นว่าเวลาในตอนนี้ดึกมากแล้ว คู่บ่าวสาวคงต้องการพักผ่อนและใช้เวลาด้วยกันตามลำพัง ซึ่งกว่าจะทยอยกันเข้ามาอวยพรในห้องครบทุกคน นพนทีกับปุษยาก็แทบจะหลับไปบนเตียงเสียเลย
หลังจากประตูห้องปิดสนิทลงแล้ว ปุษยาเป็นคนแรกที่รีบลุกจากเตียงนอน ตอนนี้เธอรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าตอนไหนๆ เพราะสายตาของผู้ชายที่กำลังคลายเนคไทอยู่บนเตียงช่างน่ากลัวเหลือเกิน นพนทีจ้องมองราวกับเห็นเธอเป็นอาหารอันโอชะเสียอย่างนั้น
“จะไปไหน?” นพนทีรีบลงจากเตียงมาขวางหน้าหญิงสาวเอาไว้ “รีบร้อนเกินไปแล้วที่รัก”
“นี่! อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะ” ปุษยาไม่จำเป็นต้องวางท่าอีกต่อไป
“พูดกับสามีดีๆ หน่อยสิครับ”
ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนยกนิ้วชี้ขึ้นไล้ไปบนแก้มนวลเบาๆ
“อย่ามาถูกเนื้อต้องตัวฉันนะ!” ปุษยาปัดมือเขาออกห่าง “ถอยไป ฉันจะไปอาบน้ำ”
“เอาไว้ทำอะไรๆ เสร็จก่อน...แล้วค่อยอาบด้วยกันไม่ดีกว่าเหรอ” คนตัวสูงยังใช้ร่างกายอันได้เปรียบกักกั้นเธอเอาไว้
“คุณจะไม่กวนประสาทฉันสักวันได้มั้ยคุณนพนที วันนี้ฉันเหนื่อย คุณเองก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน...ทำไมเราไม่รีบอาบน้ำแล้วแยกย้ายกันเข้านอนล่ะ” ปุษยาเห็นว่าปากดีไปก็มีแต่จะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ ฉะนั้นเธอจึงยอมเจรจากับเขาดีๆ ดูสักครั้ง
“เข้าใจพูดนะ” นพนทียักไหล่ ก่อนจะอาศัยจังหวะที่หญิงสาวเผลอ รวบตัวเธอเข้ามากอดแนบชิด “แต่ผมไม่เห็นด้วย จนกว่าจะได้จัดการลูกกวางน้อยตัวนี้ซะก่อน”
“นี่คุณจะบ้าเหรอ! ปล่อยฉันนะ!” ปุษยาตาโตด้วยความตกใจ พยายามดิ้นรนให้ตัวเองเป็นอิสระ
“ปล่อยให้โง่น่ะสิ”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับฉันแบบนี้นะ! ปล่อยสิ...ปล่อย!” หญิงสาวกรีดร้องเสียงดังมากขึ้น เมื่อร่างกำยำพยายามดันตัวเธอให้ถอยหลังเข้าไปใกล้เตียงมากขึ้นทุกที
“อย่าโวยวายไปหน่อยเลย ตอนที่ตัดสินใจแต่งงานกับผม คุณน่าจะนึกถึงคืนนี้เอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ฉันแต่งงานกับคุณเพื่อทำตามข้อตกลง มันไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องเป็นเมียคุณจริงๆ ซะหน่อย!”
“ถ้างั้นนี่ก็คือหนึ่งในข้อตกลง เพราะผมบอกไปแล้วว่าคงสัญญาว่าจะไม่แตะต้องคุณไม่ได้ คุณต้องหาทางเอาตัวรอดเอง แต่ในเมื่อรู้ดีว่าหนีไม่พ้น คุณก็ควรทำตัวให้มันน่ารักหน่อย...จะได้ไม่เจ็บตัวมากนัก”
“ไม่นะ! ปล่อยฉัน”
“ผมไม่โง่หรอก คราวนี้ผมจะไม่ยอมพลาดแน่”
นพนทีดันร่างบางให้นอนแผ่อยู่บนเตียง ตวัดขาแข็งแรงขึ้นคร่อมทับเธอเอาไว้ พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างตรึงข้อมือเล็กที่แสนร้ายกาจนั้นไว้ข้างศีรษะ
“ค่ำคืนนี้สำหรับสิ่งที่คุณทำกับผม ความเจ็บปวดที่คุณยัดเยียดให้ผม คุณต้องเจอแบบเดียวกัน!” พูดจบชายหนุ่มก็ก้มหน้าลงซุกไซร้ที่ซอกคอขาวผ่องทันที ไม่ว่าปุษยาจะดิ้นรนขัดขืนอย่างเต็มกำลัง มือที่แข็งราวคีมเหล็กนั้นก็ยังพันธนาการเธอไว้อย่างหนาแน่น
“ไม่นะ! ปล่อยฉัน...อย่าทำแบบนี้สิ!”
ร่างบางดิ้นทุรนทุรายราวกับถูกไฟร้อนลามเลียไปทั่วร่าง
นพนทีขยับตัวขึ้นปิดปากเธอด้วยริมฝีปากอบอุ่น เขาจูบปุษยาอย่างลึกซึ้งและเนิ่นนานจนเธอแทบขาดใจ เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กที่นอนอยู่ใต้ร่างหมดเรี่ยวแรงขัดขืน เขาก็ปล่อยมือเธอ แล้วเลื่อนมันลงไปด้านใต้แผ่นหลังบอบบางเพื่อปลดซิบชุดแต่งงานออก
เสียงสะอื้นของปุษยาทำให้นพนทีชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะล้มเลิกความต้องการของตัวเอง มือใหญ่จัดการดึงชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ออกพ้นทางแล้ว ตอนนี้บนร่างอรชรมีเพียงบราเซียตัวเล็กกับกางเกงชั้นในเท่านั้น ซึ่งเขาได้ถอดมันออกจนหมดในเวลาต่อมา
นพนทีบดจูบอย่างอ้อยอิ่งอีกครั้ง ไม่ลืมจัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกด้วยความชำนาญ อกกว้างที่เปลือยเปล่าบดเบียดอยู่กับทรวงอกนุ่มหยุ่น เช่นเดียวกับที่ความเป็นชายกำลังผงาดขึ้นตามแรงอารมณ์ ริมฝีปากที่ร้อนระอุโลมเลียไปบนผิวเนื้อเนียนของหญิงสาว แม้ร่างกายจะสั่นสะท้านตามธรรมชาติ ทว่าจิตใจนั้นยังคงต่อต้านเต็มกำลัง
“อย่านะ...ฉันขอร้องล่ะ ฮือๆ ๆ ...ไม่นะ...ฮึก...ไม่เอา...อย่า”
เสียงคร่ำครวญของปุษยาขาดหายไป ทันทีที่ริมฝีปากอุ่นเลื่อนต่ำลงครอบครองทรวงสีหวาน ปลายลิ้นชื้นตวัดไล้เลียเม็ดบัวงามจนคัดแข็งขึ้น ดูดดึงขบเข้มเบาๆ อย่างกระตุ้นให้อีกฝ่ายแพ้ราบคาบ นิ้วมือเรียวยาวตามแบบผู้ชายสร้างความหฤหรรษ์ให้คนตัวเล็ก ด้วยการคลึงเบาๆ ที่เนินสวยกลางลำตัว
“อย่า...” ปุษยาเกร็งไปทั่งตัว หอบหายใจแรง เรียวขาบดเบียดแนบชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกล่วงล้ำไปมากกว่าที่เป็นอยู่
ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่สนใจการทัดทานนั้น รีบเลื่อนตัวลงประทับจูบตรงหน้าท้องเนียน สองมือผลักดันเรียวขาสมส่วนออก ละเลงลิ้นลงจุดหวามไหวรัวเร็ว เรียกเสียงครางกระเส่าสั่นพร่าให้หลุดลอดออกจากลำคอ
คนถูกรังแกฝืนปฏิกิริยาทางร่างกายสุดกำลัง ยกเท้าเรียวเล็กยันเข้าที่ไหล่กว้างเต็มแรง ก่อนจะรีบพลิกตัวหนีจนสำเร็จ แม้ต้องการถอยห่างออกไปให้ไกลแสนไกล แต่มือใหญ่กลับคว้าข้อเท้าเอาไว้ ออกแรงดึงเบาๆ ให้ถลากลับเข้าไปใกล้
“คุณหนีไม่พ้นหรอก” นพนทีใช้แขนค้ำยันบนเตียงนอนเพื่อรองรับน้ำหนักตัวเองเอาไว้ ร่างกายสูงใหญ่คร่อมทับร่างบอบที่นอนคว่ำหน้าแนบกับเตียง ก้มลงกระซิบที่ใบหูเล็กเบาๆ ก่อนเลื่อนตัวลงพรมจูบไปตามไหล่กลมกลึง แผ่นหลังบอบบางเปลือยเปล่า ฝ่ามือร้อนราวเหล็กลนไต่ไปตามแนวกระดูกสันหลัง ต่ำลงเคล้าคลึงสะโพกอวบอัดเต็มไม้เต็มมือ
ความรู้สึกที่ทั้งหฤหรรษ์และอึดอัดจนร่างกายแทบระเบิดเป็นเสี่ยง ผลักดันให้ปุษยาพลิกตัวนอนหงาย สองมือเล็กยกขึ้นเกาะกุมลำคอหนาไว้ ทว่าแรงที่จะบีบเค้นกลับน้อยนิดจนอีกฝ่ายกระตุกยิ้ม ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็มีการรอคอยซ่อนเอาไว้ด้วยเช่นกัน
“คุณหยุดผมไม่ได้แน่คนสวย”
