บทที่ ๑๐ ชัยชนะครึ่งแรก 1
กว่าจะรู้ตัวว่าประตูถูกล็อกจากทางด้านนอก เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสามสี่แล้ว คนที่ตั้งใจจะหนีออกจากบ้านยามวิกาลกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าจะมีใครล่วงรู้แผนการของเธอเข้า นั่นเป็นเพราะทุกคนคงรู้เรื่องกันหมดแล้ว ถึงได้ขังเธอเอาไว้แบบนี้
ปังๆ ๆ ๆ !!
“เปิดประตูนะ! ใครกล้าดีมาขังฉันเอาไว้อย่างนี้หา!” ปุษยาร้องตะโกนและทุบประตูอยู่นานเกือบชั่วโมงแล้ว ทว่ายังไม่เห็นว่าจะมีใครสักคนให้ความสนใจกับเธอเลย
“ปล่อยปายนะคุณพ่อคุณแม่! ปายจะกลับอเมริกา!”
เสียงกุกกักที่ดังอยู่หน้าประตูทำให้ปุษยาถอยออกห่าง รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าลวกๆ แล้วหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมาถือไว้ในมือมั่น เธอจะไม่ยอมให้อะไรมาขัดขวางเธอได้เป็นอันขาด
“เลิกบ้าได้แล้ว!” คุณปิยะตวาดลั่น เมื่อก้าวเข้ามายืนในห้อง ส่วนคุณวิมลนั้นยืนอยู่ข้างหลังกับสาวใช้อีกสองคน
“ปายจะไปอเมริกาค่ะ! คุณพ่อหลีกทางด้วย ไม่ว่ายังไงปายก็จะไป!” ปุษยาพยายามจะเดินเบียดบิดาออกจากห้องไป แต่กลับถูกดันกลับเข้ามาในห้องอย่างแรงจนเกือบเซล้ม
“คุณพ่อ!”
“ใช่! ฉันคือพ่อของแก...แต่ในเมื่อยังเรียกฉันว่าพ่อ แกก็ต้องรู้จักหน้าที่ของลูกด้วย!” คุณปิยะตวาดด้วยความโกรธ และไม่ได้โทษใครเลยนอกจากตัวเอง เขาผิดเองที่ตามใจลูกคนเสียคน
“คุณพ่อเลิกบังคับปายสักที! ชีวิตเป็นของปายนะคะ!”
“ฉันปล่อยให้แกมีชีวิตเป็นของตัวเองมากเกินไปแล้วปุษยา จากนี้ไปชีวิตแกจะต้องเป็นของฉันบ้าง”
“คุณพ่อพูดกับปายแบบนี้ได้ยังไง! คุณแม่!...คุณแม่เห็นมั้ยคะว่าคุณพ่อทำเกินไปแล้ว” ปุษยาหาแนวร่วม แต่มารดาไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร นอกจากยืนมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังช้ำใจ
“ทุกคนเป็นบ้ากันไปหมดแล้วใช่มั้ย! ปาย...ปายไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ปายก็แค่อยากกลับไปหาเพื่อนเก่าที่อเมริกาบ้างก็เท่านั้น หลีกทางให้ปายเถอะค่ะ อีกไม่กี่วันปายก็กลับมาแล้ว” ปุษยาร้อนรนเหมือนคนขาดสติ
“เลิกหลอกตัวเองได้แล้วปาย! เลิกทำแบบนี้ได้แล้ว!” คุณปิยะยกมือหนาขึ้นบีบไหล่ลูกสาว แล้วเขย่าตัวเธอแรงๆ แต่ปุษยาสะบัดตัวหนีอย่างไม่ใยดี ก้าวถอยหลังและตัดพ้อทั้งน้ำตา
“คุณพ่อใจร้าย!”
“ใจร้ายงั้นเหรอ?! ถ้าอย่างพ่อเรียกว่าใจร้าย แล้วอย่างแกมันเรียกว่าอะไรกันหา!”
“คุณพ่อพูดอะไรคะ ปายไม่รู้เรื่องด้วยสักหน่อย...คุณพ่อจะใส่ร้ายอะไรปายอีกล่ะ”
“นี่...แกยังไม่รู้จักสำนึกผิดอีกเหรอยัยปาย!”
“สำนึกผิด? สำหรับเรื่องอะไรคะ ปาย...ปายไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ”
“แกเป็นคนทำให้ผู้ชายดีๆ คนนึงเกือบตาย แล้วยังจะมีหน้ามาพูดอีกเหรอว่าไม่ได้ทำอะไรผิด!” คุณปิยะหน้าแดงก่ำ “ถึงแกจะไม่ได้ลงมือทำเอง แต่ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา คนที่ได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรก็คือแกเองนะนั่นแหละ!”
“นี่...คุณพ่อว่าปายเป็นฆาตกรอย่างนั้นเหรอคะ?” ปุษยามองบิดาผ่านม่านน้ำตา ริมฝีปากสั่นระริก “นี่คุณพ่อกำลังว่าปาย เพราะไอ้ผู้ชายสารเลวคนนั้น!...คุณพ่อไม่รู้หรอกว่ามันทำอะไรไว้กับปายบ้าง! ทำไมคุณพ่อถึงไม่ถามปายเลย ทำไมถึงได้เชื่อว่ามันเป็นคนดี ไอ้บ้านั่นมันเลว มันชั่ว...มันต่ำยิ่งกว่าสัตว์ทุกตัวบนโลกใบนี้ซะอีก!”
เผียะ!!!
ฝ่ามือใหญ่ทำให้ใบหน้างามหันไปตามแรงตบ ร่างบางเซจนแทบล้มทั้งยืนและรู้สึกได้ดีถึงกลิ่นเลือดที่มุมปาก ดวงตาคู่สวยปล่อยน้ำตาร่วงริน จ้องมองคุณปิยะอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ตั้งแต่เล็กจนโต ปุษยาอาจจะโดนดุโดนต่อว่าบ้าง แต่เธอไม่เคยถูกตบเต็มแรงอย่างนี้มาก่อน
“ฉันไม่เคยสอนให้ลูกสาวตัวเองพูดจาหยาบคายแบบนี้” คุณปิยะน้ำตาคลอ “ฉันผิดหวังในตัวแกมากยัยปาย...แกโชคดีจริงๆ ที่มีผู้ชายอย่างนพนทีเข้ามาในชีวิต ฉันเชื่อว่าเขาเป็นคนเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงแกได้”
“ไปกันเถอะค่ะคุณพี่” คุณวิมลยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง ก่อนจะเดินเข้ามาถึงมือสามีไว้ “เราคงทำได้แค่นี้ ที่เหลือต้องปล่อยให้ลูกรู้จักคิดด้วยตัวเองแล้วล่ะค่ะ”
“การแต่งงานจะถูกจัดขึ้นทันทีที่นพนทีหายเป็นปกติ แกเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีล่ะ” คุณปิยะเอ่ยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับภรรยา โดยให้สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกทำหน้าที่ล็อกประตูเอาไว้ตามเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้ปุษยาออกจากบ้านได้สำเร็จ
ปุษยารู้สึกชาไปทั้งใบหน้า ความเสียใจและน้อยใจพาให้ร่างบางทรุดนั่งลงบนพื้น ยกมือเล็กขึ้นกุมแก้มซีดเซียวเอาไว้ ก่อนจะร้องไห้ออกมาสุดเสียง
“ฮือๆ ไม่!...ไม่จริง! ฉันต้องไม่ใช่ฝ่ายแพ้สิ!...มันต้องไม่ใช่ฉัน!” หญิงสาวร้องตะโกนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งหมดแรงฟุบลงนอนแผ่บนพื้นห้อง
ปุษยารู้ดีว่าถ้าหากแต่งงานกับนพนทีไปแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เขาคงเอาคืนเธออย่างสาสม และสิ่งที่เธอหวงแหนมาตลอดทั้งชีวิต ก็ต้องตกเป็นของผู้ชายที่เกลียดแสนเกลียดอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย ถึงตอนนี้เองที่ทำพูดทุกคำของกวิตาแล่นเข้ามาในสมอง...
‘เธอต้องทำให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้ต้องการให้เรื่องมันลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ เธอต้องเลิกทำตัวเป็นคุณหนูปุษยา พนิตนนท์มนตรี...แล้วเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึง เพื่อขอร้องให้เขายอมยกโทษให้ แล้วถ้าโชคดีเขาอาจจะยอมตกลงขัดขวางเรื่องการแต่งงานด้วยนะปาย’
‘เธอรู้จักผู้ชายอย่างหมอนั่นน้อยเกินไป เธอคิดว่าเขาจะยอมแพ้ฉันเหรอ ไม่มีทางหรอก!’
‘ใช่! ฉันอาจจะรู้จักเขาน้อยเกินไป แต่ฉันรู้จักความไม่ยอมคนของเธอดี!...คงไม่มีผู้ชายคนไหนอยากให้ผู้หญิงทำตัวอยู่เหนือกว่าไปซะทุกอย่างหรอก ฉันมั่นใจเลยล่ะว่าที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เพราะความถือดีของเธอนั่นแหละ! ขนาดตัวเองทำเกินไปแท้ๆ ยังจะมัวเกี่ยงโน่นเกี่ยงนี่อยู่อีก...เธอรู้สึกผิดเป็นบ้างมั้ยปาย!?’
ถ้าหากจะทำอย่างนั้นมันก็คงสายเกินไปแล้วสินะ...
ไม่หรอก มันสายเกินไปตั้งแต่ตอนที่เธอก้าวเท้าออกมาจากโรงพยาบาลแล้วต่างหาก ปุษยาน่าจะรออยู่ที่นั่นเพื่อเป็นคนแรกที่เขาตื่นขึ้นมาพบ เธอน่าจะคุกเข่าขอโทษเขาด้วยความจริงใจ เพื่อไม่ให้เรื่องทุกอย่างลุกลามมาถึงขนาดนี้...
เรื่องราวมันคงไม่เลวร้ายนักหรอก ถ้าหากปุษยารู้จักสำนึกผิดและยอมอ่อนข้อให้คนอื่นบ้าง แต่นี่เธอจะทำอะไรได้อีก นอกจากต้องทนติดอยู่ในห้องนอนของตัวเอง แล้วรอคอยวันที่จะถูกนำตัวส่งให้นพนทีในฐานะเจ้าสาว ปุษยาเดินทางมาถึงทางตันเสียแล้ว ที่ร้ายกว่านั้นคือเธอเป็นคนสร้างมันขึ้นมาด้วยน้ำมือของตัวเอง...
นพนทีใช้เวลาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ตอนนี้เฝือกอ่อนที่มือไม่ได้รบกวนความสะดวกสบายในการทำงานของเขาอีกต่อไปแล้ว ทว่าคุณมณีก็ยังไม่อนุญาตให้ลูกชายกลับไปทำงานที่บริษัทในตอนนี้ เพราะนางยืนยันที่จะกลับไปบริหารงานแทนก่อน เพื่อให้นพนทีมีเวลาเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าว
ทางบ้านพนิตนนท์มนตรีได้แจ้งข่าวมาให้คุณธาดาทราบอยู่เป็นระยะ หลายวันให้หลังปุษยาไม่ยอมกินไม่ยอมนอนจนร่างกายผ่ายผอม ดูเหมือนอาการตรอมใจที่เกิดขึ้นกำลังเป็นปัญหาชิ้นใหญ่ที่ยังหาทางแก้ไม่ได้ พวกผู้ใหญ่จึงจำเป็นต้องมารวมตัวที่บ้านวารีพิทักษ์เพื่อหารือกัน
“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงแล้วนะธาดา” คุณปิยะเอ่ยเสียงเครือ ด้วยอัดอั้นตันใจกับพฤติกรรมของลูกสาวเต็มทน แต่ที่มากกว่านั้นก็คือความห่วงใยตามประสาคนเป็นพ่อ
“ฉันกับคุณพี่เองก็กินไม่ได้นอนไม่หลับเหมือนกันค่ะ เราพยายามใช้ไม้แข็งก็แล้ว หันมาใช้ไม้อ่อนก็แล้ว...แต่ลูกปายก็ยังไม่ยอมหยุดพยศซะที” คุณวิมลกลุ้มใจไม่แพ้กัน
“ใจเย็นก่อนเถอะค่ะ ฉันคิดว่าหนูปายแกคงกำลังปรับตัวอยู่” พูดแล้วคุณมณีก็ไม่มั่นใจนัก “เอ่อ...หรือบางทีเธออาจจะยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เราทำถูกแล้วเหรอคะที่จะบังคับให้หนูปายแต่งงานกับนที”
“ทุกคนทำถูกแล้วครับ เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น...ปุษยาก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตัวเองได้” นพนทีเดินเข้ามาในห้องโถง และทันได้ยินสิ่งที่พวกผู้ใหญ่กำลังปรึกษากันอยู่พอดี เขาจึงรีบพูดแทรกขึ้น
“นที...” คุณมณีมองหน้าลูกชายที่ดื้อรั้นไม่ยอมขึ้นไปพักผ่อนข้างบนตามที่ขอร้อง
ร่างสูงโปร่งในชุดลำลองสบายๆ ก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงบนโซฟาอย่างระมัดระวัง เพราะรอยช้ำจากการถูกเหล็กฟาดเข้าที่ต้นขา ยังคงมีผลกับการลุกนั่งของเขาอยู่บ้าง ซึ่งมันก็ไม่ได้ร้ายแรงนัก
“สวัสดีครับ” นพนทียกมือไหว้ว่าที่พ่อตาแม่ยายด้วยความอ่อนน้อม “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่เข้ามาขัดจังหวะ”
“ไม่เป็นไรหรอกนที เราคนกันเองทั้งนั้น ว่าแต่อาการดีขึ้นมากแล้วใช่มั้ย พอดีเมื่อเช้าอากับอาผู้หญิงติดธุระน่ะก็เลยไม่ได้ไปรับเธอออกจากโรงพยาบาล” คุณปิยะถามไถ่ด้วยความรู้สึกผิด
“อันที่จริงคุณอาไม่ต้องลำบากหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว อีกไม่กี่วันคงจะปกติดีทุกอย่าง” นพนทียิ้มจริงใจ “ผมว่าตอนนี้เรามาหาทางออกเรื่องปุษยาดีกว่ามั้ยครับ” แล้วนำทุกคนเข้าสู่เรื่องเดิมที่ค้างคาทันที
“เฮ้อ! อาบอกตรงๆ นะว่าอาหมดปัญญาแล้ว ถ้าเราจัดงานแต่งงานขึ้นจริงๆ อาไม่รับประกันหรอกนะว่าเจ้าสาวจะสามารถเข้าร่วมงานได้ เพราะตอนนี้ยัยปายเอาแต่นอนซมอยู่ในห้อง คุณหมอบอกว่าอาการตรอมใจไม่มียาไหนรักษาได้เสียด้วยสิ” สีหน้าคุณปิยะฉายความกังวลชัดเจน ซึ่งนั่นทำให้นพนทียิ่งแต่นึกตำหนิปุษยาที่ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องทุกข์ใจ
“ผมคิดว่าผมช่วยได้นะครับ”
จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดออกมา
“อาไม่คิดว่าเธอจะทำได้หรอก บอกตรงๆ นะ...อาคิดว่าถ้ายัยปายเห็นเธอก็คงโวยวายบ้านแตกขึ้นมาอีก” คุณปิยะรู้จักลูกสาวตัวเองดี เพียงแต่มีมุมมองที่แคบกว่าคนอย่างนพนที
ทุกคนคงลืมไปแล้วสินะว่า...เมื่อก่อนนพนทีเองก็ร้ายใช่ย่อย
“ก็นั่นแหละครับ ถ้าปุษยาลุกขึ้นมาโวยวายบ้าง มันย่อมดีกว่าการที่เธอเอาแต่นอนซมไม่พูดไม่อยู่แล้ว อีกอย่างผมตั้งใจจะทำข้อตกลงกับเธอด้วย ผมคิดว่าผมมีข้อเสนอที่ดีสำหรับการใช้ชีวิตคู่ของเรา...ผมแค่อยากมีโอกาสได้พบเธอบ้างก็เท่านั้นเอง” นพนทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ถ้าคุณอาทั้งสองไม่สะดวก ผมก็...”
“สะดวกสิ!...จะไม่สะดวกได้ยังไงกันเล่า ในเมื่อเธอพยายามหาทางช่วยลูกสาวอาถึงขนาดนี้ อาต้องขอบใจเธอมากนะนที...อาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ” คุณปิยะเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ย นั้นเขาจึงรู้สึกสบายใจและสามารถหัวเราะได้เสียที ซึ่งดูเหมือนใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนอื่นๆ กำลังบอกชัดเจนทีเดียวว่าข้อเสนอของนพนทีนั้นถูกต้อง
“ขอบคุณมากนะครับที่ไว้ใจผม แต่ถ้าจะให้ดี...ผมไม่ต้องการให้ใครรบกวนตอนที่เราคุยกันนะครับ เพราะเรื่องที่ผมจะคุยกับเธอมันค่อนข้างเป็นส่วนตัว แล้วผมก็ไม่อยากให้ใครโดนลูกหลงด้วย เผื่อว่าเธออาจจะต่อต้านผมด้วยวิธีที่รุนแรง”
“เรื่องนั้นอาเข้าใจดี เอาเป็นว่าเดี๋ยวอาจะสั่งให้เด็กที่บ้านไว้ ไม่ให้ขึ้นไปยุ่งกับพวกเธอก็แล้วกัน ส่วนอาทั้งสองคนกว่าจะได้กลับบ้านก็คงดึก พอดีว่าวันนี้อามีนัดสำคัญกับท่านรัฐมนตรีน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะช่วยดูแลปุษยาให้เอง”
“เอ่อ อาขอถามอะไรสักอย่างได้มั้ยจ๊ะ”
คราวนี้คุณวิมลเป็นคนเอ่ยถามบ้าง
“ได้สิครับ...”
